ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
บ่อนกาสิโนที่มาเก๊ากับรัฐบาลทุศีล
การไปนั่งเขียนงานอยู่ที่จีนยังคงมีอยู่ในปีต่อมาคือปี 2004 แล้วผมก็เขียนเสร็จ หลังจากนั้นผมก็ยังคงมีภารกิจที่จะต้องไปจีนอยู่เสมอ เพียงแต่ที่ไปนั้นคือที่ที่เคยไปมาแล้ว และเคยเล่าไปแล้วในผลงานชุดนี้ จึงไม่มีอะไรจะให้เล่าอีก ส่วนภารกิจที่ไปมักจะเป็นการประชุมทางวิชาการเสียมากกว่า
ครั้นภารกิจดังกล่าวสิ้นสุดลงอีก ผมก็คิดเหมือนเดิมอีกว่ายังจะมีโอกาสไปจีนอีกไหม ถึงตอนนั้นเวลาก็ลุล่วงไปถึงปี 2007 ปีนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในการไปจีนของผม กล่าวคือ ผมไม่ได้ไปจีนเพื่อภารกิจแบบเดิมๆ อีก แต่เป็นภารกิจใหม่ที่ผมไม่เคยทำมาก่อนและไม่คิดว่าจะได้ทำ
นั่นคือ การได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรบรรยายให้แก่คณะบุคคลที่ไปทัศนศึกษาที่จีน และผู้เชิญจะมีทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ตอนนั้นผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่า การที่ได้รับเชิญเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะหน่วยงานเหล่านั้นคงเห็นผลงานเรื่องจีนของผม ทั้งในรูปแบบหนังสือ การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หรือการเขียนบทความลงในหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เชิญโดยมากมักจะเป็นภาคเอกชนมากกว่าภาครัฐ โดยต่อมาก็ได้เชิญผมอย่างต่อเนื่องแทบจะทุกปีก็ว่าได้ และทำให้ผมได้ไปจีนทุกปีเช่นกัน ถึงตอนนั้นวัยของผมก็เรียกได้ว่าฉกรรจ์เต็มที่ และในระหว่างนี้จะมีงานวิจัยแทรกเข้ามาอยู่ช่วงหนึ่งเช่นกัน แต่ก็น้อยกว่าแต่ก่อน
บทบาทการเป็นวิทยากรของผมจะไม่เหมือนกับคนที่เป็นมัคคุเทศก์ ที่มักจะมีลูกล่อลูกชนไม่ให้คณะที่ไปเบื่อหน่าย โดยมักจะมีเรื่องตลกขบขันมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ การเป็นวิทยากรของผมนี้โดยหลักแล้วจะบรรยายกึ่งๆ วิชาการ แต่ก็ไม่เหมือนการบรรยายในชั้นเรียน ด้วยผมจะมีเรื่องเล่าแทรกเป็นระยะอยู่ด้วย
เรื่องต่างๆ ที่ผมเล่านั้นหลายครั้งเป็นไปโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเตรียมตัวมาก่อน ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อบรรยายถึงเรื่องหนึ่งแล้วเกิดนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาก็เลยเล่าไป และ “อีกเรื่องหนึ่ง” ที่ว่านี้เป็นเรื่องที่ผมสะสมมานานจนอยู่ในหัว ชั่วอยู่แต่ว่าจะถูกขุดขึ้นมาเล่าเมื่อไรเท่านั้น
