ชะตากรรมสุดรันทดของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซายังมืดมัว การเจรจาหยุดยิงเฟส 2 ระหว่างอิสราเอลกับฮามาสและชาติผู้ไกล่เกลี่ยทั้งหลายผ่านไป 6 สัปดาห์ แต่ยังไม่ปรากฏผล และอิสราเอลจะเดินหน้ากดดันให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาต้องตกอยู่ในความอดอยากแร้นแค้นอีกนานเพียงใด ยังเป็นคำถามที่ไร้คำตอบ
แต่สิ่งที่แน่วแน่ในส่วนของชาวปาเลสไตน์คือ จะไม่ยอมรับโครงการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่จะฟื้นฟูฉนวนกาซาให้เป็น ทรัมป์กาซา ริเวียร่าแห่งตะวันออกกลาง อันเป็นโครงการที่จะผลักไสให้ชาวปาเลสไตน์ถูกโยกย้ายไปยังประเทศอาหรับต่างๆ
ทั้งนี้ ในเมื่อชาวปาเลสไตน์มากกว่า 1 ล้านรายสามารถฝ่าฟันความแร้นแค้น และรักษาชีวิตรอดจากระเบิดสังหารของทหารอิสราเอลที่รุกรานรัฐปาเลสไตน์มาได้ 15 เดือน หากอนาคตจะต้องเป็นอย่างไร พวกเขาก็พร้อมจะเผชิญหน้าต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวปาเลสไตน์ล้วนได้รับบทเรียนแห่งการถูกหลอกครั้งใหญ่ในปี 1948 โดยยอมอพยพหนีไปประเทศเพื่อนบ้านอย่างจอร์แดน ซีเรีย และอียิปต์ แต่แล้วก็ปรากฏว่า 70 ปีผ่านไป ยังไม่สามารถกลับบ้านได้
ภายในชะตากรรมย่ำแย่สาหัสหนักหนาของชาวปาเลสไตน์เกือบ 2 ล้านราย ที่ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในดินแดนฉนวนกาซา สำนักข่าวเอพีได้จัดทำสกู๊ปติดตามเรื่องราวชีวิตจริงของครอบครัวชนชั้นกลางบ้านหนึ่งที่ต้องตกอยู่ในนรกบนดิน นับแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2023 อันเป็นวันแรกที่อิสราเอลประกาศสงครามเพื่อแก้แค้นและกวาดล้างกลุ่มนักรบฮามาสให้หมดสิ้น จดจนถึงปลายเดือนมกราคม 2025 ที่มีข้อตกลงหยุดยิง พร้อมกับเปิดโอกาสให้พลเมืองชาวปาเลสไตน์ผู้พลัดถิ่น เดินทางกลับเข้าบ้านได้
ครอบครัวดังกล่าวซึ่งเป็นครอบครัวของคุณพ่อเนมาน อะบูจารัด กับพี่สาว และภรรยาตลอดจนธิดาวัยนักเรียนรวมเป็น 6 หญิงในดินแดนภาคเหนือสุดของฉนวนกาซา ต้องอพยพหนีอาวุธสังหารของกองกำลังอิสราเอลซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมเป็นชีวิตระเห็จ 7 หน
โดยในห้วงเวลา 15 เดือนเต็ม คุณพ่อเนมาน อะบูจารัดต้องพาทุกคนออกจากบ้านอันงดงามด้วยต้นไม้หอมกรุ่น และอบอุ่นด้วยห้องครัวกับลานตั้งโต๊ะอาหารใต้แสงดาว ณ ตอนเหนือสุดของฉนวนกาซา แล้วต้องระเห็ดครั้งแล้วครั้งเล่า จดจนกระทั่งว่า ต้องไปปักหลักเป็นมนุษย์เต็นท์ในแคมป์สกปรกขั้นสุด ที่แถบปลายแผ่นดินชายแดนประเทศอียิปต์ เพื่อหลีกลี้หนีภัยระเบิดยิว-อเมริกันอันกระหน่ำลงมาทุกวี่วัน ด้วยน้ำมือฝูงบินสุดแสนไฮเทคของอิสราเอล
หลังจากกองกำลังฮามาสสามารถบุกจากฝั่งฉนวนกาซา ข้ามพรมแดนเข้าสู่รัฐอิสราเอลได้อย่างง่ายดายผิดปกติ ปราศจากการต้านทานขัดขวางใดๆ แล้วไปสังหารชาวยิวพันกว่าราย และลักพากลับไปเป็นตัวประกันสองร้อยกว่าราย ในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 กองกำลังป้องกันอิสราเอล หรือ IDF ก็เปิดฉากแก้แค้นเต็มแมกซ์โดยปูพรมระเบิดถล่มบ้านเมืองของชาวกาซา ทั้งอาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล โรงเรียน ศาสนสถาน ฯลฯ โดนกันหมด ภายใต้คำอธิบายว่าฮามาสใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์
เมื่อรัฐบาลยิวใช้กองกำลังทางอากาศเปิดปฏิบัติการถล่มฉนวนกาซาในวันที่ 8 ตุลาคม 2023 ด้วยการทิ้งระเบิดอย่างหนักวันแล้ววันเล่า ต่อด้วยการส่งทหารภาคพื้นดินบุกเข้าไปตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2023 เพื่อกวาดล้างฮามาสให้สิ้นซาก และปลดปล่อยตัวประกันหลายร้อยราย โดยไม่ยี่หระว่าจะมีประชาชนปาเลสไตน์กี่หมื่นรายซึ่งไม่เกี่ยวข้อง แต่ต้องโดนลูกหลงบาดเจ็บล้มตายนั้น ได้มีการประกาศหลายสิบครั้ง ให้ผู้คนในภาคเหนือของฉนวนกาซาเคลื่อนย้ายออกจากบ้านเรือน และอพยพลงไปทางใต้
