xs
xsm
sm
md
lg

สงครามการค้าจีน-อเมริกากับ “คู่มวยหยุดโลก”!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



เปิดฉากสัปดาห์นี้...ก่อนอื่นคงต้องขออนุญาตชี้แนะ ชี้นำ ด้วยความเป็นห่วง เป็นใย ไว้ล่วงหน้า ว่าถ้าไม่อยากจะให้ตัวเองต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ต้องปวดหัว เวียนเฮด จนเกินไป ก็อย่าถึงกับต้องเสียเวลาไป “เจาะ-เกาะ-ติด” ไปลุ้นว่าใครแพ้-ใครชนะ กับเรื่อง “สงครามการค้า” ระหว่างคุณพ่ออเมริกากับคุณพี่จีน ที่ต่างฝ่ายต่าง “ใส่กันเละ”แบบชนิด “ดอก-ต่อ-ดอก” เริ่มจาก “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกาสาวหมัดเข้าใส่ก่อน ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าเข้าของจีนกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ดังที่ทราบๆ กันไปแล้ว และเมื่อจีนเขา “บังแล้วโต้กลับ” ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริกา 84 เปอร์เซ็นต์ คราวนี้...ก็เลยเละเป็นขี้ เป็นโจ๊ก เป็นเต้าหู้ตกโต๊ะกันเห็นๆ!!!

อย่างที่รู้ๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...ขึ้นชื่อว่า “ทรัมป์บ้า”ซะอย่างแล้ว โอกาสที่จะเรียก “สติ” เรียก “สัมปชัญญะ”กลับคืนมา น่าจะยากเย็นยิ่งกว่าหาหนวดเต่า-เขากระต่ายเป็นไหนๆ มีแต่จะเดินหน้าเข้าหา เดินหน้าฆ่ามัน แบบให้ต้องตกตายกันไปข้าง การขึ้นภาษีสินค้าจีน 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ รวมๆ แล้ว 125 เปอร์เซ็นต์ เลยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง แทบไม่ต่างอะไรไปจากการใส่กันไป-ใส่กันมา ระหว่างคู่มวยไทย มวยสากล หรือ “มวยกรง” เอาเลยถึงขั้นนั้นเพราะถึงขั้นนี้...หรือขั้นที่ผงาดขึ้นเป็น “มหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก” หวิดๆ จะแซงโค้ง แซงหน้า อเมริกาในอีกไม่กี่อึดใจ จะให้คุณพี่จีนเขาซุกมือ ซุกตีน เอาไว้ในหีบ หรือเอาไว้เฉยๆ ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้ มีแต่ต้องสวิงขวา-สวิงซ้าย อัปเปอร์คัตขวา-อัปเปอร์คัตซ้าย ตอบโต้อาวุธหนักอเมริกาให้ครบทั้ง 125 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน อันเป็นไปตามนิยามความหมายของคำว่า “Reciprocity” หรือเป็นไปในแบบ “มึงมั่ง-กูมั่ง” อย่างมิอาจกล่าวหาและตำหนิติติงอะไรได้เลย...

ด้วยเหตุนี้...ถ้าอยากรู้ว่าสุดท้ายใครแพ้-ใครชนะ สู้หันไปเอาเทปวิดีโอ มวยไทย มวยสากล หรือมวยกรง มาศึกษาค้นคว้า มาดูกันแบบพอช่วยให้เกิดความเพลิดเพลินเจริญใจ แถมยังได้ซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ซู๊ดๆ ซ๊าดๆ ได้บิดเอว บิดไหล่ ตามไปด้วย น่าจะเข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ ไม่ต้องปวดหัว เวียนเฮดกับเรื่องเงินๆ-ทองๆ เรื่องพันธบัตรระยะสั้น-ระยะยาว เรื่องเศรษฐกิจ-เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ที่ต้องพยายามทำความเข้าใจกันจนสมองโป่ง สมองบวม เอาง่ายๆ หรือจะไปเอาเทปเก่าๆ ของ “คู่มวยหยุดโลก”เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว คือการฟาดปาก-ฟาดกำปั้น เพื่อชิงตำแหน่งอภิมหาแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวทครั้งที่ 2 ระหว่าง “ไอ้มฤตยูดำ-ไมค์ ไทสัน”กับ “นักชกหัวใจรั่ว-อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์”เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ช่วงปี ค.ศ. 1997 อันนี้นี่แหละ...ที่อาจอาศัยเป็นพื้นฐานข้อวิเคราะห์และสังเคราะห์ ได้อย่างค่อนข้างจะสอดคล้องกับฉากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีน-อเมริกาช่วงนี้ แบบชนิดใกล้เคียงเอามากๆ...

