ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เบรกอุณหภูมิการเมืองร้อนๆ พักยกไปชุ่มฉ่ำสาดน้ำสาดแป้ง กับเทศกาลมหาสงกรานต์ 2568 ที่บรรยากาศครึกครื้นคึกคักไปทั่วประเทศ ได้ประเดี๋ยวเดียว ตัดกลับมา “รัฐบาลเพื่อไทย” ของ “นางพญาเจนวาย” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ต้องเผชิญกับหลายโจทย์หินที่ยังแก้ไม่ตก
ทั้งการเมืองโจทย์หินระดับโลก การรับมือกับกำแพงภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องแต่ง “ทีมไทยแลนด์” บินข้ามโลกไปเพื่อขอเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดผลกระทบกับการค้าการลงทุนของไทยให้น้อยที่สุด
ตลอดจนการวางตัวในภูมิทัศน์การเมืองโลก ที่ดูเหมือน “พ่อนายกฯ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ขนานตัวเองว่าเป็น “สทร.” จะอาศัยหมวกที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียน ออกแอกชันมากเป็นพิเศษจนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในระดับนานาชาติจากกรณีให้การต้อนรับ พล.อ.อาวุโส มินอ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมา ที่มาเยือนประเทศไทยเป็นหนที่ 2 ในรอบเดือน
ขณะเดียวกัน “นายกฯ อิ๊งค์” ก็ยังคงต้องเผชิญกับแรงเสียดทานทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ตบ-จูบ กับพรรคร่วมรัฐบาลอันดับ 2 อย่าง “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ที่มีประเด็นขบเหลี่ยมกันมาตลอด
ทั้งยังต้องฝ่าเสียงวิจารณ์ถึงความรู้ความสามารถ และภาวะผู้นำ กระทั่งเรื่องกระพี้อย่างเครื่องแต่งกาย หรือท่าทีแสดงออกวางตัวที่ “นายหญิงเจนวาย” ถูกจ้องจับผิด จนถึงถูกบูลลี่มาอย่างต่อเนื่อง ที่เชื่อว่าสะท้อนถึงเบื้องลึกจิตใจยิ่งเสียกว่าการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาอย่างสบายๆ ด้วยซ้ำ
ที่หยิบยกมาเป็นเพียงบางส่วนของบททดสอบที่หนักหน่วงเชี่ยวกราก ที่ดูท่าว่า “ลูกอิ๊งค์” ที่มี “พ่อทักษิณ” คอยคัดท้ายให้ จะเอาตัวเองไม่รอด แม้จะมีความเชื่อลึกๆ กันว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ครบเทอมก็ตาม
ด้วยต้องยอมรับความจริงที่ว่า ตลอดกว่า 7 เดือนบนตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ “แพทองธาร” ยังห่างไกลกับผลประเมิน “สอบผ่าน” อยู่พอสมควร ซ้ำร้ายต้องยอมรับอีกว่า รัฐบาลเพื่อไทยที่เข้าขวบปีที่ 2 ก็ยังไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้เลย
จนคำแถลงนโยบายสวยหรูทั้ง “สร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” หรือคำประกาศ “ปี 2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” ถูกย้อนศรกลับมาทิ่มแทงตัว “ผู้นำหญิง” และรัฐบาลเอง
กลายเป็น “ปม” ตอกย้ำ “นายกฯ อิ๊งค์” ที่มีคำปรามาส “มือไม่ถึง” แปะอยู่บนหน้าผาก จนทำให้ต้องทั้ง “ขุด” ทั้ง “เค้น” เอาทุกๆ เรื่องที่พอขายได้มา “เคลม” เป็นความดีความชอบ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ขยับขึ้นในช่วงแรกที่เธอเข้ารับตำแหน่งนายกฯ , ค่าฝุ่นพิษ PM2.5 ที่ลดลงตามฤดูกาล หรือตัวเลขการลงทุนจากต่างชาติที่มีข้อตกลงจากรัฐบาลก่อนๆ แต่มาลงทุนในช่วงรัฐบาลนี้ เป็นอาทิ หรือบรรยากาศเทศกาลสงกรานต์ที่คึกคักขึ้น ด้วยความร่วมมือทั้งภาครัฐ แบะเอกชน ก็ยังถูกยกให้เป็นผลงานของ “เจ้าแม่ซอฟพาวเวอร์” ด้วย