ครอบครัวอะบูจารัด ซึ่งประกอบด้วยคุณแม่มาจิดา ลูกสาวที่อยู่ด้วยกัน 4 คน กับคุณป้าอาวาติฟ อะบูจารัด รวมเป็นหกหญิง พร้อมด้วย คุณพ่อเนมาน อะบูจารัด ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว ตัดสินใจรวบรวมข้าวของ ออกเร่ร่อนไปตามท้องถนน จากเมืองเบอิต ฮานาว ตอนเหนือสุดของฉนวนกาซาแล้วมุ่งหน้าลงใต้
บนระยะทางราว 41 กิโลเมตร (เทียบได้ประมาณเดียวกับการเริ่มขับรถจากห้าแยกลาดพร้าว แล้วใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานครไปถึงสวนสมเด็จย่า ริมถนนบางปู) จากบ้านในย่านเหนือสุด ลงใต้ไปนั้น หกหญิงอะบูจารัดไม่ได้ทราบชะตากรรมล่วงหน้าเลยว่า ช่วงเวลาหนึ่งปีกว่าในอนาคต จะเป็นช่วงชีวิตแห่งนรกบนดิน เพราะแต่ละคนต่างจะต้องเดินฝ่าความร้อน ฝุ่นควัน ขาดแคลนน้ำดื่ม ตลอดจนห้องน้ำชำระร่างกายและขับถ่าย อีกทั้งยังเสี่ยงภัยที่อาจกลายเป็นเหยื่อห่าระเบิดจากฝูงบินอิสราเอล และบรรดาโดรนสังหาร
ทุกคนเร่ร่อนไปตามความยาวของดินแดนฉนวนกาซา เพื่อรักษาชีวิตให้รอดจากการโจมตีทำลายล้างที่กองทัพอิสราเอลดำเนินการอย่างไม่หยุดยั้งอยู่รอบๆ
ชีวิตสุขสบายแบบชนชั้นกลาง มีบ้านเรือนเครื่องใช้เสื้อผ้าสะอาดสวยงาม มีการศึกษาดีและมีอนาคตสดใส ได้หลุดมือและหายไปในห้วงอดีตอันเลือนลาง กลายเป็นฝันร้ายที่ห้อมล้อมด้วยการไร้บ้าน อัตคัดน้ำและยา แต่มากมายด้วยความสกปรก โรคภัย ความอดอยากแร้นแค้น ตลอดจนเสียงคุกคามขวัญจากการโจมตีทางอากาศ
ในท่ามกลางคำสั่งของอิสราเอลที่ประกาศให้ชาวปาเลสไตน์อพยพไปยังซีกด้านใต้ของดินแดน หกหญิงและท่านพ่อบ้านแห่งครอบครัวอะบูจารัดไม่ได้ต้านทานฝ่าฝืน และยอมปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่างและทุกครั้งของอิสราเอล ที่ทยอยประกาศออกมาในตลอดเวลาหลายๆ สัปดาห์ และหลายๆ เดือนแห่งความวิบัติหายนะ
รวมแล้วก็คือ 7 ครั้งที่ครอบครัวอะบูจารัดต้องหลบหนีภัยระเบิดไปตามคำสั่ง และในทุกๆ ครั้ง ชีวิตของหญิงทั้ง 6 กับคุณพ่อหัวหน้าครอบครัวก็เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ มันเลวร้ายสาหัสกระทั่งพวกเธอก็จดจำวิถีชีวิตดั้งเดิมก่อนวันที่ 7 ตุลาคม 2023 แทบไม่ได้เลย โดยจะต้องเร่ร่อนไปพำนักอย่างแออัดกับใครต่อใครมากมายจดจำไม่หวาดไม่ไหว ภายในห้องเรียนของสถานศึกษาบ้าง ในค่ายผู้อพยพบ้าง ต้องตระเวนหาน้ำกินน้ำใช้ในค่ายพักที่มีเต็นท์กางเบียดกันเต็มไปหมด หรือกระทั่งต้องนอนหลับกันบนถนน
ชะตากรรมในห้วงนั้นเป็นชีวิตที่แตกต่างเหลือเกินจากชีวิตดั้งเดิมในบ้านทางตอนเหนือ บ้านแสนรักที่วันเวลาผ่านพ้นไปด้วยความสุขสบาย อุดมด้วยความรักเมตตา ความกรุณาเอาใจใส่ และความปลอดภัย บ้านที่เพื่อนรักทั้งปวงมาชุมนุมกันอยู่รอบโต๊ะตัวใหญ่ข้างในห้องครัว หรือไม่ก็บนดาดฟ้าหลังคาบ้านยามเย็นค่ำของฤดูร้อน ชื่นใจกับกลิ่นหอมสดจรุงของดอกกุหลาบและดอกมะลิที่ปลูกไว้ สาวๆ ตระกูลอะบูจารัดกล่าวกับเอพีอย่างนั้น
“บ้านของคุณคือบ้านเกิดเมืองนอนของคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีงามของครอบครัวเราล้วนอยู่ในบ้าน” คุณพ่อเนมานบอก
“ทุกสิ่งทุกอย่างในนั้น ไม่ว่าเป็นสิ่งที่มองเห็นกันได้ด้วยดวงตา หรือว่าเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ อย่างเช่น ครอบครัว เพื่อนบ้าน พี่น้องของผม ล้วนอยู่ล้อมรอบตัวผม
“เราคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้เหลือเกินครับ”
ปัจจัยชีวิตซึ่งสำคัญที่สุดที่ครอบครัวอะบูจารัดสูญเสีย คือ ความมั่นคง ที่แลกกับการรักษาลมหายใจไว้อย่างสุดความสามารถ
สงครามครั้งนี้ของอิสราเอลทำให้ชาวปาเลสไตน์ 1.9 ล้านชีวิต จากทั้งหมด 2.3 ล้านรายในฉนวนกาซา ต้องกลายเป็นคนพลัดถิ่น ขณะที่เพื่อนร่วมชาติถูกคร่าชีวิตไปแล้วมากกว่าครึ่งแสน เอพีบันทึกสถานการณ์ไว้อย่างนั้น
ครอบครัวอะบูจารัดมีชะตากรรมย่ำแย่เฉกเช่นเดียวกันกับครอบครัวชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ในดินแดนนี้ คือ อยู่ในสภาพที่ถูกถอนรากถอนโคนขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก รอบแล้วรอบเล่า การเร่ร่อนเสี่ยงตายนานกว่าหนึ่งปีได้กระชากพวกเธอและคุณพ่อบ้าน ให้หลุดออกจากชีวิตชนชั้นกลางที่สะดวกสบาย จ่อมจมลงสู่ความพินาศยับเยิน
