xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกา-อิสราเอล...กับปฏิบัติการ“โหด-เลว-ชั่ว”!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เบนจามิน เนทันยาฮู - โดนัลด์ ทรัมป์
เปิดฉากสัปดาห์นี้...ก่อนอื่นคงต้องขออนุญาตชี้ชวน เชิญชวน ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ให้ลองย้อนกลับไปอ่านข้อเขียน บทความ ที่ได้ตีพิมพ์ เผยแพร่ ไว้ในเว็บไซต์สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานี่เอง เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม หรือวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา ในคอลัมน์ “Planet No. 3” ที่คุณ “รัศมี มีเรื่องเล่า” ท่านอุตส่าห์ไปรวบรวม เรียบเรียง มาจากรายงานของสำนักข่าวต่างๆ ไม่ว่าเอพี วีโอเอ บีบีซี หรืออัลจาซีรา แล้วตั้งหัวเรื่องเอาไว้ยาวเหยียดอีเหลนเป๋นว่า “จากบ้านเดี่ยวมีต้นมะลิหอม หกหญิงต้องลี้ภัยระเบิดยิวไปตลอดแนวฉนวนกาซา ตอนนี้ได้กลับบ้านแล้วและจะไม่ยอมให้ขับไสไปประเทศอื่น”...

คือถึงแม้จะเป็นข่าวคราวอันมีที่มาจาก “สำนักข่าวตะวันตก” เป็นส่วนใหญ่ก็แล้วแต่ มีสำนักข่าวประเทศอาหรับอย่าง “Al Jazerra” สอดแทรกอยู่บ้าง แต่ก็น่าจะเป็นตัวสะท้อนภาพและอารมณ์-ความรู้สึกของบรรดาผู้ที่ถูกเรียกขานว่า “ชาวปาเลสไตน์” ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการไปหยิบเอาเรื่องราวของครอบครัวชาวปาเลสไตน์ครอบครัวหนึ่ง ประกอบไปด้วยหัวหน้าครอบครัวอย่าง “นายเนมาน อะบูจาริด” และภรรยากับพี่สาว รวมทั้งลูกผู้หญิงวัยเรียนของตัวเองอีก 4 ราย รวมเป็น 6 หญิงอย่างที่ได้ให้ชื่อเอาไว้แต่แรก ที่ต้องอพยพหลบลี้หนีภัยจากบริเวณหมู่บ้านที่อยู่ด้านเหนือของเขตฉนวนกาซา นับแต่วันที่กองทัพอิสราเอลได้ปฏิบัติการทางอากาศทิ้งระเบิดถล่มพวกนักรบฮามาสในดินแดนฉนวนกาซา เริ่มจากวันที่ 8 ต.ค. ค.ศ. 2023 รวมทั้งส่งกองกำลังรถถังบุกเข้ากวาดล้างใครต่อใครอีกประมาณ 10 กว่าวันหลังจากนั้น...

ส่งผลให้ “ชะตากรรม” ของบรรดาพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ที่ต้องตกเป็น “เหยื่อ” ของสงครามคราวนี้ เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ทรมาน ต้องทุกข์ระทมกันไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน??? สิ่งเหล่านี้ได้ถูกสะท้อนไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นนี้ อย่างชนิด “อ่านไปน้ำตาซึมไป” เอาเลยก็ว่าได้ เพราะตลอดช่วง 15 เดือนของการเปิดฉากสงครามระหว่างอิสราเอลกับพวกฮามาส บรรดาพลเรือนชาวปาเลสไตน์จำนวนไม่ต่ำกว่า 1.9 ล้านคนจากจำนวนประชากรทั้งหมดประมาณ 2.3 ล้านคน ต่างตกอยู่ในสภาพไม่ต่างอะไรไปจากครอบครัว “นายเนมาน อะบูจาริด” ที่ถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความทุกข์ยากลำบาก ชนิดบรรดาผู้ที่เกิดมาเป็น “มนุษย์” ทั้งหลาย ไม่น่าจะต้องถูก “มนุษย์ด้วยกัน” กระทำย่ำยีให้ต้องเดือดร้อน ต้องเจ็บปวดรวดร้าว ไปได้ถึงขั้นนั้น...

