เป็นการถอยอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ไม่ใช่มีชั้นเชิงวางแผนไว้ก่อนหรอก แต่เป็นการยอมจำนนแบบคาดไม่ถึง เมื่อตลาดพันธบัตรมีแรงเทขายระเนนระนาดพอๆ กับกระดานหุ้นที่ดิ่งจนเข้าเขตตลาดหมี จนนายธนาคารนักการเงินรวมทั้งซีอีโอหลายคนอดทนไม่ไหว ต้องออกมาบ่นและเตือนแบบกดดันให้เปลี่ยนแผนการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าที่กำลังทำให้เศรษฐกิจอเมริกันเข้าสู่ภาวะถดถอย ทั้งๆ ที่เมื่อตอนเปลี่ยนปธน.สหรัฐฯ จากคนที่ 46 เป็นคนที่ 47 นั้น เศรษฐกิจอเมริกันอยู่ในลักษณะที่ดีเยี่ยมแทบทุกมิติ เห็นได้จากบทนำและการประเมินของดิอีโคโนมิสต์ และไฟแนนเชียลไทม์ ออฟ ลอนดอน ขนาดขึ้นหน้าปกสื่อทั้งสองทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นนายบิล แอคแมน กระเป๋าเงินใบใหญ่ที่สนับสนุนทรัมป์ตั้งแต่ทรัมป์ 1.0 จน 2.0 หรือนายแลร์รี่ ฟิงค์ เจ้าของแบล็คร็อค แม้แต่เศรษฐีใหญ่อีลอน มัสก์ รวมทั้งซีอีโอของห้างค้าปลีกโฮมดีโป...และนายแบงก์ใหญ่สุดของสหรัฐฯ คือ จิ้งจกตัวใหญ่สุดที่ออกมาบอกทรัมป์ตรงๆ คนสุดท้าย และน่าจะเป็นคนที่ทำให้ทรัมป์ยอมถอย นั่นก็คือ นายเจมี่ ไดมอน ซึ่งบทวิเคราะห์ของธนาคารใหญ่สุด (เจพี มอร์แกนเชส) ของสหรัฐฯ ที่ส่งให้ลูกค้านั้น ฟันธงหลังทรัมป์ประกาศในวันปลดปล่อยสหรัฐฯ ที่ 2 เมษายน ตั้งกำแพงภาษีตอบโต้ทั้ง 180 ประเทศทั่วโลกอย่างมโหฬาร เริ่มจาก 10% เป็นภาษีตอบโต้พื้นฐาน; และมี 60 ประเทศที่โดนแก้แค้นอย่างหนักด้วยอัตรา 30% ถึงเกือบ 50% โดยทวงบุญคุณด้วยว่า นี่เป็นอัตราที่ลดให้ครึ่งหนึ่งแล้ว มิฉะนั้นจะยิ่งหนักข้อเป็น 2 เท่าตัวด้วยซ้ำ
ในเมื่อคาถาศักดิ์สิทธิ์ประจำชีวิตของทรัมป์ที่เขายึดถือปฏิบัติจนสร้างเนื้อสร้างตัวทางธุรกิจ (แบบสะบักสะบอม ล้มละลายอย่างน้อย 3 ครั้งด้วยซ้ำ) ด้วยมือถือสากปากถือศีล ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ซึ่งหนึ่งในสาม “ไม่” ของเขาคือ “ไม่ถอย” ดังนั้น การจำเป็นต้อง “ถอย” ด้วยความจำนนก่อนจะต้องเสียสภาทั้งสองในการเลือกตั้งกลางเทอม (ในพฤศจิกายนปีหน้า-ดังที่เขาก็เคยเสียไปแล้วเมื่อทรัมป์ 1.0) รวมทั้งอเมริกาจะจมดิ่งคามือทรัมป์...จึงรีบตาลีตาลานยอมขยายเวลาลงดาบภาษีนำเข้าตอบโต้หฤโหดไปอีก 90 วัน สำหรับ 60 ประเทศซึ่งส่วนใหญ่มีความใกล้ชิดทางการค้าการลงทุน และการต่างประเทศและความมั่นคงกับจีน
การถอยอย่างมีชั้นเชิงพร้อมรักษาหน้าไม่ยอมให้หน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็คือให้ลูกน้อง (นำโดยโฆษกสาวแสบของทำเนียบขาว) ออกมาท่องคาถาเดียวกันว่า นี่เป็นแผนการที่จะขยายเวลา 90 วันโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งหลายคนงงมากว่านี่ขนาดทรัมป์มีเวลาวางแผนก่อนเข้าทำเนียบขาวถึง 4 ปีเต็มๆ (ช่วงที่ไบเดนเป็นปธน.) ที่จะเข้ามาปุ๊บก็สามารถเดินตามแผนโปรเจกต์ 2025 ได้เต็มที่...แต่ทำไมคิดไม่ถึงว่าจีนจะงัดไพ่ทีละใบออกมาต่อกร โดยเฉพาะไพ่สำคัญคือการระดมเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งได้เริ่มกระทำตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว เป็นการเตือนว่าจีนเตรียมรับการกลับมาของทรัมป์ในรอบสองนี้อย่างเต็มที่
โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ชักออก (หลังชักเข้าด้วยกำแพงภาษีสุดโหดแก้แค้นจีน) แล้วทำให้หุ้นขึ้นมหาศาลชั่วข้ามคืน ทำเอาโฆษกทำเนียบขาวออกมาสรรเสริญเจ้านายคือ ปธน.ทรัมป์ ว่า สุดวิเศษที่วางแผนล่วงหน้าว่าจะผ่อนปรน-หลังฟาดด้วยกำแพงภาษีก่อนเพื่อทำให้ทั่วโลกรีบตาลีตาลานโทร.เข้าหาทำเนียบขาวจนสายโทร.แทบไหม้
เธอทวงบุญคุณว่า ตอนนี้หุ้นขึ้นมากร่ำรวยกันไปก็เพราะยอดวิชาต่อรองของนายทรัมป์นั่นเอง
แต่ สว.เดโมแครตหลายคนออกมาชี้หน้าว่าทรัมป์เป็นผู้ปั่นทั้งหุ้น, ทั้งทอง, ทั้งน้ำมัน, ทั้งคริปโต เพราะเป็นคนทุบราคาก่อน แล้วรีบช้อนซื้อ...และเมื่อผ่อนปรนมาตรการภาษี 90 วัน ก็ทำให้หุ้นขึ้น-เป็นการรู้ข้อมูลภายใน เพราะจักรพรรดิทรัมป์เป็นผู้กำหนดเองทั้งหมด...แล้วใครรวยกันแน่??