กล่าวให้ถึงที่สุดก็คือ เป็นเรื่องที่ได้จากการอ่าน การวิจัย และจากประสบการณ์ที่ได้มาจีนอย่างต่อเนื่องยาวนานนับสิบปี การสะสมเช่นนี้เป็นไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมจำได้ว่า แรกที่ภาคเอกชนเชิญผมนั้น ผมได้บอกไปว่าผมไม่เคยเป็นวิทยากรมาก่อน เกรงว่าจะทำไม่ได้หรือทำได้ไม่ดี แต่คนเชิญก็บอกว่า เขามั่นใจว่าผมทำได้
ผมฟังแล้วก็รับปากไป และครั้นถึงเวลาทำจริงก็ทำได้พอรอดตัว และพอผ่านครั้งแรกไปได้ ครั้งต่อๆ มาก็เริ่มคุ้นเคย และเริ่มสนุกกับการเล่าเรื่องที่เรารู้ให้แก่คนฟัง ซึ่งถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
แต่ประเด็นปัญหาก็คือว่า สถานที่ๆ ผมไปในฐานะวิทยากรนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นสถานที่ที่ผมเคยเล่าไปแล้ว ซึ่งก็คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงของจีนและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ผมจึงไม่มีอะไรที่จะเล่า ยกเว้นเสียแต่ว่าเป็นสถานที่ที่ผมไม่เคยเล่าในที่นี้เท่านั้น ซึ่งก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็น้อย
และหนึ่งในนั้นก็คือ บ่อนกาสิโนที่มาเก๊า
มาเก๊าเป็นที่ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน ตราบจนเมื่อได้เป็นวิทยากรนี่แหละ ทางเจ้าภาพก็จัดให้ได้ไปกัน ซึ่งสำหรับผมแล้วถือเป็นผลพลอยได้
มาเก๊า (Macau) เป็นภาษาโปรตุเกส กล่าวกันว่า ชื่อเดิมในเสียงจีนกลางคือ อามากั่ง (啊/亚妈港) หรืออาหมากั่ง (阿马港)
เล่ากันว่า แรกที่ชาวโปรตุเกสเข้ามายังมาเก๊านั้นได้ถามคนพื้นเมืองว่าเมืองที่ตนเข้ามาอยู่นี้มีชื่อเรียกว่ากระไร คนพื้นเมืองจึงตอบเป็นภาษาถิ่นของตนว่า หม่ากอก (Ma-Kok) ซึ่งในภาษาจีนกลางก็คือ หม่าเก๋อ (马阁) ชาวโปรตุเกสจึงเรียกชื่อเมืองนี้ตามที่ตนได้ยินว่า มาเก๊า
มาเก๊าเป็นเมืองที่โปรตุเกสเช่าจากจีนนานนับร้อยปี จนถึงปี 1998 ก็หมดสัญญาเช่าจึงได้ส่งคืนให้แก่จีนไป เมื่อจีนรับคืนมาแล้วก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของมาเก๊ามากนัก ที่เคยเป็นเคยมีอย่างไรก็ปล่อยไปตามนั้น และบ่อนกาสิโนก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ถือเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของมาเก๊า
เมื่อไปถึงที่ตั้งบ่อนกาสิโนของมาเก๊านั้น ผมไม่ได้เข้าไปในบ่อน แต่จะยืนดูจากชั้นบนที่คล้ายชั้นลอย พื้นที่บ่อนมีขนาดใหญ่มาก คนที่เข้าไปเล่นก็มากมาย แต่ละโต๊ะของการพนันแต่ละประเภทล้วนมีนักพนันรุมล้อม ทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตนพนันขันต่อ จนไม่มีใครเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะหรือเครื่องเล่นพนันของตนเลยก็ว่าได้
