xs
xsm
sm
md
lg

สงครามการค้าของ “ทรัมป์บ้า” อาจกลายเป็นสงครามเลือด!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นที่จะต้องไปพูดจาว่ากล่าวในเรื่อง “ทรัมป์บ้า” กันอีกนั่นแหละทั่น!!! ที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้สร้างความตื่นตระหนก ฮือฮา ให้กับใครต่อใครทั่วทั้งโลก ด้วยมาตรการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริกาครั้งใหญ่ ไม่ว่าต่อประเทศที่เป็นมิตรหรือศัตรู แม้แต่ประเทศที่พยายามยืนถ่างขาระหว่างอภิมหาอำนาจแบบ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” มาโดยตลอด อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย ยังมิวายเจอเข้าไปถึง 36-37 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น...

เหตุที่ผู้นำอเมริกาต้องออกอาการบ้ากันไปถึงขั้นนั้น...ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าความมุ่งมั่น ความเพียรพยายาม หวังที่จะนำพา “อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” หรือ “America Great Again” ให้จงได้นั่นเอง แม้ว่าประเทศตัวเองออกจะเสื่อมโทรม ทรุดโทรม ลงไปในทุกขณะ ไม่ว่าด้วยจำนวนหนี้สินที่สูงระดับอาจต้องชดใช้ในชาติหน้าหรือไม่ก็ชาติโน้น ไม่ว่าเรื่องของค่าเงินสกุลดอลลาร์ที่มีแต่จะต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปทุกที ฯลฯ ความพยายาม “ดิ้นรน” เพื่อหาทางเอาตัวรอดจากสภาพเช่นนี้ มันเลยย่อมก่อให้เกิดมาตรการและนโยบายแบบประเภทแปลกๆ ใหม่ๆ พิลึกกึกกือ พิสดาร วิตถาร อย่างที่ผู้คนโดยปกติธรรมดามิอาจจินตนาการได้ ออกมาเป็นชุดๆ ด้ามๆ ไม่ว่าการคิดจะขาย “บัตรทอง” ใบละ 5 ล้านดอลลาร์ให้กับอภิมหาเศรษฐีที่อยากได้สัญชาติเป็นอเมริกัน คิดลดงบประมาณค่าใช้จ่ายของประเทศให้ได้ถึงปีละ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ไปจนถึงการ “ป่วนโลก” ด้วยมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรต่อประเทศต่างๆ อย่างที่ทราบๆ กันไปแล้ว...

แต่สิ่งเหล่านี้จะสามารถก่อให้เกิดการบรรลุเป้าหมายของ “ทรัมป์บ้า” หรือไม่? ประการใด? หรือกลับจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อบรรดาชาวโลกหรือแม้แต่ชาวอเมริกันชนทั้งหลายกันแทนที่ เพราะโอกาสที่จะใช้หนี้สินของประเทศระดับสูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์นั้น แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว “Bloomberg” อย่าง “นายMichael Bloomberg” ยังต้องออกมาให้สัมภาษณ์ ออกมา “เตือน” ไว้ล่วงหน้า ว่าอาจประมาณชาติหน้าตอนบ่ายๆ อะไรประมาณนั้น ด้วยเหตุเพราะภาวะหนี้สินดังกล่าวกำลังใกล้จะนำไปสู่ “ความล่มสลายทางการเงินและการคลัง” ของประเทศอเมริกายิ่งเข้าไปทุกที อีกทั้งการหันมา “รีดภาษี” เอากับประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลก กลับจะกลายเป็นตัวกดดันกิจกรรมทางการค้าและการสร้างงานให้กับสหรัฐฯ อีกด้วยต่างหาก...

ไม่ต่างไปจากหัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศธนาคาร “Deutsche Bank” ประเทศเยอรมนี “นายGeorge Saravelos” ที่กลับมองว่ามาตรการ “ป่วนโลก” ของ “ทรัมป์บ้า” คราวนี้อาจก่อให้เกิดการ “ย้อนศร” หรือ “ยืมหอกสนองคืน” ของบรรดาประเทศต่างๆ อันจะนำมาซึ่ง “วิกฤตอย่างลึกซึ้ง” ต่อความเชื่อมั่นของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ อย่างชนิดมิอาจหวนคืนมาสู่สถานะเดิมๆ ต่อไปได้อีก นั่นยังไม่รวมไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าว ของบรรดาอเมริกันชนแต่ละราย ที่ต้องเจอกับภาวะ “หุ้นตก” แบบแดงเถือกไปทั้งกระดาน ภาวะสินค้าราคาแพงจนอาจทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อสูงโด่เด่ขึ้นมาอีกครั้ง ไปจนภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” แบบอาจต้อง “เจ๊ง-กับ-เจ๊ง” กันไปเป็นแถบๆ...