ก่อนสงครามคือชีวิตที่สุขสบาย
ตอนที่ใช้ชีวิตกันเรียบง่ายสบายๆ ในเมืองเบอิต ฮานาว ซึ่งตั้งอยู่ปลายเหนือสุดของฉนวนกาซานั้น วันเวลาส่วนใหญ่ก่อนสงครามคือชีวิตที่ลงตัวไม่ซับซ้อน คุณพ่อเนมานออกจากบ้านในแต่ละเช้า ไปขับแท็กซี่ให้บริการแก่ผู้คน ในเวลาเดียวกัน คุณแม่มาจิดา พาลูกสาว 4 คนเล็กไปโรงเรียน
ลูกสาวคนเล็กสุดมีชื่อไพเราะว่า ลานา น้องเข้าเรียนชั้นประถม 1 แล้ว และจึงได้ตามพี่สาว 3 คนไปโรงเรียนพร้อมคุณแม่ ส่วนพี่สาวคนที่สองของบ้าน นามว่า โฮดา อยู่ในวัย 18 ปี เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 สำหรับลูกสาวคนโตสุดของครอบครัว ชื่อว่า บัลซัม เพิ่งคลอดลูกคนแรก และแยกเรือนไปใช้ชีวิตกับสามี
เวลาของคุณแม่มาจิดาในแต่ละวันหมดไปกับการทำงานบ้าน ใบหน้าของคุณแม่มาจิดา สดใสขึ้นทันทีที่ได้เล่าถึงห้องครัว ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งชีวิตของครอบครัว เอพีรายงานไว้ในสกู๊ป
คุณพ่อเนมานซึ่งเป็นนักบัญชี เก่งในเรื่องเพาะปลูก แกทำสวนเล็กๆ โชว์ดอกสีสดใสเอาไว้หน้าบ้าน นอกจากสวนสวยแล้ว ยังมีแปลงองุ่น ตลอดจนไม้ดอกหลากหลายที่เพาะเลี้ยงในกระถาง ตั้งวางคลุมดาดฟ้าหลังคาบ้าน หลายสิบนาทีที่ได้รดน้ำดูแลดอกไม้เหล่านี้ในยามเย็น เป็นพิธีการที่ทำให้ได้ผ่อนคลายและสบายอกสบายใจ หลังจากนั้น สมาชิกครอบครัวและเพื่อนบ้านจากหลังโน้นหลังนี้จะนั่งกันที่ระเบียงเล็กด้านหน้าบ้าน หรือไม่ก็บนดาดฟ้าหลังคา สนทนาหารือกันในสารพัดเรื่อง
“ระเบียงกับดาดฟ้าจะมีกลิ่นหอมสดชื่นเสมอครับ” คุณพ่อเนมานเล่าระลึกความหลังอย่างเปี่ยมสุข
“คนเขาจะพูดแซวว่าบ้านเราต้องฉีดน้ำหอมแน่ๆ เพราะดอกไม้ทั้งสวยทั้งหอมดีเหลือเกิน”
7 ต.ค. 2023 วันจุดชนวนสงคราม
ตอนเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ทุกคนในครอบครัวได้ยินเสียงพวกฮามาสยิงจรวด และได้ทราบข่าวที่ว่านักรบฮามาสบุกเข้าไปโจมตีชุมชนชาวยิวในภาคใต้ของอิสราเอล รายงานข่าวต่อๆ มาระบุว่ามีผู้คนถูกสังหารไปมากกว่า 1,200 คน และอีก 250 คนถูกจับเป็นตัวประกัน
ครอบครัวอะบูจารัด ทราบดีว่าอิสราเอลจะต้องตอบโต้เอาคืนอย่างรวดเร็ว และเนื่องจากจุดที่ตั้งของบ้าน อยู่ห่างแค่ 2 กิโลเมตรจากแนวรั้วกั้นชายแดนที่อิสราเอลสร้างขึ้นมา ดังนั้น บ้านอะบูจารัดก็จะต้องอยู่ตรงแนวหน้าของการสู้รบที่จะเกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลกับฮามาส
ในราว 09.00 น. คุณพ่อเนมาน คุณแม่มาจิดา รวมทั้งบรรดาลูกสาว ตลอดจนคุณอาหญิงของเด็กๆ ช่วยกันเก็บข้าวเก็บของเท่าที่จะสามารถรวบรวมได้ แล้วพากันอพยพหลบภัยออกจากบ้าน ทั้งนี้ กองทัพอิสราเอลก็ระบุในคำสั่งที่ออกมาตั้งแต่ฉบับแรกๆ ให้ชาวบ้านรีบอพยพเพื่อไม่ต้องถูกลูกหลง
“มันไม่ใช่เรื่องที่จะต่อต้านและปักหลักอยู่ต่อไป” คุณแม่ของลูกสาว 6 คน เล่าอย่างนั้น
“มันไม่ได้เป็นเรื่องแค่คนๆ หนึ่ง ดิฉันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้วยังมีลูกสาวตั้งหลายคนที่ต้องดูแล”
การตัดสินใจทั้งหลายนี้สอดคล้องกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานระหว่างทางการอิสราเอลกับกลุ่มนักรบฮามาส กองทัพยิวเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอกแล้วระลอกเล่าเพื่อแก้แค้นฮามาส ส่งผลให้ผู้คนในฉนวนกาซาถูกสังหารเฉลี่ยวันละ 350 รายในห้วง 20 วันแรกของสงคราม โดยรัฐมนตรีกลาโหมยิวประกาศในวันที่ 9 ตุลาคม 2023 ว่าจะยึดฉนวนกาซา พร้อมกับตัดไฟฟ้า ตลอดจนห้ามการเคลื่อนย้ายอาหารและเชื้อเพลิงเข้าสู่กาซา
7-13 ต.ค. 2023 คุณพ่อเนมานพาครอบครัวไปหลบภัยอยู่กับคุณตาคุณยายของลูกสาวทั้ง 6
เหมือนกับผู้คนจำนวนมาก ตอนแรกทีเดียว ครอบครัวอะบูจารัดพยายามจะไม่ไปไกลบ้านนัก