สว.ฝ่ายเดโมแครตกำลังเดินหน้าให้สภาสอบการปั่นหุ้นของทรัมป์...ทำให้ตัวเองและครอบครัวของทรัมป์รวยมหาศาลจากข้อมูลภายใน
มีผู้ประกอบการรายย่อยหลายคนรวมตัวกันฟ้องศาล เพราะพวกเขากำลังเผชิญความไม่แน่นอนจากภาษีตอบโต้นี้ จนไม่สามารถวางแผนธุรกิจได้ (หลายบริษัทยักษ์ถึงขนาดไม่คาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสหน้าทีเดียว!) เพราะไม่มีความแน่นอนด้านราคาทุนของสินค้า และการคาดการณ์ตลาด รวมทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย
เหล่าเอสเอ็มอีที่ฟ้องปธน.ทรัมป์ โดยกล่าวหาว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ต้องประกาศตารางกำแพงภาษีนำเข้านั้น เป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพราะไม่มีภาวะฉุกเฉินจริงๆ โดยยกตัวอย่างหลายประเทศที่โดนอัตราภาษีตอบโต้ของทรัมป์นั้น เป็นประกาศที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ-ไม่ใช่เกินดุล...และรวมทั้งมีเกาะแก่งที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ เพราะมีแต่นกเพนกวินอาศัยอยู่ แต่ก็ถูกประเทศลงโทษด้วยภาษีตอบโต้ของทรัมป์ด้วย...นี่หรือ ภาวะฉุกเฉินของเศรษฐกิจ!!
การถอยอย่างมีชั้นเชิงและกลบเกลื่อนความขายหน้า ยังรวมถึงการขู่จะประกาศเร็วๆ นี้สำหรับกำแพงภาษีผลิตภัณฑ์ยา, เซมิคอนฯ ซึ่งกำลังจะประกาศตามมา โดยจะประกาศเป็นประเภทสินค้าด้านความมั่นคง; ขณะเดียวกัน ก็แอบถอยกำแพงภาษีรถยนต์และอุปกรณ์รถยนต์ โดยจะยืดเวลาภาษี 25% ด้านรถยนต์ออกไป อาจเป็น 90 วันหรือนานกว่านั้น เพื่อประวิงเวลาให้บริษัทรถยนต์บิ๊กทรีของสหรัฐฯ มีเวลา “ตุน” สินค้าให้พอเพียง ขณะกำลังดำเนินงาน (ใช้เวลาหลายเดือน) ในการเพิ่มการผลิตชิ้นส่วนภายในอเมริกาเอง
และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็ผ่อนปรนสินค้าไอทีตั้งแต่ไอแพด, ชิป, ไอโฟน, แล็ปท็อป ฯลฯ ไม่คิดอยู่ในหมวดภาษีแก้แค้นโดยผ่อนผันให้ในเวลา 90 วัน
ขณะที่แอปเปิลตาลีตาเหลือกลงทุนจ่ายด้วยราคาแพงขนไอโฟนผลิตที่อินเดียมาด้วยเครื่องบินหนัก 600 ตัน ถึง 1.5 ล้านเครื่อง เพื่อให้ทันไม่โดนภาษีนำเข้า 145% ที่ผลิตจากจีน...คงบ่นเสียดายเงินน่าดูกับการรีบขนมาสหรัฐฯ เพราะทรัมป์เพิ่งประกาศผ่อนปรนหลังจากแอปเปิลรีบจัดการก่อน
เวลาหุ้นขึ้นระเบิดระเบ้อ หลังทรัมป์ประกาศผ่อนปรนภาษีแก้แค้นไป 90 วัน น่าจะทำให้ทรัมป์และลูกหลานพวกพ้องรวยขึ้นมหาศาล ขณะที่นักธุรกิจกุมขมับกับการบริหารการชักเข้าชักออกของทรัมป์ ดังเช่น ทิม คุก ของแอปเปิล