ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ก็เป็นอันเสร็จสิ้น “พิธีกรรม” สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งมติที่ออกมาก็เป็นไปตามที่คาดคือ “ไม่มีปัญหา” แม้จะมีกรณี “แหกโผ แหกมติ” และ “งูเห่า” ปรากฏให้เห็นเป็นปกติเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
ยิ่งในส่วนของ “พรรคร่วมรัฐบาล” ด้วยแล้วยิ่ง “แน่นปึ้ก” เพราะไม่มีแตกแถว มีเพียง 4 สส.ของพรรคประชาธิปัตย์คือ บัญญัติ บรรทัดฐาน จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สรรเพชญ บุญญามณี ที่ “งดออกเสียง” ซึ่งก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย รวมกับอีก 1 ประธานสภาฯ และ 2 รองประธานสภาฯ ที่ลงมติ “งดออกเสียง” ตามธรรมเนียมปฏิบัติ
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า เนื้อหาของการอภิปรายในครั้งนี้มีความน่าสนใจในหลายเรื่อง โดยเฉพาะการออกมาเปิดโปงเรื่อง “นายกฯ อิ๊งค์” ใช้ “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หรือ “PN” ที่ออกมาเพื่อรับหุ้นจากคนในครอบครัว 4 พันกว่าล้านบาท ซึ่ง “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.พรรคประชาชน ผู้อภิปรายในเรื่องนี้ ตั้งคำถามว่า เป็น “เทคนิคการเลี่ยงภาษี” หรือเป็น “นิติกรรมอำพราง” เพื่อหลีกเลี่ยง “ภาษีการรับให้(Gift Tax)” เพราะไม่มีกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้หรือดอกเบี้ยหรือไม่
แต่ที่ “โดดเด้ง” กว่าเพื่อนกลับเป็นเรื่อง “วาทกรรม” ที่บรรดา สส.สาดเข้าใส่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “กีกี้” และ “ไม่สนสี่สนแปด” กระทั่งสังคมพร้อมใจกันเรียกขานสภาชุดนี้ว่า “สภากีกี้” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กล่าวสำหรับคำว่า “กีกี้” นั้น “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” นำคำนี้มาใช้หลังจากที่ “นางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร” สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ได้ขอประท้วง ทำให้นายวิโรจน์ กล่าวว่า "ร้องกี้ก่อนได้ไหมครับ" จากนั้นนางนุชนาถ ได้กล่าวว่า “ท่านวิโรจน์ ไม่รู้สี่รู้แปด”
จากนั้นก็มีการตามหาที่มาของคำนี้ในโลกออนไลน์กันเป็นการใหญ่ ซึ่งต่อมานายวิโรจน์ก็ได้มาอธิบายเพิ่มเติมถึงความหมายของ “กีกี้” ผ่านทางทวิตเตอร์ (X) ว่า “หลายคนไม่ได้ประท้วง แค่ดาหน้าออกมาพลีชีพ เหมือนลูกสมุนของขบวนการช็อคเกอร์ ที่เวลาออกมาจะร้อง กี้... กี้... เพื่อให้มดแดงซ้อมเล่น คั่นเวลาก่อนไรเดอร์คิกปีศาจตัวบอส อธิบายไปเขาก็ไม่ฟังหรอกครับ เพราะเขามาพลีชีพ ตอบไปสั้นๆ แค่ #กีกี้ ก็พอครับ จะได้ไม่เสียเวลา”
แถมมา “พีครอบสอง” เมื่อ “เสี่ยอ้วน-ภูมิธรรม เวชชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปตีความคำนี้เลยเถิดว่า หมายถึงอวัยวะเพศหญิงไปโน้น กลายเป็นเรื่องตลกโปกฮาประจำสภาไปอย่างไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาเปรียบเปรยถึงจะเหมาะสม
ทว่า ฝ่ายค้านเองก็มี “แผล” เช่นกัน เมื่อแกนนำของ “พรรคประชาชน” คือ “เสี่ยเท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรค และ “คูมไหม-ศิริกัญญา ตันสกุล” สสบัญชีรายชื่อ พลาดท่าเสีย “เหลี่ยม” พรรคเพื่อไทยอีกต่างหาก หลังจากไปปรากฏกายร่วมเฟรมกับพลพรรคเพื่อไทย จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ยับ
บ้างก็ว่า อ่อนหัดในทางการเมืองไม่รู้จักจบจักสิ้น แถมบางรายถึงขนาดมองว่า การอภิปรายที่เกิดขึ้นเป็นเพียง “การละคร” ไม่ได้มีเป้าหมายในทางการเมืองอะไรมากนัก ซึ่งแม้พรรคส้มจะพยายามแก้ตัว แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายนัก
ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นศึกอภิปรายฯ “ภารกิจแรก” ที่ดำเนินการอย่างไม่รอช้าก็คือ การที่คณะรัฐมนตรีของ “นายกฯ อิ๊งค์” มีมติผ่าน “ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ...” หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เป็นที่เรียบร้อย โดยได้รับความเห็นดีเห็นงามจากบรรดา “พรรคร่วมรัฐบาล” เป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้แต่ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” ที่ชูรักแร้หนุน หลังจากเป็นที่คาดหมายว่า ปัญหาที่เคยขุ่นข้องหมองใจ “ดีล” กันเป็นที่เรียบร้อย