หัวหน้าครอบครัวพาภรรยากับลูกๆ หลบไปพักอยู่กับคุณตาคุณยายของน้องลานา ในเมืองเบอิต ลาฮิยา ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร
“พูดกันตรงๆ นะคะ บ้านคุณพ่อคุณแม่ของดิฉันน่ะสะดวกสบายมาก คือจะรู้สึกเหมือนกับอยู่บ้านตัวเอง” คุณแม่มาจิดาเล่าอย่างนั้น
“แต่เราก็อยู่กันด้วยความกลัว และรู้สึกเสียขวัญตลอดเวลา”
อันที่จริง เบอิต ลาฮิยา ถิ่นของคุณตาคุณยาย ก็ถูกฝูงบินทหารอากาศยิวถล่มด้วยระเบิดอย่างหนัก ไล่เลี่ยกับเมืองเบอิต ฮานาว และตลอด 6 วันที่ครอบครัวอะบูจารัดหลบภัยกันนั้น อิสราเอลโจมตีใส่เบอิต ลาฮิยา ไม่น้อยกว่า 9 เที่ยว สังหารผู้คนไปหลายสิบ ทั้งนี้ ข้อมูลของ “แอร์วอร์ส” กลุ่มที่คอยเฝ้าติดตามการสู้รบครั้งนี้ รายงานว่าบางบ้านตายยกครัว หรือบางบ้านมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะบ้านเรือนเหล่านี้ตกเป็นเหยื่อมหกรรมทิ้งระเบิดพินาศกลายเป็นกองซากอิฐหินดินปูนหักพัง
เมื่อขอบเขตการทิ้งระเบิดขยายใกล้เข้ามา มีเศษระเบิดกระเด็นใส่แทงค์น้ำที่บ้านคุณตาคุณยาย บรรดาบานหน้าต่างก็แตกหักเสียหาย แต่ก็ยังดีที่ทุกคนในบ้านซึ่งเบียดเสียดหลบภัยกันตัวเกร็ง ไม่ได้รับอันตราย
มันจึงถึงเวลาที่ครอบครัวอะบูจารัดจะต้องโยกย้ายกันอีกครั้งหนึ่ง โดยที่ลูกสาวคนโตกับทารกน้อยจะต้องไปกับบ้านฝ่ายสามี ส่วนลูกสาวคนรองต้องไปกับคุณตาคุณยายเพื่อช่วยดูแล
ทั้งนี้ ในวันที่ 13 ตุลาคม 2023 กองกำลังป้องกันอิสราเอลสั่งว่า ภายใน 24 ชั่วโมง พลเรือนทุกรายจะต้องอพยพออกจากกาซาตอนเหนือซึ่งรวมถึงเขตกาซา ซิตี โดยไปอยู่ที่ต่ำกว่าลุ่มน้ำวาดี กาซา ลงไปทางเขตเดอีร์ อัล บาลาห์ จดจนเขตข่าน ยูนิส และเขตราฟาห์ (โดยลุ่มน้ำวาดี กาซา เป็นแนวของลำธารและที่ลุ่มต่ำ และจึงเป็นจุดชี้บ่งการแบ่งตอน ระหว่างซีกเหนือกับซีกใต้ของฉนวนกาซา)
13-15 ต.ค. 2023 ลี้ภัยไปหลบระเบิดในโรงพยาบาล
ตอนที่ครอบครัวอะบูจารัดไปถึงโรงพยาบาล อัล-คุดส์ ทุกคนได้ประจักษ์ตาเป็นครั้งแรกว่าผู้คนที่ต้องอพยพจากบ้านและกลายเป็นผู้พลัดถิ่นมีจำนวนมหาศาลขนาดไหน
ทั้งภายในอาคารและตามพื้นสนามของโรงพยาบาลเต็มแน่นไปด้วยประชาชนหลายพันคน เพราะบรรดาครอบครัวจากทั่วทั้งตอนเหนือของกาซา ต่างก็พยายามหาทางเข้าหลบภัยตามโรงพยาบาล ด้วยความหวังว่าจะได้รับความปลอดภัยมากกว่าบริเวณอื่น
สำหรับครอบครัวของน้องลานา หกหญิงได้หย่อมเล็กๆ ที่ยังว่างตรงพื้นชั้นล่างของโรงพยาบาล ซึ่งพอที่จะปูผ้าห่มไว้นั่งไว้นอน ท่ามกลางบรรดาเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ตะโกนส่งเสียงสื่อสารสั่งการดังสนั่น ขณะรับคนเจ็บซึ่งหลั่งไหลเข้าไปอย่างโกลาหลไม่ได้หยุดเลย
มันเป็นค่ำคืนอันมืดสนิท มีเครื่องบินทหารอากาศยิวออกมาโจมตีทิ้งระเบิดหลายจุด คุณแม่มาจิดาถ่ายทอดความทรงจำว่า
“ทั้งผู้ที่พลีชีพและคนเจ็บนอนเรียงกันอยู่เต็มพื้นตรงนั้นเลยค่ะ” เธอเล่าไว้
หนึ่งวันหลังจากที่ครอบครัวอะบูจารัดมาถึง มีการโจมตีถล่มใส่บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลไม่กี่ร้อยเมตร สังหารคุณหมอคนสำคัญ พร้อมสมาชิกครอบครัวกว่า 20 คน หลายรายทีเดียวเป็นเด็กเล็ก
นอกจากนั้น ในห้วงสองสามวันเหล่านี้ อิสราเอลโปรยใบปลิวทั่วกาซาซิตีซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา โดยย้ำไปพร้อมกับโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ให้ชาวปาเลสไตน์กว่า 1 ล้านคน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรในฉนวนกาซา เร่งอพยพลงใต้ ในเวลาเดียวกัน กองทัพยิวก็ประกาศคำสั่งให้พลเรือนปาเลสไตน์ทั้งหมดต้องออกไปจากตอนเหนือของกาซา เพราะทหารยิวจะเปิดปฏิบัติการโจมตีครั้งใหญ่กวาดล้างฮามาสในกาซาซิตี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกนักรบที่ซ่อนอยู่ใต้ดินในกาซาซิตี้
ทั้งหลายทั้งปวงนี้จุดกระแสให้ผู้คนหลายแสนเริ่มรวบรวมของ แล้วเร่ร่อนอพยพบ่ายหน้าลงใต้ โดยตัดข้ามพื้นที่วาดี กาซา ซึ่งเป็นลำธารและที่ลุ่มต่ำซึ่งแบ่งแยกตอนเหนือออกจากส่วนอื่นๆ ของฉนวนกาซา
