ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถือเป็น “สัญญาณทางการเมือง” ที่มีนัยสำคัญยิ่งสำหรับการที่ “ลูกนก-ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ซึ่งประกาศในระหว่างลุกขึ้นอภิปรายระหว่างพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจาขอให้สภาฯพิจารณาศึกษาผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกาว่า เขาที่เป็นลูกชายของ “เนวิน-กรุณา ชิดชอบ” นั้น ไม่สนับสนุนการมีกาสิโนในประเทศไทย
และแม้ว่า “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะพยายามออกตัวว่าเป็น “ความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะ สส.” ไม่ใช่ในนามพรรค และขออย่ามองความเป็น “ลูกเนวิน” ก็ไม่สามารถลบล้าง “สาร” ที่ถูกส่งออกมาจาก “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” ได้
“ผมนายไชยชนก ชิดชอบ ลูกชายคนโตของนายเนวินและนางกรุณา ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย จะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโนเด็ดขาด” คือวรรคทองของ “ไชยชนก” ที่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การแสดงตัวว่าไม่สนับสนุน “ร่าง พ.ร.บ.กาสิโนฯ” เท่านั้น หากอยู่ตรงี่การเอ่ยถึงชื่อพ่อ-แม่ ที่ย่อมต้องมี “นัย” ในทางการเมือง
เป็น “นัย” ที่ถูกตีความว่า “ลูกนก” ไม่ได้อภิปรายถึงจุดยืนตัวเอง แต่เป็นการประกาศจุดยืนแทน “พ่อเนวิน” ที่วันนี้ไม่ได้เข้าสภาผู้แทนฯ และเลือกที่จะ “สั่งการ”
หรือแปลไทยเป็นไทยคือ “ลูกนก” ได้รับไฟเขียวจาก “พ่อเน” ให้มาเปิดปฏิบัติการในครั้งนี้
และยังเป็นการสำแดงให้เห็นว่า “ครูใหญ่เนวิน” หาใช่เพียงที่ปรึกษาหรือกองเชียร์ แต่คือตัวจริงเสียงจริงของ “ค่ายเซราะกราว” ที่เหนือกว่า “เสี่ยหนู” เสียอีก
แล้ว “นัย” ที่สื่อสารผ่านปาก “ลูกนก” ออกมา ก็ไม่ต่างจากการประกาศจุดยืนโดย “เจ้าของพรรค” ย่อมศักดิ์สิทธิ์เสียยิ่งกว่า “มติพรรค” ด้วยซ้ำ อันเป็นการส่งสัญญาณไปถึง “ค่ายสีแดง” พรรคเพื่อไทยว่า เรื่องนี้ “ค่ายสีน้ำเงิน” ไม่เอาด้วย
นอกจากนี้ยังเป็นการชูให้ “กาสิโน” มีความสำคัญเหนือกว่าส่วนอื่นๆในเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งไม่ต่างกับการย้อนเกล็ด “นายกฯอิ๊งค์” ที่ท่องคาถาองค์ประกอบของ “กาสิโน” มีเพียงไม่เกิน 10% เท่านั้น
ขณะที่หัวหน้าหนูก็ได้แต่อ้อมแอ้ม และยอมรับอยู่ในทีว่า ไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่ “พี่เน” เปิดการแสดงแต่ประการใด แต่ก็ออกตัวแก้เกี้ยวตามเกมไปว่า หากอนาคตจะต้องมีการลงมติร่างกฎหมายฉบับนี้หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ตามนโยบายรัฐบาล พรรคภูมิใจไทย จะสนับสนุนอย่างแน่นอน ตลอดจน สส.ในพรรคก็ห้ามแหกมติพรรคด้วย
“ผมได้เขียนข้อความผ่านไลน์ไปขออภัยท่านนายกฯแล้ว คิดว่า ทุกอย่างจะเรียบร้อย อย่างที่ผมบอกถ้าเรื่องสำคัญแบบนี้ ถ้าผมทราบว่า จะมีการอภิปรายแบบนี้ ถ้าเขาบอกก่อน ผมก็ต้องอยู่ในสภาด้วย แต่ผมมีภารกิจสำคัญมาก และไม่คิดว่าจะมีคิวที่นายไชยชนกพูด”นายอนุทินกล่าว
ที่สำคัญคือ ก่อนหน้าที่ “ลูกเนวิน” จะออกมาพูดในสภา ผู้ใหญ่ของ “ค่ายสีน้ำเงิน” อย่างน้อยก็ 2 คนที่มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