ต้องอพยพหลบหนีจากบริเวณด้านเหนือสุดของดินแดนฉนวนกาซาลงมาถึงด้านใต้สุด วกไป-เวียนมาอยู่ในพื้นที่ที่ถูกประกาศให้เป็นสนามรบ หรือเป็นพื้นที่ที่กองทัพอิสราเอลมุ่งมั่นที่จะขจัดกวาดล้างพวกนักรบปาเลสไตน์อย่างพวกฮามาส โดยไม่ได้ให้ความสนใจต่อชะตากรรมของพลเรือนผู้ที่เป็นมนุษย์มนาด้วยกันเอาเลยแม้แต่น้อย ใครที่ยังคงตกค้าง หนีไม่ทันไปจากพื้นที่ดังกล่าว นอกจากจะถูกถล่มด้วยระเบิดปูพรมทางอากาศหนักเสียยิ่งกว่าครั้งที่กองทัพอเมริกันถล่มพื้นที่ประเทศอัฟกานิสถานทั้งประเทศตลอดช่วงสงครามในอดีต ยังต้องเจอการข่มขู่ ปิดกั้น ตัดขาด ไม่ยอมให้อาหาร น้ำดื่ม หรือยารักษาโรค เล็ดรอดเข้ามาสู่บรรดาพลเรือนชาวปาเลสไตน์เหล่านี้ได้เลย การอพยพ หลบหนีภัยสงครามภายในดินแดนตัวเอง ของครอบครัว “อะบูจาริด” ถึง 7 ครั้ง 7 หนด้วยกัน หลบเข้าไปอยู่ในโรงเรียน โรงพยาบาล ค่ายผู้อพยพ หรือกระทั่งนอนกลางดิน กินกลางทราย ไม่มีแม้แต่ผ้าใบคลุมหลังคา ต้องนอนตากฝนเป็นวันๆ คืนๆ ต้องรอคอยเข้าห้องน้ำที่มีอยู่แค่ 3 ห้อง ขณะที่ผู้อพยพแออัดยัดเยียดอยู่นับเป็นพันๆ คน พ่อกับลูกสาว 3 คน ต้องเดินเท้าระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร เพื่อไปหาน้ำดื่ม น้ำใช้ ที่ได้ติดมือมาแค่ไม่กี่แกลลอนก็ต้องถือว่าโชคดีแล้ว นั่นยังไม่ต้องพูดถึงอาหารและยารักษาโรคที่ถูกปิดกั้น ตัดขาด จนทำให้ผู้ที่เจ็บป่วยล้มตาย ไม่ใช่เพราะห่ากระสุน ระเบิด ย่อมมีแต่เพิ่มกับเพิ่ม อันแทบไม่ต่างไปจากความพยายาม “ล้างเผ่าพันธุ์” บรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย ให้สูญสิ้น สูญสลาย ไปจากอาณาบริเวณแห่งนี้ให้จงได้นั่นเอง!!!

แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่าตลอด 15 เดือนแห่งความ “โหด-เลว-ชั่ว” ของสงคราม มันจะเจ็บปวดรวดร้าว หนักหนาสาหัสไปถึงขั้นไหน แต่ทันทีที่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงขั้นแรก ระหว่างพวกฮามาสกับอิสราเอลได้อุบัติเป็นจริง-เป็นจังตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา บรรดาชาวปาเลสไตน์จำนวนนับแสนๆ ที่ยังมีความผูกพันอยู่กับบ้านเกิด-เมืองนอน รวมทั้งครอบครัว “อะบูจาริด” ที่เคยปลูกต้นมะลิหอมไว้ที่มุมหนึ่งของบ้าน ต่างพร้อมหวนกลับคืนไปยังบ้านเรือนของตัวเอง ไม่ว่าจะต้องเจอกับสภาพความย่อยยับ แหลกลาญลงไปเพียงใดก็ตาม ไม่ยอมให้ใครมา “ขับไส” ไปเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ในบ้านอื่น-เมืองอื่น ภาพของชาวปาเลสไตน์จำนวนประมาณ 375,000 คน ที่ออกเดินเท้าแบกลูกจูงหลาน ม้วนที่นอนเอาไว้บนบ่า ไม่ก็แบกถังแก๊สติดมือกลับไปด้วย ยาวเหยียดเป็นขบวนๆ กลับไปยังเมืองกาซาซิตี้เมื่อช่วงวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา เลยถูกถือ “ชัยชนะของชาวปาเลสไตน์” ที่ไม่ยอมก้มหัว ศิโรราบให้กับความโหดร้ายใดๆ แม้ว่าแต่ละคน แต่ละราย จะเจ็บปวดรวดร้าว ไม่ต่างไปจากสิ่งที่ 6 หญิงในครอบครัว “อะบูจาริด” ได้เผชิญมาตลอดช่วง 15 เดือนของสงคราม แม้ว่าบ้านที่เคยมีต้นมะลิหอมจะกลายเป็นเศษซาก ปรักหักพัง เหลืออยู่เพียงห้องเดียวที่พอจะซุกหัว พออาศัยอยู่ได้ แต่ก็ไม่สามารถบั่นทอน ทำลาย ความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะฟื้นคืนชีวิตปกติให้กลับคืนมาใหม่ ของบรรดาชาวปาเลสไตน์เหล่านี้ได้เลย...