ที่สำคัญ ในบ่อนจะไม่มีนาฬิกาประดับฝาให้นักพนันได้ดูเวลา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาพะว้าพะวงว่าถึงเวลาจะต้องหยุดหรือกลับบ้านได้แล้ว เรียกได้ว่า ทางบ่อนตั้งใจให้นักพนันเล่นกันอย่างเต็มที่ และในเมื่อไม่มีนาฬิกาแล้ว ไฟในบ่อนก็จะสว่างจ้าเหมือนเวลากลางวันตลอด 24 ชั่วโมง นักพนันจะเล่นกันเพลินจนไม่รู้วันเวลา รู้สึกเหมือนว่ามันยังกลางวันอยู่ ความคิดเช่นนี้ของคนทำบ่อนจึงแยบยลปนเจ้าเล่ห์เพทุบาย จนผมอยากจะบอกแรงๆ ว่า อุบาทว์มาก
ไม่เพียงเท่านั้น ภายใต้แนวคิดที่ทำให้นักพนันเพลิดเพลินกับการเล่นพนันดังกล่าว บ่อนกาสิโนไม่เพียงทำให้บ่อนดูเป็นกลางวันตลอดกาลเท่านั้น แม้ภายนอกบ่อนออกไปก็ทำให้ดูเป็นกลางวันอีกด้วยเช่นกัน
กล่าวคือ ภายนอกบ่อนจะมีร้านค้าขายสินค้าต่างๆ เหมือนในห้าง ซึ่งมีทั้งสินค้าแบรนด์เนมและสินค้าที่ดูดีมีราคาที่คนท้องถิ่นผลิตขึ้นเอง มีร้านขายอาหาร บาร์หรือผับ ร้านกาแฟ ฯลฯ โดยที่ด้านนอกบ่อนออกไปจะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ ถ้านึกภาพไม่ออกก็ขอให้นึกถึงห้างเซ็นทรัลเวิลด์หรือสยามพารากอน บ่อนกาสิโนก็จะสร้างประมาณนั้น
คำถามคือ แล้วเขาทำให้ดูเป็นกลางวันอย่างไร?
เขาทำอย่างนี้ครับ คือร้านค้าต่างๆ จะตั้งเรียงรายอยู่สองข้าง โดยตรงกลางทางเดินทั้งสองฟากฝั่งของห้างจะเป็นลำคลอง ลำคลองนี้จะมีเรือกอนโดล่า (Gondola) แบบอิตาลีคอยให้บริการ ส่วนคนที่ใช้บริการจะให้คนพายเรือร้องเพลงเสียงสูงๆ แบบโอเปร่าก็ได้ คนร้องก็ร้องได้เสียงดังฟังชัดโดยไม่ต้องใช้เครื่องเสียงช่วย
ที่สำคัญ บนเพดานเหนือลำคลองขึ้นไปจะถูกทาด้วยสีฟ้าของท้องฟ้า โดยจะวาดให้มีปุยเมฆอยู่เป็นหย่อมๆ เหมือนกับท้องฟ้าจริงๆ เหมือนจนผมเองก็คิดว่าเป็นท้องฟ้าที่เห็นจากด้านนอกโดยเพดานถูกคลุมด้วยกระจกใส แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ มันคือท้องฟ้าที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แล้วก็ใช้ไฟที่ซ่อนอยู่ส่องให้สว่างจนดูเป็นกลางวัน
ทั้งหมดนี้ก็คือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) หรือสถานบันเทิงครบวงจรที่รัฐบาลทุศีลกำลังกระสันอยากจะให้เกิด ซึ่งมันก็ครบวงจรโดยมนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นจริงๆ เสียด้วย
แต่แล้วสิ่งที่ผมเห็นจริงๆ ก็คือ คนที่ไปเดินเล่น ดูหรือซื้อสินค้า ทานอาหาร ดื่มกาแฟหรือเหล้ายาปลาปิ้ง ฯลฯ นั้น มีน้อยยิ่งกว่าน้อยเมื่อเทียบกับนักพนันในบ่อน บ่อนกาสิโนต่างหากที่ดึงดูดคน ไม่ใช่สถานบันเทิงหรือร้านค้านอกบ่อนแต่อย่างไร ซึ่งดูไปแล้วก็ไม่ต่างกับไม้ประดับ
ผมเห็นแล้วด้านหนึ่งก็นึกชมความคิดอันอุบาทว์ของคนสร้าง ว่ามอมเมาคนได้อย่างยอดเยี่ยมแยบยล แต่อีกด้านหนึ่งก็คิดว่า จะมีก็แต่รัฐบาลทุศีลเท่านั้นที่คิดจะหากินจากบ่อนกาสิโนแล้วอ้างเหตุผลร้อยแปดพันเก้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เหลวไหลทั้งสิ้น