คนแรกก็คือ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ที่บอกว่า “อยากให้ทางรัฐบาลสอบถามประชาชนทั่วประเทศไทยว่าเห็นด้วยไหม ควรให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ผลกระทบของรัฐบาล รัฐบาลอย่าคิดว่าคุณใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากสังคมไทยตอนนี้ความเข้มแข็งยังอ่อนอยู่ อยากให้สร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัวก่อน แล้วค่อยมาถามประชาชนว่าเขาต้องการไหม เพราะเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ ประชาชนว่ายังไงก็ว่าอย่างนั้น แต่โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมเป็นคนชอบเล่นการพนัน แต่ผมก็ไม่เห็นด้วย เพราะผมมองว่าสังคมไทยเรายังไม่เข้มแข็งพอ”
คนที่สองคือ “เฮียตือ-สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” แห่ง “บ้านใหญ่อ่างทอง” ผู้เป็นพ่อของ “ภราดร ปริศนานันทกุล” รองประธานสภาฯ คนที่สอง และ” กรวีร์ ปริศนานันทกุล” ที่สังกัดพรรคภูมิใจไทย
“อย่านึกว่าตัวเองมีเสียงข้างมากแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจ คุณอาจจะชนะในระบบรัฐสภาตามเสียงข้างมาก แต่ไม่มีทางชนะประชาชนได้ สิ่งที่เป็นห่วงคือประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนนิรโทษกรรมสุดซอย ที่ชนะในสภาฯ แต่ยังไม่ทันถึงวุฒิสภา ประชาชนมาเต็มถนนแล้ว”สมศักดิ์กล่าว
และก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า “ภราดร” คือหนึ่งในสส.ค่ายสีน้ำเงินที่เคยตั้งโต๊ะแถลงคัดค้านกฎหมายกาสิโนในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลเศรษฐา ทวีสินมาสู่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรมาแล้ว
แถมระหว่างทางก็ยังมีความเคลื่อนไหวของเครือข่าย ”สีน้ำเงิน“ ที่แสดงจุดยืนตามแนวทางที่ ”ครูใหญ่เซราะกราว“ วาง ไว้ในหลายวาระ อาทิ กลุ่ม189 อดีต สว. หรือกลุ่ม สว.ชุดปัจจุบัน ที่ชักแถวกันออกมาคัดค้านบ่อนกาสิโน เป็นต้น
ตรงนี้เองที่เป็นความแยบยลของ “คนหลังม่าน” แห่งค่ายเซราะกราว ที่วางจังหวะก้าวของ “คนภูมิใจไทย” ไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยแจกการบ้านให้แกนนำพรรคที่มีดีกรีพรรษาการเมืองระดับ “รุ่นใหญ่” แสดงจุดยืนว่า ไม่เห็นด้วยการเสนอร่างกฎหมาย และไปไกลจนถึงไม่เห็นด้วยกับการมี “กาสิโน” หรือบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย
แม้ตัว “อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะให้สัมภาษณ์ในวันถัดมาว่า ไม่ติดใจในสิ่งที่ “ไชยชนก”พูดและเป็นเรื่องที่พรรคภูมิใจไทยต้องไปเคลียร์กันเองเป็นการภายใน ก็มิได้หมายความว่า จะเคลียร์ได้ง่ายๆ
นอกจากนั้น ก่อนที่ “ไชยชนก” จะเปิดปฏิบัติการ ก็มีมีกระแสข่าวออกมาว่า เจ้าของรหัส “V 1” มี ”โนติส“ ไปถึงพรรคร่วมรัฐบาล ให้ลงมติสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยห้ามบิดพลิ้วเด็ดขาด หากไม่ยินดีที่จะสนับสนุนก็คงต้องปรับออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
เดิมทีก็มีผู้ที่คล้อยตามไปกับ “เงื่อนไข” จนเชื่อไปว่าออกมาจาก “ทักษิณ” จริงๆ แต่เมื่อมีการเช็กต้นทางก็ทำให้รู้กันว่า แท้ที่จริงแล้วเป็น “ข่าวปล่อย” จากพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ที่หวังตีรวนให้เกิดความสับสนก่อนการที่สภาฯจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กาสิโนฯ
เป้าประสงค์ก็เพื่อทำให้คิดไปว่า “V 1” หมกมุ่นกับเรื่องเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นอย่างมาก ถึงขั้นนำมาเป็นเงื่อนไขที่พรรคร่วมฯ ไม่อาจปฏิเสธได้ อันรวมไปถึง “ค่ายด้ามขวาน” พรรคประชาชาติ ที่มีเรื่องหลักศาสนาที่อาจทำให้ไม่สามารถลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายที่มีกาสิโนประกอบส่วนหนึ่งได้
เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียวได้ 2 เด้ง ทั้ง “ทักษิณ” ที่ถูกยกตำแหน่งผู้ร้ายให้ และ “พรรคประชาชาติ” ที่ต้องไปเหนื่อยอธิบายให้กับคนในพื้นที่ชายแดนใต้เข้าใจ
รูปการณ์เป็นเช่นนี้ก็คงเดาไม่ยากว่า “ข่าวปล่อย” ออกมาจากพรรคไหนในรัฐบาล
คำถามสำคัญก็คือ ทำไม “นายใหญ่ตัวจริงแห่งค่ายสีน้ำเงิน” ถึงตัดสินใจเช่นนี้
คงต้องยอมรับกันว่า “กาสิโน” นั้นถือเป็น “จุดอ่อน” ที่สามารถแปรสภาพเป็น “ชนวนล้มทักษิณ” ได้อย่างมีพลังที่สุด เพราะมี “กระแสต้าน” จากทั้งบุคคล, องค์กร, หน่วยงาน และกลุ่มวิชาชีพ โดยเฉพาะจาก “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ไม่นับรวมถึงพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย ”เสี่ยเท้ง“ ณัฐพล เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ที่วันนี้กินตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรด้วย ที่ ”แทงสวน“ ฝ่ายรัฐบาลทุกเรื่องอยู่แล้ว
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือน่าจะมี “สัญญาณพิเศษ” บางประการ ซึ่ง “ทักษิณ” เองก็รับรู้ได้ จึงแจ้งมายัง “นายกฯ ลูกสาว” ให้ “ถอนฟืนออกจากไฟ” ด้วยการขอ ”เลื่อน“ วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจร หรือร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือที่ถูกตราหน้าว่าเป็น ”ร่าง พ.ร.บ.กาสิโนฯ“ ออกไปก่อนด้วยความจำใจ เพื่อปิดความเสี่ยงที่อาจทำให้รัฐบาลชุดนี้ต้องพังครืนลงมาก่อนกำหนด
ทั้งที่วาระการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้เพื่อรับหลักการในวาระที่ 1 นั้นอยู่ในคิวเรื่องแรกของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันรุ่งขึ้น ด้วยพรรคเพื่อไทยได้เสนอญัตติ “แซง” ขึ้นมาในการประชุมสภาฯ หนก่อน ทั้งที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และได้รับการบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯไม่ถึงสัปดาห์
ขณะเดียวกันก็เป็นที่รับรู้กันว่า “ค่ายสีน้ำเงิน” นั้น ต้องการเป็นหัวขบวนของ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” มาโดยตลอด และก่อนหน้าที่ “ลูกเนวิน” จะเปิดปฏิบัติการ สะท้านทรวงในครั้งนี้ พรรคภูมิใจไทยเองก็เพิ่งมีอีเวนท์สำคัญด้วยการ “รีแบรนด์” ครั้งใหญ่เมื่อวันคล้ายวันเกิดของพรรค โดยมีการปรับเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ หรือโลโก้พรรค ที่ยังคงรายละเอียดเดิม แต่ปรับสีจากเดิมที่เป็น “แดง-น้ำเงิน” เป็นเหลือเฉพาะ “สีน้ำเงิน“ ล้วน ก็ยิ่งทำให้มองได้ว่า พวกเขาต้องการถือธงนำของ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม”
แน่นอน เป้าหมายของพรรคภูมิใจไทยมิได้ขีดวงเฉพาะมวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยมเท่านั้น จนมีการตีความว่า ค่ายสีน้ำเงินกำลังเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ และเป็นปฏิบัติการใหญ่ที่เชื่อว่าต้องมี “นายใหญ่ทักษิณ” ศูนย์กลางอำนาจปัจจุบันอยู่ในเส้นเรื่อง
ต้องบอกว่า ด้วยสรรพกำลังในขณะนี้ ทำให้ “ค่ายสีน้ำเงิน” มีความมั่นใจเป็นพิเศษ ทั้งจำนวน สส.ที่มีราว 70 เสียง ก็เป็นเสียงสวิงที่สำคัญสามารถพลิกกระดานการเมืองได้ทันที รวมทั้งยังมี สว.ที่เชื่อลึกๆว่า คงไม่ล้มคว่ำไปหมดทั้งชุด หรือกองกำลังข้าราชการภายใต้กระทรวงมหาดไทย ที่พรรคภูมิใจไทยยึดสัมปทานอยู่