คือสุดท้าย...มันก็ไม่สามารถดำเนินไปจนครบยก หรือจนถึงยกที่ 12 เพราะระหว่างยก 3 นั่นเอง ไอ้มฤตยูดำไทสันมันเกิดอาการ “อดรนทนไม่ไหว” ต้องตัดสินใจ “กระโดดกัดหู”อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ ชนิดหูขาดคาเวทีเอาดื้อๆ!!! โดยสาเหตุที่จะต้องกระทำการอันน่าเกลียด น่าชัง และน่าตื่นตะลึงพรึงเพริด เช่นนี้...เมื่อช่วง 5 ปีที่แล้ว หรือเมื่อปี ค.ศ. 2020 มันเพิ่งออกมาเปิดเผยความในใจแบบตรงไป-ตรงมา เอาเลยว่า “ผมกัดเขาเพราะว่า...ผมอยากฆ่าเขาให้ตาย!!! ผมคลุ้มคลั่งที่หัวผมถูกเขากระแทกครั้งแล้ว-ครั้งเล่า มันทำให้ผมหมดความอดทนกับการชก ผมเลยไม่สนใจแผนการสู้และทุกอย่างที่เคยเตรียมๆไว้อีกแล้ว...”หรือด้วยเหตุเพราะ “ผม...บ้าไปแล้ว”นั่นเอง!!!

การชกของมวยคู่นี้...เลยเป็นไปแบบไม่ครบยก โดยผลการตัดสินจึงต้องเป็นไปแบบเดียวกับการชกครั้งแรก นั่นก็คือ “อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์” เป็นฝ่ายชนะ ด้วยเหตุเพราะ “ความพ่ายแพ้ทางกติกา” ของไอ้มฤตยูดำ “ไมค์ ไทสัน” นั่นแหละเป็นเหตุ ส่วนการชกระหว่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกา กับผู้นำจีน “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” จะออกมาในแนวนี้ หรือไม่? อย่างไร? อันนี้...ถ้าหากใครที่มีโอกาสได้คลิกไปอ่านข้อเขียน บทความ ของสื่อทางการจีน อย่าง “Global Times” เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา (11 เม.ย.) ที่ให้ชื่อเอาไว้ว่า......China’s fight to the end is back by strongconfidence” ก็อาจพอนึกเทียบเคียงกับคู่มวยหยุดโลกระหว่าง “ไทสัน-โฮลีฟิลด์” ได้มั่งรางๆ หรือน่าจะพอมองเห็นความมั่นอก-มั่นใจของฝ่ายคุณพี่จีน ว่าเหตุที่เขาต้องสู้กันในแบบ “หยดสุดท้าย” นั้น ก็เพราะเขาเชื่อว่าเขายืนอยู่บนฝ่ายที่ถูกต้อง-ชอบธรรม ที่เป็นไปตามกฎ-กติกา เป็นไปตามระบบ-ระเบียบทางการค้า ซึ่งเปิดกว้างให้กับความเสรีและยุติธรรมโดยทั่วไป...

และอันที่จริง...ฝ่ายจีนเขาก็น่าจะเตรียมตัว เตรียมซ้อม ในการรับมือกับพวกนักชกขี้โมโห หรือพวกบ้า...ก็...บ้าวะแบบมฤตยูดำ “ไมค์ ไทสัน” หรือแบบ “ทรัมป์บ้า” มานานพอสมควรแล้ว อย่างที่สำนักข่าว “Bloomberg” ก็เคยให้ข้อสรุปไว้ก่อนหน้าที่สงครามการค้าคราวนี้จะเปิดฉากแค่ไม่กี่วัน ประมาณว่า... “ระบบเศรษฐกิจของจีนสามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า จีนได้เตรียมตัวรับมือกับสงครามการค้ามานานแล้ว” อะไรทำนองนั้น โดยจะใช้วิธีเอาหัวกระแทกไป-กระแทกมา หรือจะโดยวิธีอะไรก็แล้วแต่ แต่ด้วยการ “กระโดดกัดหู” ของ “ทรัมป์บ้า” ย่อมส่งผลให้อเมริกาเองนั่นแหละ แทบไม่เหลือความชอบธรรม หรือต้องประสบ “ความพ่ายแพ้ในทางกติกา” ได้ไม่ยากส์ส์ส์...

เพราะขณะที่ “ทรัมป์บ้า” แสดงอาการเหิมเกริม ลิงโลด ต่อการออกหมัด-เท้า-เข่า-ศอกใส่บรรดาประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลก ถึงขั้นเรียกหาแต่ละประเทศให้มา “Kiss-Ass” หรือมา “จูบตูด” ตัวเอง แต่สำหรับฝ่ายจีนแล้ว...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า แทบไม่ได้แสดงออกถึงความบุ่มบ่าม ความน็อตหลุด น็อตหลวมใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับพยายามแสดงออกถึง “ความยืดหยุ่น” การเปิดกว้างพร้อมจะเจรจาหาข้อยุติต่อสงครามการค้าคราวนี้ ไม่เช่นนั้น...ก็ต้องสู้ต่อไปจนหยดสุดท้าย อันสะท้อนให้เห็นถึง “สติ” และ “สัมปชัญญะ” ได้อย่างชัดเจนพอสมควร ไม่ได้ถึงกับ “คลุ้มคลั่ง” เพราะถูกเอาหัวกระแทกครั้งแล้ว-ครั้งเล่า แบบที่ไอ้มฤตยูดำ “ไมค์ ไทสัน” ได้ออกมาสารภาพ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา...

แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่...ไม่ว่า “มวยคู่นี้” จะจบลงไปในแบบไหน? อย่างไร? และเมื่อไหร่? สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลให้โลกทั้งโลกเจ็บปวดรวดร้าวกันไปมิใช่น้อย ยิ่งการชกยืดเยื้อไปอีกสักกี่ยกต่อกี่ยก ก็ยิ่งย่อมสร้างความ “ฉิบหาย” ให้กับบรรดาชาวโลกทั้งหลายไปด้วยกันโดยถ้วนหน้า เพราะโอกาสที่จะเกิดการ “ยกระดับ” ในการออกหมัด-เท้า-เข่า-ศอก ของแต่ละฝ่าย ไปสู่ขั้นไหนต่อขั้นไหน นับวันยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะแผ่ขยายวงกว้างยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะเป็น “สงครามทางการเงิน” ที่หัวหน้าฝ่ายวิจัยการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศธนาคาร “Deutsh Bank” อย่าง “นายGeorge Saravelos” ต้องออกมา “ส่งสัญญาณ” ไว้ล่วงหน้าว่าอาจลุกลามบานปลาย ไปถึงขั้นก่อให้เกิด “พื้นที่แห่งการไร้กฎและกติกา” (Unchartered Territory) เอาเลยถึงขั้นนั้น ไปจนถึง “สงครามทางเทคโนโลยี” หรือ “สงครามทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่บรรดาประเทศเล็ก-ประเทศน้อย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความได้เปรียบ-เสียเปรียบในทางภูมิรัฐศาสตร์ ต้องถูกกด ถูกบีบ ถูกลูกหลง หรือถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง-ส่วนใดกับการเอาแพ้-เอาชนะของมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย...

และสุดท้าย...บรรดา “สงคราม” ในลักษณะเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องกลายเป็น “สงครามเลือด” ไปจนได้ ดังที่อดีตผู้นำแรงงานชาวอเมริกัน “นายEugene Victor Debs” ได้เคยเอ่ยเป็นวาทะ เป็นสัจธรรม ไว้เมื่อกว่า 100 ปีที่แล้วนั่นเอง เพราะกระทั่ง “ระบบเศรษฐกิจ” ที่ได้กลายเป็นพื้นฐานและโครงสร้างของโลกทั้งโลก อย่างชนิดทั่วถึงกันไปทั้งหมด นั่นก็คือ “ระบบทุนนิยม” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะออกไปทาง “เสรี” หรือ “เผด็จการ” ก็ตาม แต่เมื่อต้องเจอกับ “ความไม่แน่นอน” (Uncertainty) อย่างที่อาจารย์ “สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร” ท่านต้องหยิบมาตั้งชื่อไว้ในข้อเขียน บทความ คอลัมน์ “รู้-เท่าทันโลก” เมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หรือเกิด “ความไม่เชื่อมั่น” อันถือเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ หรือเป็นองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของระบบดังกล่าวเอาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับการชักเข้า-ชักออกของผู้นำทุนนิยมโลกอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ได้แปรสภาพ “ทุนนิยมเสรี” ของอเมริกา ให้กลายเป็น “ทุนนิยมชาตินิยม” หรือเป็น “America First” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อันนี้...ก็ยิ่งตายโหง-ตายห่า ยิ่งขึ้นไปใหญ่!!!

ดังนั้น...ภายใต้บรรยากาศการโรมรัน พันตู ออกหมัด-เท้า-เข่า-ศอกและยกตีนลูบหน้ากันไปเป็นระยะของ “สงครามการค้า” ระหว่างอเมริกาและจีนคราวนี้ ก็จึงขึ้นอยู่กับว่า เมื่อเข้าสู่จังหวะยก 3 “ไอ้มฤตยูขาว-ทรัมป์บ้า” จะตัดสินใจ “กระโดดกัดหู” คุณพี่จีนกันเลยหรือไม่? อย่างไร? เพราะถ้าหากถึงขั้นนั้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็คงไม่ต้องเสียเวลาไปปวดหัว เวียนเฮดกับเรื่องรายละเอียดทางเศรษฐกิจ-เศรษฐศาสตร์ เรื่องการค้า-การขาย การเงิน-การทอง เรื่องพันธบัตรรัฐบาล ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรที่บรรดา “กูรู-กูรู้” ทั้งหลาย ท่านออกมาเขย่าขวัญ-สั่นประสาทชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ด้วยเหตุเพราะกฎและกติกานั่นเอง ที่จะทำให้บรรดา “กรรมการชาติเป็นกลาง” ทั้งหลาย ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องหันไปชูมือให้ “อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์” เป็นฝ่ายชนะอย่างเป็นเอกฉันท์โดยมิอาจปฏิเสธใดๆ ได้เลย!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น