กระทั่งล่าสุดรัฐบาลโดย จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็หยิบเอาทำเนียบ The Forum of Young Global Leaders (YGL) ประจำปี 2025 ขึ้นมา “ตีปิ๊บ” ว่า “นายกฯอิ๊งค์” ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 114 ผู้นำที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีที่สร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งให้คะแนนโดยเครือข่ายผู้บริหารระดับสูง ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนชั้นนำ และประชาสังคมทั่วโลก พร้อมย้ำว่า YGL เป็นเวทีระดับโลกในการค้นหาผู้นำรุ่นใหม่ทั่วโลกที่ให้คุณค่าในการทำงานร่วมกัน มีแนวคิดลึกซึ้งและสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ โดยต้องมีอายุต่ำกว่า 40 ปี และบุคคลอื่นเป็นผู้เสนอชื่อ ที่สำคัญต้องมีผลงานโดดเด่นแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ และผลกระทบเชิงบวกในสาขาของตน
ทั้งที่การที่บุคคลที่อายุเพียง 37 ปี ไม่ว่าจะเพศใดได้ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ หรือมีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศใดก็แล้วแต่ ย่อมถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา และไม่แปลกที่จะมีชื่อติดทำเนียบ หรือจัดอันดับระดับนานาชาติทำนองนี้อยู่แล้ว อย่างนิตยสารฟอร์บส (Forbes) ก็เคยจัดให้ “แพทองธาร” ติดอันดับ 29 จาก 100 สตรีทรงอิทธิพลทั่วโลก เช่นเดียวกับที่เคยติด 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต (Time 100 Next) ของนิตยสารไทม์ (Time) ในประเภทผู้นำ (Leaders) ร่วมกับผู้นำรุ่นใหม่ทั่วโลก
และในทำเนียบ YGL 2025 ก็มีถึง 114 คนทั่วโลกที่ติดโผ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจ แต่ครั้นจะนำมาตีปิ๊บขยายความว่า เป็นการยกย่อง “นายกฯหญิงไทย” ในแง่ผลงานโดดเด่น แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ และผลกระทบเชิงบวก ก็ต้องถามใจ “คนไทย” ว่า “อิน” หรือคล้อยตามหรือไม่
ด้วยนับวันยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ “กัปตันอิ๊งค์” ผู้มากับคอนเซปต์ “มีวันนี้เพราะพ่อให้” ได้มรดกการเมืองเป็นเก้าอี้นายกฯ แต่หากไม่มี “พ่อทักษิณ” คอยถือหางเสือคัดท้าย ก็น่าจะ “จอด” ไปตั้งแต่ไม่พ้นโค้งแรก แม้จะมี “ดีเอ็นเอ” ทั้งจากพ่อ และแม่ ”หญิงอ้อ“ คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในบทบาท “ลมใต้ปีก” สนับสนุนอดีตสามีช่วงเรืองอำนาจก็ตาม
อีกทั้งบทบาทการนำบน “ตึกไทยคู่ฟ้า” ก็ยังถูกเบียดบังด้วยลักษณะ “รัฐซ้อนรัฐ” โดนคนในเครือข่าย “ระบอบชินวัตร” เอง ตั้งแต่ลักษณะเฉพาะความเป็นรัฐบาลหลายนายกฯ มีรหัสเรียกขานที่รู้กันในพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล ไล่จาก V1 - V2 - V3 - V4 ตามลำดับอาวุโส ที่มักมีรายการ “ล้วงลูก-คุณขอมา” ทั้งคน-โครงการ จน “คุณหนูอิ๊งค์“ ออกอาการเซ็งบ่อยครั้ง
หรือความสำคัญของ ”บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่กลายเป็นจุดหมายปลายทางของ “บิ๊กเนม” การเมือง-ธุรกิจ กระทั่งอาคันตุกะต่างชาติ ที่เลือกไปเยือนยามต้องการ “คำตอบสุดท้าย” จาก “นายกฯ ตัวจริง” โดยหลายครั้งหลายคณะไม่แวะไปทำเนียบรัฐบาลให้เปลืองน้ำมันด้วย