นอกจากนั้น เมื่อไม่นานมานี้ “เนวิน“ ก็เพิ่งประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ด้วยการบรรยายพิเศษหัวข้อ “แนวทางการพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ยุคใหม่ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์การบริหารส่วนจังหวัด” แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายก อบจ.ทั่วประเทศ ที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง รวมทั้งทุกคนยังสวมเสื้อทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ของ “เนวิน“ อีกด้วย
ก่อนหน้านี้ มีการจับสังเกตว่า หลังการพบกันระหว่าง “นายกฯ อิ๊งค์” กับ “เนวิน” ที่ จ.บุรีรัมย์ เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน อาจมีจังหวะที่จะจูนความเข้าใจกันมากขึ้น หลังก่อนนี้ไม่นาน “เนวิน-อนุทิน“ ถูกเชิญเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อเจรจาต่อรองเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันในรัฐบาล อันอาจนำไปสู่การปรับ ครม. โดยเฉพาะเรื่องการสลับโควตากระทรวงระหว่างกัน หรือการเกลี่ยโควตากระทรวงใหม่ตามความประสงค์ของนายใหญ่คนเสื้อแดง
สิ่งที่ต้องจับตามีเพียงหนึ่งเดียวคือ “ทักษิณ ชินวัตร” จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร จะ “ทน” ยอมให้มีการลูบคมและยอมรับกับสถานการณ์ตบจูบในลักษณะนี้ต่อไป หรือจะถึงขั้นแตกหัก เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า คนอย่าง “ทักษิณ” ไม่ยอมให้ใครมาลูบคมง่ายๆ แถมยังเป็นการลูบคมครั้งที่สองหลังก่อนหน้านี้เจ็บปวดกับคำว่า “มันจบแล้วครับนาย” มาแล้ว
ที่สำคัญคือ “ทักษิณ” รู้แล้วว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเกมการเมืองสารพัดสารพันที่โจมตีเรื่องกาสิโนนั้นมาจาก “ใคร”
อย่างไรก็ตาม การจัดการกับ “ค่ายสีน้ำเงิน” ด้วยการขับ “พรรคภูมิใจไทย” ออกจากพรรคร่วมรัฐบาลไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีแรงยุส่งจากบรรดาลูกพรรคมากพอสมควร
เช่น “อดิศร เพียงเกษ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ร่ายกลอนชนกับพรรคภูมิใจไทยซึ่งๆ หน้าเอาไว้ว่า “ไม่อยากร่วม รัฐบาล ก็ออกไป ภูมิใจถอก ภูมิใจไทย รีบไสหัว อย่าเป็นเข้ขวางคลองอย่าอนอัว อย่ายกตัว ข่มคนอื่น มันคลื่นใส้.. ??? !!!!”
ทั้งนี้ มีความเชื่อลึกๆว่า หากไม่จำเป็นจริงๆ “นายใหญ่” เลือกที่จะเก็บพรรคภูมิใจไทยไว้ใกล้มือในฝ่ายรัฐบาล เพราะรู้มือ “เนวิน” ดีว่าสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้เบอร์ไหนทั้งงานบนดิน-ใต้ดิน
หากทะเล่อทะล่าด่วนเอา ”ค่ายสีน้ำเงิน“ ออกจากสมการรัฐบาล การตอบโต้กลับมาอาจไม่คุ้มเสีย โดยเฉพาะการที่ขณะนี้มี “ม็อบขาประจำ” เป็นหัวเชื้อความวุ่นวาย แต่ยังขาดในเรื่องมวลชนที่น้อยจนไม่น่าจะขยับอะไรได้ แต่หากได้แรง “เนวิน” มาช่วยเติมมวลชนให้ม็อบคึกคักขึ้นหลายเท่า ดังที่เคยทำและจุดติดมาแล้วในอดีต ทั้งเสื้อแดงหรือเสื้อน้ำเงิน
ส่วน “ร่างกฎหมายกาสิโน” นั้น แม้ “นายกฯอิ๊งค์” จะระบุว่า จะนำกลับมาให้ที่ประชุมสภาฯ พิจารณาทันทีที่เปิดสมัยประชุมรัฐสภาอีกครั้งราว 2 เดือนข้างหน้า แต่ดูจากรูปการณ์แล้วคงทำไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจต้องการ และเผลอความฝันที่จะทำ “บ่อนบนดิน” อาจจะล้มพับไปด้วยซ้ำไป.