ถึงแม้บรรดาความเจ็บปวดเหล่านี้จะได้รับการปลุกขวัญ ปลุกใจ ด้วยคำขวัญประเภทที่ว่า “No Pains-No Gains” หรือต้องผ่านความเจ็บ ความปวดอยู่มั่ง ก่อนบรรลุเป้าหมาย ดังที่อาจารย์ “สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร” ท่านนำมาเล่าสู่กันฟังในคอลัมน์ “รู้-เท่าทันโลก” เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็นั่นแหละ...มันจะต้อง “Pains” กันไปอีกนานเท่าไหร่ มากหรือน้อยขนาดไหน มันถึงจะ “Gains” หรือถึงจะกลับมา “America Great Again” แบบจริงๆ จังๆ อีกทั้งความยิ่งใหญ่อันเป็นเป้าหมายของ “ทรัมป์บ้า” นั้น เอาไป-เอามาแล้ว...มันจะใหญ่กันแบบไหน? รูปไหน? แบบที่สามารถก่อให้เกิดการ “อยู่ร่วมโดยสันติ” กับใครต่อใคร กับ “ขั้วอำนาจ” แต่ละขั้ว ที่ได้ปรากฏตัวอย่างชัดแจ้ง ภายใต้โลกที่ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือจะใหญ่ในแบบที่ต้องไล่ถีบ ไล่กระทืบ ขั้วอำนาจอื่นๆ จนโลกทั้งใบมิอาจสุข-สงบต่อไปได้อีกเลย หรืออาจเลี่ยงไม่พ้นต้องวัดตัดสินกันด้วย “สงคราม” ในวาระสุดท้าย???

อันนี้นี่แหละ...ที่น่าวิเคราะห์เจาะลึกกันให้ถึงกึ๋น-ถึงแก่น เพราะนอกจากความพยายามบรรลุเป้าหมายของ “ทรัมป์บ้า” ในแง่เศรษฐกิจ-การค้าแล้ว ความพยายามบรรลุเป้าหมายในด้านอื่นๆ เช่นด้านการทหารเป็นต้น ก็ดูจะออกอาการ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ไม่ต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นการทุ่มงบประมาณเกือบ 5,000 ล้านดอลลาร์ให้กับบริษัท “Lockheed Martin Corp” เมื่อไม่กี่วันมานี้ เพื่อพัฒนาขีปนาวุธ “PrSM” (The Precision Strike Missile) ให้เหนือไปกว่าขีปนาวุธ “Iskander” ของรัสเซียและ “DF-26” ของจีนให้จงได้!!! และเมื่อวันที่ 21 มีนาฯ ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง รัฐบาลอเมริกันได้ทุ่มเงินงบประมาณอีกไม่รู้กี่ต่อกี่พันล้านดอลลาร์ ให้กับบริษัท “Boeing” เพื่อพัฒนาเครื่องบินโจมตีล่องหน “F-47” ให้เป็นเครื่องบินเจเนอเรชั่นที่ 6 (sixth-generation) หรือเพื่อให้เหนือไปกว่าเครื่องบิน “Mig-41” ของรัสเซีย และเครื่องบินล่องหนเจเนอเรชั่นที่ 6 ของจีน หรือเครื่องบิน “J-50” ที่ได้ปรากฏตัวต่อสายตาผู้คนไปเมื่อเร็วๆ นี้...

ยิ่งไปกว่านั้น...เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (30 มี.ค.) รัฐมนตรีพลังงานรายใหม่ “นายChris Wright” ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “Fox News” ถึงการปรับปรุงคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ให้ทันสมัยยิ่งๆ ขึ้นไป หรือเพื่อให้มั่นใจได้ว่า “โลกจะเกิดความเชื่อมั่น 100 เปอร์เซ็นต์ว่าอเมริกาคือผู้นำสูงสุดของเทคโนโลยีด้านนี้” ด้วยการทำให้หัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 1,770 หัวรบที่ประจำการในกองทัพอเมริกา มีแสนยานุภาพเหนือไปกว่าหัวรบนิวเคลียร์ 1,700 หัวรบของรัสเซีย หรือ 600 หัวรบของจีน อันถือเป็นความยิ่งใหญ่ที่ออกจะ “อันตราย” เอามากๆ ต่อบรรดาชาวโลกทั้งหลาย และนั่นยังไม่รวมไปถึงความยิ่งใหญ่ภายใต้ความมุ่งมั่น ตั้งใจ คิดผนวกเกาะกรีนแลนด์มาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอเมริกาให้จงได้ อันเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ถึงกับต้องออกมาเตือนบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของตัวเองไว้ล่วงหน้าว่า “มันคงเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงที่คิดว่า การคิดผนวกเกาะกรีนแลนด์ของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นแค่การพูดเรื่อยๆ เปื่อยๆ เพราะมันไม่ใช่แบบนั้น แต่เป็นแผนการที่เป็นจริง-เป็นจัง ที่อาจทำให้ภูมิภาคอาร์กติกกลายเป็น...จุดเริ่มต้นความขัดแย้งแห่งอนาคต”!!!