ครอบครัวอะบูจารัดเป็นหนึ่งในสารพัดครัวเรือนที่รีบเร่งอพยพโยกย้ายครั้งมโหฬารคราวนี้ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง กล่าวคือ พอถึงวันที่ 27 ตุลาคม ทหารยิวบุกรุกเข้าสู่ฉนวนกาซามากกว่า 1 แสนนายเป็นที่เรียบร้อยเพื่อไล่ล่าสมาชิกฮามาสในทุกจุดของกาซาตอนเหนือ พร้อมกับโจมตีทางอากาศรอบๆ โรงพยาบาลอัล-คุดส์
15 ต.ค.-26 ธ.ค. 2023 อยู่ในโรงเรียนที่แน่นขนัดด้วยผู้คน
หกหญิงและคุณพ่อบ้านตระกูลอะบูจารัด เดินเท้าเป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร จนกระทั่งไปถึงโรงเรียนเตรียมความพร้อมสำหรับเด็กหญิง ภายในค่ายผู้ลี้ภัยนูเซรัต เขตเดอีร์ อัล-บาลาห์ สถานที่ลี้ภัยนี้อยู่ใต้การดำเนินงานของสหประชาชาติ
ห้องเรียนทุกห้อง และระเบียงช่องทางเดินทุกแห่งล้วนแต่แออัดแน่นหนาไปด้วยประดาครอบครัวที่อพยพมาจากทางเหนือ คุณแม่มาจิดา ลูกสาวทั้ง 4 ได้พื้นที่เล็กๆ ในห้องเรียนห้องหนึ่งซึ่งแน่นขนัดหนักหนาแล้วด้วยคนพลัดถิ่นผู้หญิงและเด็กมากกว่า 100 คน
ในสถานการณ์อันแออัดดังกล่าว คุณพ่อเนมานต้องพักอาศัยอยู่กับพวกผู้ชายในเต็นท์ข้างนอก อันเป็นบริเวณของสนามโรงเรียน
สถานที่ซึ่งแออัดยัดเยียดด้วยผู้คนมหาศาลแห่งนี้เป็นบ้านของหกหญิงตระกูลอะบูจารัดนานกว่า 10 สัปดาห์ คุณแม่มาจิดาและลูกๆ ทุกคนทั้งหลาย ตลอดจนคุณป้าอาวาติฟ พี่สะใภ้ของมาจิดา ต้องนอนบนพื้นห้องในสภาพขดตัว เพราะไม่มีที่ว่างพอให้เหยียดขาได้เลย
ยิ่งกว่านั้น เมื่อฤดูหนาวแผ่เข้าปกคลุมฉนวนกาซา ปัญหาผ้าห่มไม่เพียงพอก็ผุดขึ้นบีบคั้นผู้คนทั่วหน้า
แต่ส่วนที่เลวร้ายที่สุด คือ ห้องน้ำ คุณแม่มาจิดาเล่ากับเอพีว่ามีห้องส้วมแค่สองสามห้องเท่านั้นซึ่งต้องรองรับผู้คนเป็นพันๆ ราย และยังบอกด้วยว่าการได้โอกาสอาบน้ำสักครั้งต้องถือว่าเป็นปาฏิหาริย์
ผู้คนนับหมื่นต้องอดทนอยู่ไปหลายสัปดาห์โดยไม่ได้อาบน้ำ ดังนั้น โรคผิวหนังจึงระบาดอย่างหนัก
ในแต่ละวัน พวกลูกสาวต้องตื่นนอนกันตอนรุ่งสาง เพื่อไปเข้าแถวรอที่โรงทำขนมปังไม่กี่แห่งซึ่งยังเปิดทำการ และกว่าจะกลับบ้านก็ตกเข้าตอนบ่ายแล้ว โดยบางครั้งได้มาเพียงแค่ขนมปังแบนชิ้นเดียว
มีอยู่วันหนึ่ง คุณพ่อเนมานกับลูกสาว 3 คนเดินกันไป 5 กิโลเมตร เข้าสู่ตัวเมืองเดอีร์ อัล-บาลาห์ เพื่อหาน้ำที่พอจะดื่มได้
“ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะมีคนใจดีในเดอีร์ อัล-บาลาห์ ที่สงสารพวกเรา และให้น้ำเรามาครึ่งแกลลอน เราคงต้องกลับมามือเปล่าแน่เลย” คุณพ่อของน้องลานาบอกอย่างนั้น
แม้จะต้องเผชิญกับความอดอยากขาดแคลนและแร้นแค้น แต่คุณพ่อเนมานและหกหญิงแห่งตระกูลอะบูจารัดยังอดทนได้ และยังมีแรงกายแรงใจต่อสู้กับทุกชะตากรรม
ด้านกองกำลังอิสราเอลทั้งทางอากาศ ทางบก และทางทะเล ก็กวาดล้างนักรบฮามาสไม่สำเร็จเสียที ทั้งที่ได้เข่นฆ่าพลเมืองปาเลสไตน์แถมไปด้วย รวมแล้วหลายหมื่นราย
ในเดือนธันวาคม 2023 กองกำลัง IDF ประกาศว่าสามารถยึดพื้นที่ฉนวนกาซาได้ตั้งแต่เขตภาคเหนือกับเขตกาซาซิตี ไปจนถึงเขตเดอีร์ อัล-บาลาห์ ซึ่งอยู่ตอนกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นปฏิบัติการทางการทหารของอิสราเอลจึงไปถึงเขตข่านยูนิสในช่วงสัปดาห์แรกของธันวาคม อัลญะซีเราะฮ์รายงาน
ด้วยเหตุนี้ การเร่งถล่มระเบิดอย่างหนักที่ดำเนินอยู่ตลอดช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน จึงไม่ลดราลง และยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้นอีก
ในสภาพการณ์ที่อิสราเอลโหมการโจมตีทางอากาศอย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 23 ธันวาคม 2023 ครอบครัวอะบูจารัดออกเดินทางต่อไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ ด้วยการเดินเท้าไป 20 กิโลเมตรจนกระทั่งถึงเขตราฟาห์ ซึ่งอยู่ปลายสุดทางตอนใต้ของฉนวนกาซา
26 ธ.ค.2023 – 14 พ.ค. 2024 ใช้ชีวิตสุดลำเค็ญในเต็นท์ผู้ลี้ภัยภายในเขตราฟาห์