ซ้ำร้ายระยะหลัง “เงา” ของ “พ่อทักษิณ” ที่ออกโรงด้วยตัวเอง ก็ทาบทับ “ลูกอิ๊งค์” จนใกล้เคียงกับสภาพ “หุ่นเชิด” บนเก้าอี้ผู้นำประเทศ หรือแค่เป็นสัญลักษณ์ของ “ตระกูลชินวัตร” ยามที่ “นายกฯ คนพ่อ” ลงสนามเล่นเองไม่ได้
ทั้งบทบาทในระดับภูมิภาค ด้วยหมวกที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียน ของ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หรือการสวมบท “นายใหญ่” เปิดบ้านจันทร์ส่องหล้า เคลียร์คัทปัญหาการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะภายในพรรคร่วมรัฐบาล จนมีชื่อ “เน-หนู“ เนวิน ชิดชอบ และ อนุทิน ชาญวีรกูล เจ้าของสำนักภูมิใจไทย เป็นแขกขาประจำ ที่ถูกเรียกเข้าไป “ตบ-จูบ” ยามมีประเด็นขบเหลี่ยมกันในรัฐบาล
ซึ่งประเด็นความขัดแย้งระหว่าง “มุมแดง” พรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาล กับ “มุมน้ำเงิน” พรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาลอันดับ 2 ก็ดูจะสะสมพร้อมแตกหักได้ทุกเมื่อเชื่อวัน
ล่าสุดก่อนจะปิดสมัยประชุมรัฐสภา เบรกไปสาดน้ำสงกรานต์ ก็เป็น “ศึกคนเจนวาย” ที่ “ลูกนก” ไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร แบบไม่สนวาระการหารือเพื่อแก้ “ภาษีทรัมป์” งัดความเป็นลูกชายคนโตของ “เนวิน-กรุณา ชิดชอบ” ประกาศจุดยืนไม่สนับสนุน “กาสิโน”
อันหมายไปถึงการไม่สนับสนุน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ กฎหมายสำคัญที่ผ่านควาทเห็นชอบจากที่ประขุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยนั่งอยู่หน้าสลอน และ “นายกฯ พี่อิ๊งค์” เพิ่งประกาศ “ถอย” แต่ไม่ “ถอน” ร่างที่ถูกบรรจุในวาระการประชุมสภาฯ ไป
ซีนของ “เลขาฯ นก” ที่อายุกำลังจะครบ 35 ขวบ เตรียมแต่งตัวเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ถูกมองว่า ไม่ได้เป็นการเปิดหน้าปะทะกับ “นายกฯพี่อิ๊งค์” อย่างที่เข้าใจ แต่เป็นเพียง “แสตนอิน” ที่ลุกขึ้นพูดสคริปต์ของ “พ่อเน” ที่ส่งไปถึง “ลุงทักษิณ” มากกว่า
สร้างความไม่พอใจให้กับ “คนเพื่อไทย” จนทำให้มีเสียงยุส่งให้ “นายกฯอิ๊งค์” กดปุ่มฉุกเฉินปรับ ครม.เพื่อกำราบ “ค่ายสีน้ำเงิน” ที่ชักเหิมเกริมมากขึ้นทุกขณะ พ่วงไปกับการปรับทัพขุนพลด้านเศรษฐกิจที่ดูจะง่อยเปลี้ยมาตลอดอายุรัฐบาล เสียยี่ห้อ “เสี่ยโทนี่” เจ้าตำรับ “ทักษิโณมิกส์” ที่เคยเป็น “เต้ย” ทางเศรษฐกิจของภูมิภาคมาในอดีต
และมีโจทย์สำคัญในการปรับจูนนโยบายดิจิทัลวอลเลต ที่หวังเป็นเรือธงในการกอบกู้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศให้ “ตรงปก” อย่างที่เคยดีไซน์ไว้ว่าต้องใช้ในการผลักดันแอปพลิเคชัน และโทเคนดิจิทัล เพื่อวางรากฐานไว้เป็นระบบสื่อกลางในการชำระค่าสินค้า หรือบริการในอนาคต
ทว่า การจัดการกับ “ค่ายสีน้ำเงิน” ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังที่ “ทักษิณ” เปิดปากให้สัมภาษณ์ว่า “การเมืองไม่ต้องกังวล ไม่อยากให้คนไทยกังวล เพราะการเมืองมีกลไกของมันที่ต้องแก้ไขด้วยการเมืองไม่ต้องกังวล กังวลเรื่องเศรษฐกิจบ้านเมืองจะดีกว่า” พร้อมบอกด้วยว่า “ภูมิใจไทยก็คือภูมิใจไทย” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เขารู้ซึ้งถึง “แก่น” หรือ “ตัวตน” ของค่ายสีน้ำเงินเป็นอย่างดี