แต่ก็อย่างที่ทราบๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 มี.ค.) หลังจากที่โทษกันไป-โทษกันมาระหว่างพวกฮามาสกับอิสราเอลว่าใครคือผู้ที่ “เบี้ยว” ข้อตกลง ในการบรรลุข้อหยุดยิงถาวรในขั้นตอนที่ 2 กันแน่ กองทัพอากาศอิสราเอลก็ได้ฉวยโอกาสทิ้งระเบิดปูพรมตลอดทั่วทั้งดินแดนฉนวนกาซา ไล่มาตั้งแต่เมืองกาซาซิตี้ที่อยู่ด้านเหนือ เลยมาถึงเมืองข่านยูนิสที่อยู่ตอนกลาง ไปจนถึงเมืองราฟาห์ที่อยู่ด้านใต้ ส่งผลให้ภายในช่วงเวลาแค่ 48 ชั่วโมงแห่งปฏิบัติการ “โหด-เลว-ชั่ว” ดังกล่าว บรรดาชาวปาเลสไตน์ที่หวนกลับไปสู่บ้านช่องของตัวเอง ต้องตายไปถึง 970 ราย ตามตัวเลขที่รัฐมนตรีสาธารณสุขกาซาได้แถลงอย่างเป็นทางการ หรือทำให้จำนวนผู้ที่ต้องล้มตายไปก่อนหน้านี้ ที่มีอยู่ถึง 48,577 รายโดยส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้หญิงนั่นแหละ ต้องเพิ่มจำนวนปาเข้าไปกว่าครึ่งแสนจนได้ บางราย...ว่ากันว่าผู้ที่เป็นแม่ถูกไฟคลอกต่อหน้าต่อตาของลูก ก่อนตายไปพร้อมๆ กันในวินาทีสุดท้าย นั่นยังไม่รวมไปถึงการปิดกั้นอาหาร น้ำ และยารักษาโรค ต่อบรรดาชาวปาเลสไตน์ที่อพยพกลับคืนไปยังบ้านเรือนตัวเอง ที่จะเป็นตัวเพิ่มจำนวนคนตายให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปกว่านี้...

ด้วยพฤติกรรมและการกระทำให้ลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจ ของกองทัพอิสราเอลว่าคงไม่ได้แค่คิดจะขจัดกวาดล้างพวกนักรบฮามาสมากมายสักเท่าไหร่ แต่มุ่งที่จะ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” บรรดาชาวปาเลสไตน์นั่นแหละเป็นหลัก ทั้งนั้น ทั้งนี้...ก็เพื่อให้แนวคิดอันสุดแสนจะน่าทุเรศและวิตถาร ของประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่คิดจะแปลงสภาพบ้านเกิด-เมืองนอนของชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย ให้กลายเป็นรีสอร์ต หรือเป็น “ริเวียร่าแห่งตะวันออกกลาง” ดังที่ได้ออกวิดีโอโปรโมตเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ด้วยภาพผู้นำอเมริกันและผู้นำอิสราเอลนอนอาบแดดอยู่ ณ ชายหาดของดินแดนแห่งนี้ เป็นจริง-เป็นจังขึ้นมา แม้ว่าแนวคิดอันสุดทุเรศและวิตถารเช่นนี้จะถูกคัดค้าน ต่อต้าน โดยบรรดาชาติอาหรับและชาวโลกแทบทั้งโลก ไปแล้วก็ตาม...

แต่ก็นั่นแหละ...การสร้าง “แรงกดดัน” โดยตรงต่อบรรดาชาวปาเลสไตน์ โดยอาศัยช่วงจังหวะที่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงขั้นที่ 2 ยังไม่อุบัติขึ้นมาด้วยเหตุเพราะใครเบี้ยวใครก็แล้วแต่ จึงทำให้สิ่งที่น่าอเนจอนาถ น่าเวทนา ชนิดไม่น้อยไปกว่าครั้งที่บรรดาชาวยิวทั้งหลาย เคยต้องเผชิญกับความโหดเหี้ยมทารุณของพวก “นาซีเยอรมนี” เมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงกลับมาปรากฏต่อสายตาชาวโลกขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งเมื่อรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล “นายIsrael Katz” ออกมาป่าวประกาศเอาไว้แบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าพร้อมที่จะ “ผนวก” ดินแดนบางส่วนของฉนวนกาซาอย่างเป็นการถาวร ขณะที่ได้ผนวกดินแดนซีเรียเอาไว้แล้วบางส่วน ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเพียรพยายามของรัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของ “นายBenjamin Netanyahu” ว่าพร้อมจะ “โหด-เลว-ชั่ว” ไปได้ถึงขั้นไหน???

ยิ่งเมื่อการคิดจะฟื้นอเมริกาให้กลับมา “Great Again” ของผู้นำรายใหม่อย่าง “ทรัมป์บ้า” ไม่อาจแยกขาดไปจากการผูกติดกับ “ความทะเยอทะยาน” หรือความปรารถนาที่จะหวนกลับคืนไปสู่ความเป็น “The Greater Israel” ของรัฐบาลอิสราเอลได้เลย ความโหดเหี้ยม อำมหิต ความเลวทรามต่ำช้า และความชั่วร้ายแบบไม่อาจจินตนาการใดๆ ได้เลย ย่อมมีสิทธิ์หวนกลับคืนสู่ “แนวรบตะวันออกกลาง” ได้เสมอ การข่มขู่ที่จะใช้ “กำลังทหาร” เพื่อเปลี่ยนแปลง “ระบอบปกครองอิหร่าน” ของรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาคราวล่าสุด ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า...โอกาสที่เราๆ-ทั่นๆ จะได้เห็น “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” โผล่ขึ้นมาในแนวรบด้านนี้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ !!!


กำลังโหลดความคิดเห็น