ครอบครัวอะบูจารัดมิได้เป็นครอบครัวเดียวที่ประสบชะตากรรมตกต่ำแร้นแค้นสาหัสแบบนี้ และในเมื่ออิสราเอลออกคำสั่งผลักดันชาวปาเลสไตน์ทั้งในภาคเหนือและภาคกลางให้อพยพลงภาคใต้เพิ่มขึ้นๆ ดังนั้น ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของฉนวนกาซาจึงถอยลงมาอัดแน่นกันอยู่ในเขตราฟาห์ เอพีเล่าไว้ในสกู๊ป
ตรงนี้ หกหญิงและคุณพ่อบ้านอะบูจารัดต้องเผชิญกับการพักอาศัยภายในเต็นท์เป็นครั้งแรก
เต็นท์ของครอบครัวอะบูจารัด ตั้งกางขึ้นมาท่ามกลางเต็นท์ไนลอนหลายหมื่นหลังบนอาณาบริเวณอันมอมแมมแผ่ ออกไปกว้างไกลในแถบชานเมืองหลายๆ จุดของเขตราฟาห์ ใกล้ๆ กับบรรดาโกดังสิ่งของความช่วยเหลือของสหประชาชาติ ซึ่งรู้จักกันในชื่อว่ากองทหาร
วอยซ์ออฟอเมริกา หรือ VOA รายงานในสกู๊ปวันที่ 5 มกราคม 2024 ว่าในคืนแรกนั้น ครอบครัวอะบูจารัดต้องนอนกลางแจ้ง
แล้วในวันรุ่งขึ้น คุณพ่อเนมานไปหาซื้อผืนไนลอนกับไม้จากตลาดเมืองราฟาห์มาสร้างเต็นท์ขนาด 4 เมตร x 4 เมตร และใช้ผืนไนลอนที่เหลือจากการขึงกั้นเป็นผนังสี่ด้าน มาปูพื้นรองนอน ทั้งนี้ แต่ละคนต้องนอนในท่าตะแคง ที่ทาง 16 ตารางเมตรถึงจะเพียงพอรองรับสิ่งของเครื่องใช้และร่างกายของทุกคน
สาเหตุที่ตัดสินใจสร้างเต็นท์ขึ้นเอง เป็นเพราะราคาเต็นท์สำเร็จรูปนั้นทะยานสูงลิ่ว เอื้อมไม่ถึงเลย
คุณพ่อเนมานเล่าว่าราคาเต็นท์หนึ่งหลังขนาด 16 ตารางเมตร แพงมาก คือประมาณ 276 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือก็คือ เกือบ 10,000 บาททีเดียว
“นี่มันบ้าไปแล้วครับ ทุกอย่างแพงขึ้นอย่างเหลือเกิน”
คุณพ่อของน้องลานาบ่นไว้อย่างนั้น และเล่าด้วยว่าในเมืองราฟาห์ ซึ่งอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจยุคสงคราม ถ้าจะซื้อเต็นท์ขนาดครอบครัวสักหลัง ก็กลายเป็นว่าเอื้อมไม่ถึงแล้วจริงๆ เพราะสนนราคาพุ่งทะยานขึ้นเป็นหลังละประมาณ 800 – 1,400 ดอลลาร์ ส.ร.อ.!! (27,000 – 47,000 บาท)
ด้านคุณป้าอาวาติฟ อะบูจารัด ของน้องลานาเล่าแก่นักข่าว VOA ว่าจุดที่ว่างโล่งเพียงพอจะขึงเต็นท์ของครอบครัวอะบูจารัดขึ้นมาได้นั้น เป็นพื้นที่ทิ้งขยะ!!
“พอตกกลางคืน พวกสุนัขมาเห่าหอนกันเป็นประจำ แต่เราก็มีชีวิตเหมือนสุนัขนั่นแหละ” คุณป้าอาวาติฟ เล่าไว้กับวีโอเอ อย่างนั้น
เวลาในแต่ละวัน ล้วนถูกใช้ไปกับกิจกรรมที่ต้องยืนรอคิวเป็นหลายชั่วโมง เพื่อการหาอยู่หารับประทานอย่างแท้จริง
เด็กๆ ต้องตื่น ตี 5 ออกไปตระเวนหาเศษไม้มาก่อกองไฟเพื่อทำอาหาร เมื่อล้างจานเสร็จ คุณพ่อเนมานจะพาลูกสาวคนที่ 3 กับคนที่ 4 หิ้วภาชนะไปเข้าคิวรองน้ำจากท่อน้ำสาธารณะเพื่อนำมาใช้
หลังจากนั้น จึงเดินไปเข้าคิวรองน้ำดื่มจากแท็งก์ที่ตั้งไว้ตามจุดต่างๆ ทั่วนครราฟาห์ การเข้าคิวนี้จะนานเป็นหลายชั่วโมง และต้องจ่ายเงินซื้อในอัตราถังละประมาณ 28 เซนต์ ส.ร.อ. หรือราว 10 บาท
เสร็จจากเรื่องน้ำ คือเรื่องอาหาร ซึ่งก็คือไปตระเวนตามตลาดต่างๆ หาซื้อผัก แป้งทำแผ่นโรตีนาน และอาหารกระป๋อง
ด้วยเหตุที่อิสราเอลปิดล้อมฉนวนกาซา ไม่ให้ไฟฟ้า อาหาร น้ำมันเชื้อเพลิงผ่านเข้าไป พลเมืองปาเลสไตน์มากกว่าครึ่งล้านชีวิตได้รับผลกระทบโดยตรง รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏในรายงานของสหประชาชาติที่เผยแพร่กันเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2023
เมื่อนักข่าวเอพีเข้าไปสัมภาษณ์อีกรอบหนึ่งในปลายเดือนสิงหาคม 2024 ถามถึงประสบการณ์ที่ประสบมา ก่อนจะครบรอบ 1 ปี สงครามยิว-ปาเลสไตน์ คุณแม่มาจิดาเล่าถึงสภาพการณ์ที่เป็นมนุษย์เต็นท์ครั้งแรกเมื่อปลายธันวาคม 2023 ต่อเนื่องกับเดือนมกราคม 2024 ว่า
“ในช่วงหน้าหนาว มันคือนรกแท้ๆ ค่ะ ฝนตกแต่ละคราว เราก็เปียกชุ่มทั้งตัว เรานอนกันบนพื้น และไม่มีอะไรคลุมเหนือเต็นท์ด้วยค่ะ”
ในเวลาต่อมา ครอบครัวอะบูจารัดไม่มีเงินไปซื้อหาอาหารในตลาด เพราะทุกอย่างซื้อขายกันในราคาที่พุ่งทะยานอย่างรุนแรงและรวดเร็ว น้องเล็กๆ สองคนของครอบครัวล้มป่วยด้วยไข้หวัดและท้องร่วง แต่ก็ไม่มีร้านขายยาอยู่ใกล้ๆ ให้อาศัยพึ่งพาได้เลย
