xs
xsm
sm
md
lg

100 วันแสนอันตราย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


โดนัลด์ ทรัมป์
ปธน.ทรัมป์ใช้เวทีชานเมืองดีทรอยต์ เป็นการประกาศชัยชนะยิ่งใหญ่ 100 วันการเข้ามาบริหารงานว่ายิ่งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

เขาเลือกหัวใจของอุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐฯ เป็นที่ประกาศชัยชนะ ทั้งๆ ที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าสุนทรพจน์ชัยชนะ 100 วันนี้ เขาเพิ่งเซ็นคำสั่งบริหาร (อีกแล้ว) เพื่อผ่อนคลายกฎที่จะเริ่มคิดภาษีนำเข้าอุปกรณ์รถยนต์ไปอีก 2 ปี เพราะจะเริ่มคิดอัตราโหดนี้ในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้แหละ และฝ่ายบิ๊กทรี (บริษัทยักษ์ผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ มานับ 100 ปีคือ จีเอ็ม, ฟอร์ด และสเตลแลนติส-ชื่อใหม่ของไครส์เลอร์) ได้กดดันขอร้องทรัมป์ให้ผ่อนปรนเรื่องอัตราภาษีโหดที่นำเข้าอุปกรณ์รถยนต์ รวมทั้งภาษีนำเข้ารถยนต์ทั้งคันที่ผลิตในต่างประเทศด้วย (ทั้ง 3 บริษัทมีโรงงานในต่างประเทศที่ผลิตรถยนต์ทั้งด้าน-นำเข้ามาขายในสหรัฐฯ เพราะการผลิตรถยนต์ทั้งคันในต่างประเทศถูกกว่าที่ผลิตในสหรัฐฯ)


ทรัมป์อรรถาธิบายกับสาวกหัวปักหัวปำของเขาที่ดีทรอยต์ว่า เขาต้องผ่อนปรนข้อกำหนดอัตราภาษีใหม่นี้ ก็เพราะเขาเห็นใจบิ๊กทรี และคนงานของบริษัทเหล่านี้ เพื่อให้มีเวลากับการหายใจที่จะขยับขยายมาเพิ่มการผลิตทั้งอุปกรณ์รถยนต์ และรถยนต์ทั้งคัน...ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นการย้ายโรงงานกลับมาสหรัฐฯ ดังที่เขาได้ตั้งใจปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้กลับมาเป็นประเทศผู้ผลิตอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสร้างงานในสหรัฐฯ...ซึ่งสาวกทรัมป์ต่างชอบอกชอบใจคล้อยตาม...โดยไม่สะกิดใจตั้งคำถามสักนิดว่า การขยายเพิ่มการผลิตอุปกรณ์รถยนต์หรือการเปิดโรงงานใหม่เพื่อผลิตทั้งอุปกรณ์รถยนต์และรถยนต์ทั้งคันนั้น จะต้องใช้เวลานานขนาดไหน ไม่ใช่แค่เป็นเดือน แต่จะเป็นปีๆ ด้วยซ้ำ...เวลาการบริหารของทรัมป์ 4 ปีนี้จะทำให้บริษัทเหล่านี้กลับตัวได้หรือไม่

ยิ่งกว่านั้น...ถ้าเปลี่ยนรัฐบาลหลัง 4 ปีนี้...ถ้าฝ่ายบริหารกลับไปเป็นเดโมแครต แล้วจะเกิดการปรับเปลี่ยนนโยบายอีกครั้งหรือไม่...การลงทุนลงแรงขนาดใหญ่คราวนี้ จะไม่เสียของหรือ...ซึ่งฝ่ายบริหารของอุตสาหกรรมหนักของสหรัฐฯ ต่างกังวลในเรื่องนี้อย่างแท้จริง เพราะทรัมป์มองด้านเดียวคือ จะเปลี่ยนสหรัฐฯ ให้กลับมาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตอีกครั้ง...ทั้งๆ ที่ค่าแรงก็แพง...และถ้าเปิดโรงงานผลิตอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้จะใช้เหล่าโรบอตและเอไอมาทำงานในโรงงานแล้วจะเป็นการสร้างงานกับเหล่าคนงานมากมายได้ดังราคาคุยหรือไม่?