ขณะที่“แพทองธาร” เองก็หวังใช้โอกาสนี้โชว์ภาวะผู้นำสลัดหลุดจากสไตล์ “คิดเร็ว-ทำเร็ว” แบบพ่อที่พร้อมปรับ ครม.ทุกไตรมาส ยังอยากให้โอกาสทีมเศรษฐกิจชุดนี้ที่ทั้ง พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง รวมถึง พิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนในช่วงที่ผ่านมาไปก่อน
สำหรับยุค “นายกฯ อิ๊งค์” วางเกณฑ์ประเมินรัฐมนตรีไว้ที่ 6 เดือนถึง 1 ปี เนื่องจากในฐานะหัวหน้ารัฐบาลต้องการให้รัฐมนตรี โดยเฉพาะรัฐมนตรีโควตาพรรคเพื่อไทย ได้มีระยะเวลาการทำงานพิสูจน์ฝีมือพอสมควร ส่งสัญญาณว่า ยังไม่มีการพิจารณาเพื่อปรับ ครม.ในช่วงนี้
ตลอดจนมีคิวแทรก “ภาษีทรัมป์” ที่มอบหมายให้ “พิชัย คลัง” เป็นหัวหน้าทีมไทยแลนด์ในการเจรจากับทางสหรัฐอเมริกา จึงไม่ใช่เวลาที่จะมีการเปลี่ยนม้ากลางศึก เฉกเช่นเดียวกับการปรับ ครม.ในส่วนของ “ภูมิใจไทย” ที่ก็ยังพอรอจังหวะได้อีกระยะหนึ่ง
ตามคิวที่ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังเปิดสมัยประขุมรัฐสภาสมัยหน้า หรือหลังวันที่ 3 ก.ค.68 ไปแล้ว ซึ่งก็เชื่อว่า เวลาช่วง 2 เดือนเศษที่เหลืออยู่จะมีรายการ “ตบ-จูบ” กันอีกหลายยก
ซึ่งก็ไม่แน่ว่า ถ้า “พ่อทักษิณ” มองว่าหากตัดสินใจช้าอาจทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น และจำเป็นต้องทุบโต๊ะส่งสัญญาณปรับ ครม.ด้วยตัวเอง และให้ “ลูกอิ๊งค์” ดำเนินการต่อในส่วนที่เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี
กระแสข่าวการปรับ ครม.ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคอาจถือโอกาสขยับปรับเปลี่ยนโควตารัฐมนตรีของพรรคตัวเองพ่วงไปกับการปรับ ครม.คราวนี้ด้วย ส่วน “ค่ายแดง-ค่ายน้ำเงิน” ต้องดูลงลึกในรายละเอียดพอสมควร เพื่อดูชั้นเชิงของอีกฝ่ายเพื่อประเมินสถานการณ์
ฝ่ายแรก “ค่ายแดง” ได้สลับใช้แกนนำพรรค หรือ สส.มากประสบการณ์ ออกมาชี้แจง “ร่าง พ.ร.บ.คอมเพล็กซ์” ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “กฎหมายกาสิโน” ว่า มีส่วนของกาสิโนอยู่เพียงไม่ถึง 10% ของสถานบันเทิงครบวงจร พร้อมดิสเครดิตฝ่ายต่อต้านที่ล้วนแล้วแต่เป็น “ขาประจำ” จ้องขยายผลเกินจริงเพื่อล้มรัฐบาล
รวมทั้งให้บางส่วนเล่นบทดุดัน ออกปากไล่ตะเพิด “ภูมิใจไทย” ให้ถอนตัวออกจากรัฐบาล หากไม่สนับสนุนร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนโยบายที่แถลงไว้กับรัฐสภา
ขณะที่ “ค่ายน้ำเงิน” ส่งสัญญาณให้ “สว.สีน้ำเงิน” ซึ่งรู้กันว่าอยู่ในอาณัติของ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” ให้ออกแอคชันค้าน “ร่างกฎหมายคอมเพล็กซ์” อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ของวุฒิสภา ขึ้นมา
โดยจะยังประชุมนัดแรก ในวันที่ 23 เม.ย.68 วาระเลือกประธาน และรองประธาน กมธ. ทั้งที่มีการตบเกียร์ถอยในซีกของ “สภาล่าง” แล้ว
มีข่าวว่าผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นประธาน กมธ.จะเป็น ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งเป็นสายตรงบุรีรัมย์ เพื่อกำกับทิศทางการทำงสนของ กมธ. เพื่อใช้เป็นด่านในการต่อรองระหว่าง “ค่ายแดง-ค่ายน้ำเงิน”
