xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เปิดประตูรถใหม่ “มอเตอร์โชว์ 2025” “อีวี” มีให้เลือก- “ไฮบริด” ท้าให้ลอง อัด “แคมเปญ” หั่น “ราคา” เต็มอัตราศึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2025 ครั้งที่ 46 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคมจนถึงวันที่ 6 เมษายนนี้ ที่อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญสำหรับบรรดา “ค่ายรถยนต์” ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น เกาหลีและยุโรป จะขน “ทีเด็ด” ทั้งออกมาโชว์และเปิดตัวเพื่อกระตุ้น “ยอดขาย” ในปี 2568 ให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับปีนี้มีค่ายรถยนต์ถึง 54 บริษัท ตอบรับเข้าร่วม แบ่งเป็นรถยนต์ 41 บริษัท และจักรยานยนต์ 13 บริษัท ในพื้นที่ 80,000 ตารางเมตร

นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงเวลาที่อัดแน่นไปด้วย “โปรโมชันลด แลก แจก แถม” กันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันอีกต่างหาก และแน่นอนว่า ทุกค่ายล้วนแล้วแต่จัดกันมาแบบเต็มพิกัดเลยทีเดียว

 รถยนต์พลังไฟฟ้า-ของใหม่ยังมี 


แม้ว่าภาพรวมของตลาดรถยนต์ในปี 2025 จะถูกประเมินว่าน่าจะเป็นอีกปีที่เหนื่อยสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ แต่ในส่วนของตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV ต้องบอกว่า ยังมีความคึกคักกันอย่างต่อเนื่องจากจำนวนรถยนต์ใหม่ๆ ที่ถูกนำมาเปิดตัวในงาน โดยเฉพาะจากผู้ผลิตสัญชาติจีน

แน่นอนว่าในปีนี้ จะได้พบกับ Deepal S05  SUV ขนาดกลางที่มีทางเลือกทั้งแบบไฟฟ้าล้วน 100% และแบบไฮบริดแบบ REEV (Range-Extended Electric Vehicle) หรือเมื่อก่อนเคยรู้จักกันในชื่อ E-REV หรือ Extend Range Electric Vehicle

สำหรับสเปก S05 แบบไฮบริดนั้น คาดว่าจะมีระยะการขับเกิน 1,000 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ถังเลยทีเดียว

ราคาของรุ่น EV อยู่ระหว่าง 799,000 - 899,000 บาท และรุ่น REEV อยู่ระหว่าง 949,000 - 999,000 บาท

อีกรุ่นที่น่าสนใจคือ   “The First Ever Intelligent e-SUV” หรือ  MG IM6  ซึ่งเปิดตัว 1 สัปดาห์ก่อนงานจะเริ่มขึ้น โดยมาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ ดีไซน์การออกแบบล้ำสมัย ระบบวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ

รุ่นเริ่มต้น Premium RWD มอเตอร์ไฟฟ้ามีกำลังสูงสุด 217 กิโลวัตต์ (295 แรงม้า) ระยะการขับ 550 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้งมาตรฐาน NEDC และรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อPerformance AWD มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ให้กำลังสูงสุด 572 กิโลวัตต์ (787 แรงม้า) ที่แล่นได้ 634 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง








 ถัดมาเป็น รุ่น X9  ที่มีราคา 2.749 ล้านบาท เป็นรถตู้พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียมจาก Xpeng  นำเสนอความก้าวล้ำของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ SiC Architecture รองรับกำลังไฟฟ้าในการชาร์จสูงสุด 330 กิโลวัตต์ โครงสร้างตัวถังสถาปัตยกรรม SEPA 2.0 ได้แรงบันดาลใจการออกแบบจากยานอวกาศ ห้องโดยสารมีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 7.7 ตรม. และเบาะนั่งแถวที่สองมาพร้อมฟังก์ชั่น Zero-gravity เพื่อความสบายระหว่างการเดินทาง