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยเหตุเพราะ “ขั้วอำนาจ” อย่างรัสเซียและจีน สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในภูมิภาคบริเวณนี้ได้เพิ่มขึ้นๆ ตามลำดับ ไม่ว่าในแง่เศรษฐกิจ การค้า หรือช่องทางเดินเรือ ไปจนถึงในแง่การทหาร ความพยายามที่จะ “เตะตัดขา” มหาอำนาจคู่แข่งเอาไว้ก่อนล่วงหน้า จึงไม่ใช่แค่การพูดเรื่อยๆ เปื่อยๆ แต่ออกอาการ “บ้า...ก็...บ้าวะ” แบบเดียวกับเรื่องเศรษฐกิจ การค้า หรือมาตรการขึ้นภาษีของ “ทรัมป์บ้า” เขานั่นแหละ หรือเผลอๆ อาจบ้าไปถึงขั้นที่เคยสัญญิง สัญญาไว้กับบรรดาอเมริกันชน ว่าจะต้องส่งคนไป “ดาวอังคาร” ให้จงได้ โดยคงไม่ได้แค่คิดไปค้นคว้าหาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์อะไรกันมากมาย แต่อาจคิดไปหาที่เหมาะๆ เพื่อติดตั้งขีปนาวุธในอวกาศ แบบที่รัฐบาลอเมริกันยุคอดีตประธานาธิบดี “เรแกน” เคยคิดๆ เรื่องโครงการ “Star Wars” มาแล้วนั่นแหละ หรือเพื่อแปรสภาพอวกาศให้กลายเป็น “สนามรบ” เพื่อความเหนือกว่าบรรดามหาอำนาจคู่แข่งทั้งหลาย!!!

ด้วยเหตุนี้...เอาเป็นว่า ไม่ว่าการทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของ “ทรัมป์บ้า” กำลังก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อบรรดาชาวอเมริกันและชาวโลกมาก-น้อยขนาดไหน แต่สุดท้าย...ความพยายามบรรลุเป้าหมายของผู้นำอเมริการายนี้ น่าจะก่อให้เกิดความน่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้นอีกหลายต่อหลายเท่า เพราะการทำให้ขั้วอำนาจอเมริกายิ่งใหญ่กว่าขั้วอำนาจใดๆ ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องวัดตัดสินกันด้วย “สงคราม” นั่นแหละเป็นหลัก อย่างที่อดีตผู้นำแรงงานชาวอเมริกันเอง “นายEugene Victor Debs” ท่านเคยเอ่ยเป็นวาทะเป็นสัจธรรมเมื่อกว่า 100 ปีที่แล้วนั่นแหละว่า “Sooner or later every war of trade become a war of blood” หรือไม่ช้าก็เร็ว...ที่สงครามการค้าทุกครั้งจะต้องกลายเป็นสงครามเลือด!!!

ดังนั้น...แม้ว่าโลกทุกวันนี้จะกลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ขั้วอำนาจหนึ่งขั้วอำนาจใด ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน “แนวคิด” และ “กระบวนทัศน์” เสียใหม่ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ไม่ได้ตระหนักถึงการ “เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไป” ของบรรดาอภิมหาอำนาจสูงสุดทั้งหลายเท่าที่เคยมีมาในอดีต โอกาสที่จะเกิดความสงบ เกิดสันติภาพ สันติธรรม ภายในอนาคตเบื้องหน้า จึงแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย ยกเว้นเสียแต่ว่า...ถ้าความเจ็บปวดของบรรดาชาวโลก รวมทั้งอเมริกันชนทุกวันนี้ มันชักจะ “เลยขีดจำกัด” จนมิอาจทนได้ต่อไปอีกแล้ว ไม่อาจปล่อยให้ “ทรัมป์บ้า” คิดบ้าๆ คิดพิเรนทร์ๆ เช่นนี้ต่อไปได้อีก อันนั้นนั่นแหละ...ถึงอาจนำมาซึ่งความสุข ความสงบ สันติภาพ-สันติธรรม ต่อโลกใบนี้ขึ้นมาได้มั่ง ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตามที...


กำลังโหลดความคิดเห็น