ทั้งนี้ก็มีข่าวหนาหูว่า “นายใหญ่ค่ายแดง” ยื่นดีลขอคืน ”กระทรวงมหาดไทย“ ให้กลับมาอยู่กับ พรรคเพื่อไทย ตามหลักที่ควรจะเป็นของรัฐบาลผสม พร้อมประทับตรา “ปฏิเสธไม่ได้” ใส่มือ “ครูใหญ่ค่ายน้ำเงิน” เพื่อประคองความสัมพันธ์ความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันต่อไป
โดยมีตัวเลือกการแลกเปลี่ยนที่อาจจะเทียบกับ “กระทรวงคลองหลอด” อันเป็นกระทรวงเกรด A+ ไม่ได้ แต่ก็เป็นดีลที่พอสมน้ำสมเนื้อมาให้พิจารณา
ขณะเดียวกันฟาก “ค่ายสีน้ำเงิน” ก็มั่นใจอำนาจต่อรองของตัวเองไม่น้อย และก็ไม่ติดที่จะส่งคืน “มหาดไทย“ ให้กับพรรคแกนนำ เพราะแต่ปีเศษที่ผ่านมาได้จัดแถว “บิ๊กคลองหลอด” พร้อมจัดแจงวางโครงการไว้แทบจะสมบูรณ์แล้ว ที่ไม่ว่าใครไปใครมาใหญ่แถวนี้ อย่างไรเสียก็มีเครือข่าย “ข้าราชการสีน้ำเงิน” เฝ้าอยู่
อีกทั้งยังประเมินด้วยว่า ยามที่ “ขาประจำ” เริ่มออกมาก่อหวอดโจมตีรัฐบาล และตัว “ทักษิณ” อย่างเมามันต่อเนื่อง ซึ่งบรรดา ”ขาประจำมีชื่อ” ก็ออกมาประกาศตัวกันโครมครามนานแล้ว ขาดก็เพียง “แกนตาม” มวลชนที่จะในมาสร้างพลังให้ “ม็อบ”
ซึ่ง พ.ศ.นี้ ที่ “แกนนำม็อบ” ในอดีตล้วนแล้วแต่ล้างมือในอ่างทองคำ เลิกราเปลี่ยนบทบาทไปจนเกือบหมดแล้ว
แต่ก็ยังคนที่พอมีศักยภาพกะเกณฑ์ผู้คนไปเป็นหัวเชื้อให้ม็อบจุดติดด็มีชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ที่ดันชื่อสกุลเหมือนกับครูใหญ่ภูมิใจไทยเป๊ะเลย
ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ “ค่ายภูมิใจไทย” กล้าเหิมเกริมวัดพลังกับ “ค่ายเพื่อไทย” ได้แบบไม่ต้องต้องยอมรับว่าเมื่อระดับจอมเก๋า เดินเกมการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า“บิ๊กเนมเพื่อไทย”หลายราย จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ “นายใหญ่” เลือกใช้บริการคนนอกในบางภารกิจ
แต่จุดอ่อน ก็มีไม่น้อยเช่นกัน เพราะสไตล์การเมืองแบบหักเป็นหัก ทำให้มีศัตรู มากกว่ามิตร โดยเฉพาะมีคู่แข่ง-คู่แค้นรอวันที่ชำระหนี้แค้น หนึ่งในนั้นคือ “ลุงบ้านป่ารอยต่อ” ที่รอเช็กบิล รวมอยู่ด้วย
ล่าสุด มีกระแสข่าวว่าเจ้าของฟาร์มงูเห่าเริ่มขัดแย้งกับ“นอมินี” จนมีการขอเจรจากับ“นายใหญ่” ให้ปรับครม.เพื่อกลับเข้าไปมีอำนาจอีกครั้ง โดยพร้อมเป็นแนวรบทางการเมืองให้กับรัฐบาลอย่างเต็มตัว
ความพยายามครั้งนี้ จะสำเร็จหรือไม่ อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “นายใหญ่” เพียงคนเดียวเพราะตัวแปรสำคัญคือความสุ่มเสี่ยงเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรีที่ถูกจับจ้อง และศาล รัฐธรรมนูญเพิ่งปฏิเสธการตีความ
อย่างน้อย ไทม์ไลน์ที่นายกฯ อิ๊งค์ วางไว้ในการประเมินผลงานรัฐมนตรีอย่างจริงจัง คือนั่งตำแหน่งครบ 1 ปี งานนี้ จึงต้องลุ้นว่า การเดินเกมกดดัน เพื่อเป็นปัจจัยเร่ง ให้มีการปรับครม.“แพทองธาร 2” จะสำเร็จหรือไม่
จะถูกอัปเปหิจากพรรคร่วมรัฐบาล หรืออาจจะถูกยึดเก้าอี้รัฐมนตรี ริบคืนแบบไม่เป็นธรรมด้วย
ก็เพราะ “นายใหญ่เพื่อไทย” รู้มือรู้ใจ “ครูใหญ่ภูมิใจไทย” เป็นอย่างดี คงไม่ริปล่อยเสือเข้าป่า ให้ไปปั้นม็อบมาแว้งกัดเอาคืนด้วยความแค้นอย่างแน่นอน.