แต่ละคนเอาชีวิตรอดอยู่ได้โดยอาศัยแป้งสาลีและข้าวของจำเป็นพื้นฐานต่างๆ ที่ได้รับแจกจากสหประชาชาติเท่านั้นจริงๆ
“การซื้อมะเขือเทศหรือแตงกวามาสักลูกหนึ่ง แล้วเห็นมันวางอยู่ในเต็นท์ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นความฝันครับ” คุณพ่อเนมานเผยความในใจ
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ มากมายในตอนนั้น ครอบครัวอะบูจารัดเชื่อว่า ราฟาห์คือสถานที่ปลอดภัยเพื่อพักรอให้สงครามยุติ
แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแม้แต่น้อย
เอพีรายงานว่าตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม 2024 กองกำลังยิวเปิดปฏิบัติการบุกเข้ายึดพื้นที่ต่างๆ ในตอนใต้ รวมถึงเขตราฟาห์ และออกคำสั่งให้ชาวปาเลสไตน์ทุกคนอพยพออกไปจากราฟาห์ จากนั้นกองทหารก็ยกกำลังกดดันเข้ามาในเมือง
ในเวลาเดียวกัน การระดมทิ้งระเบิดก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้น
หลังจากปักหลักในเขตราฟาห์นาน 4 เดือนกว่า คุณพ่อเนมานกับคุณแม่มาจิดาพยายามหาทางอยู่ต่อไปให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในที่สุด ต้องเปลี่ยนใจ เพราะการโจมตีทางอากาศเขยิบเข้ามามากขึ้นๆ จนกระทั่งอยู่ใกล้เหลือเกิน และถึงกับสังหารลูกพี่ลูกน้องของคุณพ่อเนมานตายไป 4 คน โดยมีเด็กสาวคนหนึ่งเสียชีวิตไปด้วย
16 พ.ค. – ปลาย ส.ค. 2024 อพยพไปอยู่ “โซนมนุษยธรรม-มาวาซี” เขตข่าน ยูนิส ภาคใต้ตอนบนของฉนวนกาซา ซึ่งเป็นห้วงชีวิตตกต่ำย่ำแย่อย่างที่สุด
ช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนพฤษภาคม 2024 ชาวปาเลสไตน์ที่เก็บข้าวของหลบหนีภัยสงครามเข้ามาอยู่ในเขตราฟาห์ รวมแล้วมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านคน ถึงตอนนี้ผู้คนทั้งหลายต้องไหลทะลักออกมาจากเมือง เพื่อหนีให้พ้นการโจมตีของอิสราเอล
แต่ละคน แต่ละครอบครัว หนีกระจัดกระจายไปทั่วทั้งตอนใต้และตอนกลางของฉนวนกาซา โดยจะมีเมืองเต็นท์แห่งใหม่ๆ ผุดขึ้นมาตามชายแดน ท้องทุ่ง พื้นที่ว่างเปล่า สนามโรงเรียน สุสาน แม้กระทั่งพื้นที่ทิ้งขยะ - ตรงไหนก็ได้ที่พอจะเป็นพื้นที่โล่ง
ครอบครัวอะบูจารัดซึ่งไม่มีคุณป้าอาวาติฟแล้ว (เพราะคุณป้าไปพักพิงกับครอบครัวของญาติสนิทในตัวเมืองราฟาห์) เริ่มต้นอพยพหนีระเบิดของทหารยิวในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2024 โดยอาศัยเดินเท้าและใช้เกวียนเทียมลา จวบจนกระทั่งไปถึงสวนสนุกเก่าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ชุมชนอัสดา โดยในตอนนั้นชิงช้าสวรรค์ที่ตั้งโดดเด่นมองเห็นได้แต่ไกล ถูกล้อมรอบด้วยเต็นท์จำนวนมหาศาลซึ่งกางขึ้นเรียงรายกันไปไกลสุดลูกหูลูกตา
บริเวณดังกล่าวของชุมชนอัสดาซึ่งอยู่ในถิ่นมาวาซี ในเขตข่าน ยูนิส (อันเป็นพื้นที่แห่งเนินทรายและท้องทุ่งยืดยาวไปตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ได้รับคำประกาศจากอิสราเอลให้เป็น “เขตมนุษยธรรม” ทั้งๆ ที่แทบไม่มีข้าวของความช่วยเหลือ อาหาร หรือ น้ำ หรือสิ่งใดๆ เลย เอพีให้ข้อมูลอย่างละเอียด
เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่เคยมีให้ใช้ในชีวิตประจำวันของครอบครัวธรรมดาทั่วไป ตอนนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำอันริบหรี่
สิ่งที่เรียกขานว่าเป็นห้องครัว คือ บรรดากองกิ่งไม้ท่อนไม้สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงก่อไฟทำอาหาร และมีหิน 2 ก้อนสำหรับตั้งหม้อต้มเหนือกองไฟ
ไม่มีการอาบน้ำ อย่างดีก็แค่น้ำสักถังหนึ่ง นานๆ ครั้ง ส่วนสำหรับสบู่ ก็มีราคาแพงเกินกว่าจะซื้อหา
สิ่งที่แยกแต่ละครอบครัวออกจากบรรดาเพื่อนบ้าน ก็คือผืนไวนิลที่แขวนกั้นไว้พอเป็นพิธี ทุกสิ่งอย่างสกปรก เต็มไปด้วยทราย แมงมุม แมลงสาบ และในบางเวลาจะมีแมลงอื่นๆ ตัวโตๆ คืบคลานเข้าข้างในเต็นท์
16-26 ส.ค. 2024 หลบหนีไปสู่ทะเล
กระทั่ง “เขตมนุษยธรรม” ก็ไม่มีความปลอดภัย!!