ทรัมป์ยังต้องออกมาอธิบายซ้ำ เพื่อไม่ให้เหล่าบริษัทยักษ์ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ต้องตกอกตกใจ นั่นคือ เขาประกาศคำสั่งตั้งแต่ต้นมีนาคม ให้คิดภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมสูงถึง 25% ซึ่ง 3 อุตสาหกรรมยักษ์ของสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาทั้งเหล็กและอะลูมิเนียม…ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์, อุตสาหกรรมก่อสร้างครอบคลุมทั้งบ้าน, คอนโดฯ, สำนักงาน, โรงงาน, สวนสนุก ฯลฯ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มกระป๋องทุกอย่าง ทั้งน้ำโซดา, เบียร์, น้ำผลไม้, ซุปกระป๋อง เป็นต้น...นี่ยังไม่นับเหล่าเครื่องใช้ไอทีทุกชนิดก็หนีไม่พ้นต้องใช้เหล็กและอะลูมิเนียมมาประกอบ!!

คำอธิบายที่เพิ่งเกิดขึ้นคือ จะไม่คิดซ้ำซากสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่ต้องจ่ายภาษีนำเข้าค่าชิ้นส่วน (หรือรถยนต์ทั้งคัน) ในอัตราโหด 25% แล้วจะต้องจ่ายภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเพิ่มอีก 25%...รวมกันเป็น 50%...เขาบอกว่า คิดครั้งเดียวก็พอคือ 25%...เพราะในชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์จะมีเนื้อเป็นเหล็กและอะลูมิเนียมนั่นเอง!

ฟังทรัมป์ประกาศผ่อนปรน ก็น่าขอบคุณในความมีเมตตากรุณา แต่ความจริงก็คือ...ไม่มีการวางแผนอย่างรอบคอบในนโยบายต่างๆ ที่ได้ประกาศออกมา...แล้วต้องมาตามล้างตามแก้กันเป็นพัลวันในแทบทุกๆ วันที่บริหารมาครบ 100 วันนี้

สาวกทรัมป์ที่ได้ลงคะแนนให้เขา ตามรัฐที่พลิกไปพลิกมา (Swing States) ทั้ง 7 รัฐซึ่งจะอยู่แถบตรงกลางประเทศยังคงให้โอกาสแก่ปธน.ที่พวกเขาบูชาเต็มหัวใจ; ยิ่งเขาถูกลอบปองร้ายถึงชีวิตสองครั้งจนเลือดอาบแก้ม ก็ยิ่งตอกย้ำความเป็นผู้วิเศษที่พระเจ้าได้ส่งเขามาช่วยมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะชาวอเมริกัน (ผิวขาว) เริ่มตระหนักว่า ชาติตนไม่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนในอดีต โดยมีจีนกำลังผงาดมาแข่งรัศมีด้วยซ้ำ...ซึ่งทรัมป์นั่นแหละเป็นผู้ที่ผลักดันชี้ว่าจีนคืออภิมหาวายร้ายที่คอยเอาเปรียบและจ้องทำลายสหรัฐฯ...เป็นการผลักให้จีนเป็น “แพะรับบาป” ในทุกกรณี เพื่อทำให้ทรัมป์ดูดี

แต่ปรากฏว่า จากการสำรวจประชามติหลายๆ โพลออกมาแทบเหมือนกันหมดคือ 100 วันของทรัมป์มีคะแนนนิยมต่ำสุดเมื่อเทียบกับอดีตปธน.ย้อนหลังไปถึงจอห์น เอฟ. เคนเนดี