ส่วน “ภารกิจที่สอง” หรือ “สถานีต่อไป” ที่ต้องเกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือ “การปรับคณะรัฐมนตรี” หลังมีการส่งสัญญาณออกมาก่อนหน้านี้อย่างต่อเนื่อง และพรรคที่ออกอาการ “ทวงเก้าอี้” มากกว่าเพื่อนก็คือ “พรรคกล้าธรรม” ของ “ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า” ด้วยการป่าวประกาศออกมาดังๆ ว่า “7 เสียง สส.งูเห่า” ที่โหวตหนุนรัฐบาล ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของตนเอง
ทว่า สุดท้าย “ผู้กอง” อาจจะจั่วลมก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี แม้ “นายกฯ อิ๊งค์” จะยืนยันว่า จะยังไม่ปรับ ครม.และได้บอกกล่าวกับ “พ่อ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
“ยังไม่มีแพลนจะปรับ ครม.ค่ะ” นายกฯ อิ๊งค์กล่าวพร้อมยอมรับว่า “ได้มีการคุยเรื่องนี้กันแล้ว พ่อก็บอกว่า อ๋อ หรอ โอเค อย่างนี้ค่ะ มีแค่นี้ ก็เลยยังไม่คิดจะปรับ ครม. ตอนนี้”
ทว่า หากจับสัญญาณดีๆ ก็จะเห็นว่า ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้เพราะ “นายกฯ อิ๊งค์” ก็ออกตัวกรณีพรรคร่วมรัฐบาลจะขอขยับปรับในส่วนของตัวเองว่า “อืม ทุกอย่างรับฟังไว้ก่อนได้ เพราะบางทีเราอาจจะคิดไม่ครบก็ได้ ถ้าเราฟังและเราเปิดใจ แล้วก็รู้ว่าอะไรมันดีที่สุดแค่นั้นเอง ทุกเรื่องก็ต้องใช้เหตุผลอยู่แล้ว”
ทั้งนี้ สัญญาณการปรับคณะรัฐมนตรีที่ถูกจับตามาตลอดหลังเกิดสภาวะการตบจูบระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจในหลายครั้งหลายครา และกระแสข่าววงในก็ยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เป็นตัวจักรสำคัญในการบริหารทุกเรื่อง วางแนวทางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
และเป้าหมายสำคัญของ “พ่อนายกฯ” น่าจะอยู่ที่ “พรรคภูมิใจไทย” เป็นลำดับต้นๆ เพราะหมายมั่นปั้นมือที่จะยึดเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” กลับคืนมาเพื่อรองรับการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะถือเป็นกลไกสำคัญที่มีผลต่อคะแนนเสียงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า “ค่ายสีน้ำเงิน” รู้ตัวดีเช่นกัน และในระยะหลังๆ ก็พยายามปรับจูนอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นการที่ “เสี่ยหนู” นำ “ครูใหญ่เน-เนวิน ชิดชอบ” ผู้มีบารมีของพรรคภูมิใจไปพบ “พ่อนายกฯ” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หรือแม้กระทั่งการพบกัน “ครั้งแรก” ของ “ครูใหญ่เน” กับ “นายกฯ อิ๊งค์” ในงาน COLORS OF BURIRAM 2025 เมื่อวันก่อน
ก็ไม่รู้ว่า จะมีอะไรมาทำให้ “พ่อนายกฯ” เปลี่ยนใจหรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล” ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่โชว์หวานว่า “แพทองธาร สู้ๆ” ระหว่างชี้แจงประเด็นอภิปรายเรื่องดีลต่อรองที่ดิน “อัลไพน์-เขากระโดง”
แถมยังมีปฏิกิริยาจาก “กรมที่ดิน” ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคสีน้ำเงิน ออกมาแถลงป้อง“นายกฯอิ๊งค์” ว่าได้รับโอนหุ้นของบริษัท อัลไพน์ฯ มาจากผู้ถือหุ้นเดิมก่อนเข้ารับตำแหน่ง และการโอนดังกล่าวเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย นายกฯไม่ได้สั่งการ หรือกระทำการใดๆ ที่เป็นการแทรกแซง หรือชะลอการเพิกถอนที่ดินดังกล่าว
ส่วน “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่อยู่ในกระแสข่าวมาโดยตลอด แม้ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จะไม่มีปัญหาและออกมาชี้แจงประเด็นต่างๆ ได้ดี ก็ยังคงเป็นที่จับจ้องอยู่เหมือนเดิม เพราะมีแรงกดดันเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง โดยเฉพาะจาก “ทุนการเมือง” ที่หมายมั่นปั้นมือในเรื่องนี้ ขณะที่พรรคเพื่อไทยเองก็อยากได้ “กระทรวงพลังงาน” เอาไว้ในมือเช่นกัน
ดังนั้น จึงต้องติดตามกันต่อไปว่า “ทักษิณ” จะตัดสินใจและเดินเกมอย่างไร โดยเฉพาะกับ “พรรคภูมิใจไทย” เพราะบอกได้เลยว่า ถ้า “ค่ายสีน้ำเงิน” ไม่ถอยแบบ “สุดซอย” ทุกอย่างก็จะต้องดำเนินไปตามแผนการเดิม เพียงแต่ต้องรอจังหวะและเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือการเคลื่อนเกมเชือด “พรรคประชาชน” เพราะการออกมาเปิดแผลเรื่องการใช้ตั๋ว PN นั้น สร้างความโมโหโกรธาให้กับ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” อยู่ไม่น้อย ซึ่งการเอาคืนเรื่องนี้บอกได้เลยว่า ห้ามกระพริบตา.