ขณะที่  Zeekr เป็น  รุ่น 7X  เอสยูวีไฟฟ้า 5 ที่นั่งสุดพรีเมียมออกแบบเพื่อการใช้งานแบบครอบครัวโดยเฉพาะ สะดวกสบายด้วยห้องโดยสารขนาดใหญ่ พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยของระบบขับเคลื่อน Silicon Carbide E-Motor 2 ชุด ช่วยให้ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.8 วินาที ระยะทางการขับสูงสุด 780 กม./ชาร์จ (มาตรฐาน CLTC)

สำหรับ  MINI  เป็นอีกค่ายที่มีผลผลิตจากตลาดไฟฟ้า แต่คราวนี้เป็นเวอร์ชันตัวแต่ง JCW หรือ John Cooper Works Electric ติดตั้งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ (258 แรงม้า) และแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่เรียกใช้งานได้ทันที และยังคงไว้ของความรู้สึก   “Go-Kart feeling” ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Mini

 ตลาดไฮบริดสุดคึกคัก ทางเลือกใหม่มาเพียบ 

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์โดนเขย่าด้วยผลผลิตที่เป็นไฟฟ้าล้วน หรือ BEV มาโดยตลอด จนหลายคนคิดว่าทางเลือกของการขับเคลื่อนแบบอื่นๆ ไม่น่าจะมีให้สัมผัสกันอีกแล้ว แต่ที่ไหนได้ รถยนต์ไฮบริด ทั้งแบบปกติ แบบเสียบปลั๊กชาร์จ หรือ PHEV รวมถึง E-REV กลับทะลักเข้ามาเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่ได้จำกัดแค่ค่ายจีนเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น BYD SHARK 6 DM-i  รถกระบะสมรรถนะสูงแบบดับเบิ้ลแค็บ ติดตั้งระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด เป็นการทำงานร่วมระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กับระบบ EHS และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 in 1ให้กำลังรวมสูงสุด 430 แรงม้า และแรงบิด 650 นิวตันเมตร โดยสามารถขับโหมดไฟฟ้าล้วนได้สูงสุด 100 กม. (มาตรฐาน NEDC)

ส่วน GWM หรือ Great Wall Motors ไฮไลท์เด่นในงานคือ การเปิดตัวเวอร์ชันไมเนอร์เชนจ์ของ  Haval H6  ซึ่งมีการแต่งหน้าทาปากใหม่เพื่อให้สวยงามและลงตัวยิ่งขึ้น โดยยังคงมีตัวเลือกทั้งขุมกำลังไฮบริด HEV และปลั๊ก-อิน ไฮบริด PHEV ที่ได้รับการยกระดับสมรรถนะการขับขี่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมทั้งเพิ่มเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามา

สำหรับเวอร์ชัน PHEV จากฝั่งยุโรป ก็มี  Audi  ซึ่งเปิดตัว  รุ่น A5 Plug-in Hybrid ใช้พื้นฐานของ A5 รุ่นล่าสุด มาพร้อมตัวถัง 2 รูปทรง Avant และ Sportback โดยยังคงถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งความสปอร์ตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขุมกำลัง Plug-in Hybrid รุ่นล่าสุดทำให้โหมดไฟฟ้ามีระยะการขับไกลถึง 114 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ผสานกับระบบขับเคลื่อน quattro เพื่อรองรับพละกำลัง 367 แรงม้า และแรงบิด 350 นิวตันเมตร

อีกแบรนด์คือ  Volvo  ซึ่งหลังจากที่เปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง คราวนี้ผู้ผลิตจากสวีเดนหันมาเพิ่มทางเลือกของ PHEV กันบ้างกับ  รุ่น XC90 PHEV  ซึ่งสามารถเดินทางในโหมดไฟฟ้า หรือ EV Mode ได้ไกลถึง 70 กิโลเมตร หากชาร์จเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ตามมาตรฐานทดสอบ WLTP

 ฝั่งญี่ปุ่นมีอะไรบ้างในงานนี้ 

การกระตุ้นตลาดด้วยผลผลิตใหม่ๆ ยังมีออกมาอย่างต่อเนื่องสำหรับแบรนด์ญี่ปุ่น ซึ่งในงานนี้ ที่คอนเฟิร์มแน่ๆ ก็คือ 