ส่วนใหญ่จะได้สูงกว่า 50% หรือ 60% กว่าๆ จนเกือบถึง 70% (เช่นกรณีโอบามา) แต่ทรัมป์ได้ต่ำกว่า 45% (แกลลัพโพล) ด้วยซ้ำ…ที่สำคัญคือ คะแนนรอบนี้ของทรัมป์ต่ำกว่าใน 100 วันแรกที่เขาเข้ามาบริหารในสมัยแรกด้วยซ้ำ...โดยเฉพาะด้านบริหารเศรษฐกิจที่ต่ำสุดๆ ทั้งๆ ที่ทรัมป์ประกาศที่ดีทรอยต์ว่า เขาทำให้ราคาไข่ไก่สดลดลงมาแล้วถึง 87% (ก่อนไปประกาศชัยชนะที่ดีทรอยต์ ก็คุยว่าราคาไข่ไก่สดลดลงมา 73% ซึ่งหลายสำนักได้ทำ Fact Check ว่าไม่เป็นความจริงเช่นนั้นเลย)

ทรัมป์ประกาศชัยชนะ 100 วัน โดยบอกว่าเป็นการปฏิวัติด้วยสามัญสำนึก (Revolution of Commonsense) ซึ่งการบริหารประเทศจะทำด้วยสามัญสำนึกอย่างเดียวได้อย่างไร? อย่างนี้ทาง Wharton School ที่ยูเพนน่าเรียกใบปริญญาบัตรของทรัมป์คืนมา ในเมื่อทฤษฎีบริหารบ้านเมืองถูกกวาดทิ้งหมด และให้แค่สามัญสำนึกเป็นตัวนำในการตัดสินใจอย่างที่ทรัมป์ทำมา ทั้งช่วง 1.0 และในช่วง 2.0 นี้ด้วยการสับขาหลอกกลับกลอกชักเข้าชักออกในนโยบายทุกวันทำเอาเศรษฐกิจและสังคมอเมริกันปั่นป่วนอย่างยิ่ง และสั่นคลอนไปทั้งโลก...เท่านั้นยังไม่พอ...ยังตั้งบุคลากรที่ไม่ Qualified มาทำงานที่กำลังรอการสอบสวนในสภาขณะนี้

ที่สำคัญคือการเปลี่ยนพันธมิตร (อันยาวนาน) มาเป็นศัตรูอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เห็นได้จากการเลือกตั้งที่แคนาดา ที่นายกฯ (คนใหม่) นายมาร์ก คาร์นีย์ สามารถพลิกจากความนิยมของพรรคลิเบอรัลของเขา จาก 30% ที่ต่ำกว่าของพรรคอนุรักษนิยม(ที่วัดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา) กลับพลิกมาได้ชัยชนะโดยคะแนนนิยมแซงหน้าพรรคอนุรักษนิยมอย่างไม่น่าเชื่อ...ทั้งนี้ก็เพราะทรัมป์ประกาศจะทำทุกวิถีทางให้ประเทศแคนาดาต้องมาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ ซึ่งมาร์ก คาร์นีย์ ได้ใช้ประโยชน์จากความอหังการของทรัมป์มาช่วยพลิกให้เขาชนะเลือกตั้งได้ในที่สุด เพราะเขาประกาศสู้เต็มที่กับความพยายามเข้าครอบครองแคนาดาในครั้งนี้ ซึ่งฝ่ายพรรคอนุรักษนิยมนั้นเดิมประกาศนโยบายเลียนแบบทรัมป์ โดยตั้งป้อมเปลี่ยนนโยบายรับคนเข้าเมือง และต้องการลดภาษีคนรวยแบบทรัมป์ และถึงขนาดหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยมสอบตกด้วยซ้ำ

ความปั่นป่วนทั่วโลกเกิดจากนโยบายพิสดารของทรัมป์ ไม่น่าจะเปลี่ยน Paradigm การค้าโลก เพราะสหรัฐฯ ไม่น่าจะกลับมาเป็นประเทศผู้ผลิตได้ดังเช่นอดีต แต่จะยิ่งผลักประเทศที่ถูกกดดันจากสหรัฐฯ หันไปผูกมิตรกับจีนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป, แคนาดา รวมทั้งประเทศในเอเชีย 


กำลังโหลดความคิดเห็น