XForce ซับคอมแพ็กต์ครอสส์โอเวอร์รุ่นล่าสุดจาก  ค่าย Mitsubishi Motors  พัฒนาจากรถต้นแบบ XFC เพื่อให้เป็นเอสยูวีที่มีสไตล์ และความแข็งแกร่ง ขับเคลื่อนด้วยขุมกำลังเบนซิน MIVEC 1.5 ลิตร 105 แรงม้า ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมตัวเลือก 4 โหมดการขับขี่เพื่อการใช้งานในทุกสถานการณ์ และระบบควบคุมการขับเคลื่อน Active Yaw Control

ขณะที่  Nissan จะเริ่มทำตลาดอย่างเป็นทางการของ Serena e-Power ใหม่ หลังจากเปิดตัวในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2024 รถยนต์อเนกประสงค์ MPV แบบ 7 ที่นั่งรุ่นนี้ได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ พร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน e-Power ประกอบด้วยชุดมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า และแรงบิด 315 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 1.77 กิโลวัตต์ชั่วโมง และชุดเครื่องยนต์สันดาปรหัสใหม่ HR14DDe ความจุ 1,400 ซีซี 3 สูบ แบบหัวฉีดไดเร็กอินเจ็กชั่น เพื่อสร้างกระแสไฟฟ้า และเทคโนโลยีความปลอดภัย 360° Nissan Safety Shield














ส่วนความเคลื่อนไหวจากแบรนด์ญี่ปุ่นในตลาดพลังไฟฟ้า น่าจะมีเพียงรุ่นเดียวคือ เวอร์ชันขายจริงของ  e-N1  จาก  Honda โดยก่อนหน้านั้น ผลิตในไทยก็จริง แต่ไม่ขายขาด ปล่อยให้เช่า แต่วันนี้นำมาขายเลย ประกอบจากจีน ส่วนราคาเคาะอยู่ที่ 1,199,000 บาท

 รถยนต์หรูยังมีทางเลือกใหม่รออยู่ 

สำหรับตลาดรถยนต์หรู ถือว่าคึกคักสวนทางเศรษฐกิจ และแบรนด์ต่างๆ ได้นำผลผลิตใหม่ๆ มาเปิดตัวในงานนี้หลายรุ่น เช่น

 Aston Martin Vantage : Aston Martin  ปรับเปลี่ยนโครงสร้างตัวถังพร้อมเพิ่มเทคโนโลยีล่าสุดลงใน New Vantage เพื่อประสิทธิภาพการขับขี่ระดับสูงสุด ขุมกำลังเบนซิน V8 ทวินเทอร์โบ 4.0 ลิตร ที่ได้รับการอัปเกรด ทำให้มีกำลังรวมเพิ่มเป็น 665 แรงม้า และแรงบิด 800 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ในเวลา 3.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม.

ตามต่อกันที่   New BMW M2 : เวอร์ชั่นอัปเกรด ของรถสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูง เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo มีกำลังเพิ่มเป็น 480 แรงม้า (+20 แรงม้าจากรุ่นก่อน) และแรงบิด 600 นิวตันเมตร โดยตัวเลือกแพ็คเกจ M Racetrack (เพิ่มเงิน 700,000 บาท) ทำให้ความเร็วสูงสุดไปได้ถึง 285 กม./ชม. (+ 35 กม.ชม. จากรุ่นพื้นฐาน) แต่อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเท่ากันที่ 4 วินาที

ส่วน  Maserati  ผู้ผลิตรถสปอร์ตสัญชาติอิตาเลียน เอาใจผู้ที่ชื่นชอบรถสไตล์เปิดประทุนกับ  New GranCabrio โดยมีตัวเลือกทั้งเครื่องยนต์สันดาป Nettuno กำลังสูงสุด 550 แรงม้า และ Folgore ขุมกำลังไฟฟ้า 100% ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งฟอร์มูลา อี แต่ยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1 ศตวรรษเอาไว้อย่างครบถ้วน

และปิดท้ายกันกับ   Mercedes-AMG GT 63 4MATIC+ ที่กลับมาอีกครั้งสำหรับโมเดลสมรรถนะสูงระดับแฟล็กชิพของตระกูล GT เจเนอเรชันที่ 2 รหัสตัวถัง C192 ออกแบบภายใต้แนวคิด “One Man, One Engine” ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศ Bi-Turbo ทำให้สร้างพละกำลังได้มากถึง 585 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม

 เปิดสงครามราคากระตุ้นยอดขาย

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากรถใหม่ที่ขนกันมาเปิดตัวแล้ว เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่อง “ยอดจองและยอดขาย” ซึ่งทุกค่ายต่างต้องการใช้เวทีมอเตอร์โชว์เพื่อสะสมยอดขายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยตัวเลขนับตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ไม่ดีเท่าใดนัก

โดยมีการเปิดเผยออกมาแล้วว่า ตัวเลขการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ในเดือนกุมภาพันธ์ผลิตได้ 36,952 คัน เท่ากับ 32% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 21.26% และเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ผลิตได้ 69,011 คัน เท่ากับ 31% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ถึง 26.5%

ดังนั้น ค่ายรถต่างๆ จึงพากันเปิด “แคมเปญ” และเปิด “สงครามราคา” กันโดยถ้วนหน้า ยกตัวอย่างเช่น ค่ายโตโยต้าขนขบวนรถยนต์ไฮบริด มาจัดแคมเปญสู้กับทัพรถจีน เริ่มที่รถโตโยต้า คัมรี ดอกเบี้ย 1.59% หรือฟรีประกันภัยชั้น 1 Toyota Care PHYD, โคโรลลา อัลติส ดอกเบี้ย 1.65% และฟรีประกันภัยชั้น 1 Toyota Care PHYD

ยาริส ครอส ดอกเบี้ย 1.69% หรือผ่อนเริ่มต้นเพียง 7,748 บาทต่อเดือน, โคโรลลา ครอส รับ 0.89% และฟรีประกันภัยชั้น 1 Toyota Care PHYD, ไฮลักซ์ รีโว่ และฟอร์จูนเนอร์ รับข้อเสนอ : ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ หรือฟรีประกันภัยชั้น 1 Toyota Care PHYD

อีซูซุจัดโปรพิเศษเพื่อคุณ ข้อเสนอเดียวกับมอเตอร์โชว์ ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.99%

ส่วนมิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส ดอกเบี้ย 0.99%, รับฟรี บัตรของขวัญเซ็นทารา มูลค่า 10,000 บาท, ไทรทัน แอทลีท เลือกรับดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี, ประกันคุณภาพนาน 5 ปี หรือ 100,000 กม. พร้อมฟรี ค่าแรงเช็กระยะนาน 5 ปี, ครอบครัวมิตซูบิชิ รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 30,000 บาท ผ่าน M-Drive

ด้านฮอนด้าก็มีฮอนด้า ซิตี้ ค่างวดเริ่มต้น 8,108 บาท (คำนวณจากรถยนต์ซิตี้ แฮตช์แบ็ก ไดรฟ์วัล ใหม่ เงื่อนไขดาวน์ 20% ผ่อน 7 ปี) หรือเลือกดาวน์ต่ำเพียง 10% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง หรือดอกเบี้ย 2.2% สำหรับเจ้าของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ฮอนด้า และครอบครัว (Honda Loyalty) และดอกเบี้ย 2.35% สำหรับลูกค้าทั่วไปพร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปีไม่จำกัดระยะทาง

หรือค่ายซูซูกิ จัด SUZUKI WORRY FREE PROGRAM พร้อมโปรโมชั่นผ่อนยาวสูงสุด 99 เดือน หรือผ่อนเริ่มต้นเพียง 2,999 บาท

แต่ที่ถือว่าเรียกเสียงฮือฮาจนทุกค่ายต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กันก็คือ “บีวายดี” ซึ่งยังดุไม่เปลี่ยนด้วยการหั่นราคารถ EV ทุกรุ่น โดยเฉพาะเก๋งเล็ก “ดอลฟิน” ขายเริ่มต้น 4.99 แสนบาทเท่านั้น

เอาเป็นว่า ใครที่อยากสัมผัสรถแต่ละรุ่น หรือไปสามารถเดินทางไปดูได้ที่งานกันได้จ้า.


กำลังโหลดความคิดเห็น