หลังจาก 3 เดือนที่ต้องอดทนพักอาศัยอยู่ในถิ่นมาวาซี เขตข่าน ยูนิส ซึ่งมีสภาพย่ำแย่ที่สุดนับจากที่อพยพหนีระเบิดของทหารอิสราเอลในเดือนตุลาคม 2023 กองทหารอิสราเอลบุกคืบหน้า ระดมกำลังเข้าโจมตีในพื้นที่ซึ่งห่างออกไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร
ความเสี่ยงสูงขนาดนี้บีบให้คุณพ่อเนมานกับคุณแม่มาจิดาต้องตัดสินใจขยับขยายหลบภัยอันตราย และจึงลองอพยพชั่วคราวกัน โดยมุ่งหน้าไปยังชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไปตายเอาดาบหน้า เพราะยังไม่ทราบเลยว่าจะไปอยู่ที่ไหนกัน
ครอบครัวอะบูจารัดยังมีบุญรักษาอย่างยิ่ง คุณพ่อเนมานบอกว่าได้พบกับคนคุ้นเคยกันมาแต่เก่าก่อน
“ขอพระเจ้าอวยพรพวกเขาครับ พวกเขาแบ่งที่ทางในเต็นท์ให้ผมกับครอบครัวเข้าไป อนุญาตให้พวกเราอาศัยด้วย 10 วันจนกว่าสภาพการณ์จะเปลี่ยนไป” คุณพ่อเนมานเล่าอย่างนั้น
ปลาย ส.ค. 2024 เตรียมการโยกย้ายอีกครั้ง มองไม่เห็นเลยว่าสงครามจะจบเมื่อใด โดยในเดือน ก.ย. 2024 ไปปักหลักในค่ายผู้พลัดถิ่น ใกล้นครข่านยูนิส
เมื่อกลับมาที่มาวาซี ครอบครัวอะบูจารัดพบว่าเต็นท์ของพวกตนถูกปล้น ข้าวของในเต็นท์ถูกขโมยหมดเกลี้ยง ไม่ว่าอาหาร เสื้อผ้า หรือข้าวของเครื่องใช้
คุณพ่อเนมานสะเทือนใจอย่างที่สุด และตั้งแต่นั้นมา แต่ละสัปดาห์ที่ผ่านไปล้วนแล้วแต่มืดมัว ไร้อนาคต การเอาชีวิตรอดไปวันๆ ก็ช่างไร้ซึ่งความหมายภายในท่ามกลางการสู้รบที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
อาหารกลายเป็นของหายากหนักหนายิ่งขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากข้าวของต่างๆ ที่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าสู่ฉนวนกาซาถูกบีบให้ลดน้อยลง จนสู่ระดับต่ำสุดของสงครามนี้ เอพีรายงานอย่างนั้น
ในเวลาเดียวกัน ขวัญกำลังใจก็เสียหายซ้ำซ้อนด้วยเสียงคุกคามจากพวกโดรนของอิสราเอล เสียงเหล่านั้นจากท้องฟ้าเหนือศีรษะ เวียนกลับมากระหน่ำความรู้สึกไม่ได้ขาด ความตึงเครียดทางจิตใจเกาะกุมฝังลึกในความรู้สึกของทุกผู้คน
คุณพ่อเนมานเล่าว่า ในวันหนึ่ง ลูกสาวคนเล็กสุดท้อง น้องลานา ตัดพ้อว่า
“พ่อไม่รักหนูแล้ว ตอนนี้หนูเข้าใกล้พ่อ พ่อพูดแต่ว่าพ่อเบื่อ แล้วบอกให้หนูไปห่างๆ”
คุณพ่อถึงกับตกใจ ต้องคอยปลอบใจลูกสาวตัวน้อย
“พ่อรักหนู พ่อเพียงแต่เหลืออดเหลือทนกับสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี่”
คุณพ่อ คุณแม่ และคุณลูกสาวต่างโหยหาบ้าน อยากกลับบ้านเหมือนใจจะขาด
คุณพ่อเนมานเล่าด้วยว่า บ้านของพี่ชายซึ่งปลูกไว้เคียงกัน ถูกระเบิดถล่มอย่างจัง พังยับเยินไปทั้งหมด ส่วนสำหรับบ้านของเขาเองได้รับความเสียหายบางส่วน เขาเฝ้ากังวลว่าพวกดอกไม้ทั้งหลายจะเป็นยังไง เขาอยากให้พวกดอกไม้เหล่านั้นเอาชีวิตรอดได้ แม้ว่าตัวบ้านจะถูกเล่นงานจนสูญสิ้นไปแล้วก็ตาม
คุณแม่มาจิดาพูดว่า ความแตกต่างระหว่างตอนนั้นกับตอนนี้ คือ “ความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับนรก”
ในยามที่ห่างไกลจากความอบอุ่นและความรักใคร่เมตตากรุณาของบ้านเกิด ครอบครัวอะบูจารัดยอมรับว่ารู้สึกพ่ายแพ้ รู้สึกยอมจำนนต่อความสิ้นหวัง
“เรารู้สึกอิจฉาค่ะ” คุณแม่มาจิดาพูดกับนักข่าวเอพีอย่างนั้น
“อิจฉาใครหรือคะ? ก็อิจฉาคนที่ถูกฆ่าตายไปแล้วสิคะ พวกเขาพ้นทุกข์ เบาสบายไปแล้ว แต่พวกเรายังลำบาก ยังต้องเจอกับความเหี้ยมโหด การทรมาน และหัวใจที่แตกสลายอยู่ทุกวัน”
แม้จะทดท้อต่อชะตากรรม กระนั้นก็ตาม เมื่อโซนมนุษยธรรมแห่งมาวาซีถูกระเบิดของทหารยิวถล่มซ้ำแล้วซ้ำอีกรวมได้ 97 ครั้งตามรายงานของบีบีซี ในครึ่งหลังของเดือนกันยายน 2024 คุณพ่อเนมานลุกขึ้นพาครอบครัวลี้ภัยออกจากเขตราฟาห์ ย้อนกลับขึ้นไปยังเขตข่านยูนิส ไปสืบสานวิถีชีวิตอันยากแค้นราวกับนรกบนดิน
ด้วยสภาพบอบช้ำอ่อนล้า ห้าหญิงแห่งครอบครัวอะบูจารัดปักหลักในค่ายผู้พลัดถิ่นใกล้ตัวเมืองข่านยูนิส เมืองใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนของฉนวนกาซา โดยในคราวนี้ ห้าหญิงแห่งบ้านอะบูจารัด มีเต็นท์มาตรฐานที่โอเคมากขึ้นให้ได้อาศัยซุกหัวนอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แทนที่จะต้องอยู่ในเต็นท์ไวนิล
นั่นเป็นการอพยพลี้ภัยระเบิดสังหารของกองกำลังรบอิสราเอลอันน่าสลดใจครั้งที่ 7
ขณะข้ามเข้าสู่ปี 2025 ด้วยความท้อแท้ คุณพ่อเนมานตั้งใจเพียงขอให้ได้กลับคืนบ้านทางเหนือ ซึ่งไม่ว่าจะยับเยินเพียงใด ก็จะฟื้นฟูกลับขึ้นมา
ในที่สุด ความหวังก็ฟื้นชีพขึ้นมาในช่วงต้นเดือนมกราคม 2025 เมื่ออิสราเอลกับกลุ่มฮามาสสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงที่ยืดเยื้อเนิ่นนาน
ในวันที่ 19 มกราคม 2025 อันเป็นวันแรกของการใช้ข้อตกลงหยุดยิง คุณแม่มาจิดาเริ่มต้นจัดเก็บเสื้อผ้า อาหาร และข้าวของอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่
จากนั้นในวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม มีประกาศออกมาว่า ในวันรุ่งขึ้น กองทหารอิสราเอลจะถอนตัวออกไปจากถนนสายหลัก 2 สาย เพื่ออนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์เดินทางกลับไปทางตอนเหนือ
เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 27 มกราคม ผู้คนชาวปาเลสไตน์มากกว่า 375,000 ชีวิต ทยอยกันหอบหิ้วลูกหลานและสัมภาระ เดินทางหวนกลับไปยังตอนเหนือของกาซา ส่วนใหญ่ใช้วิธีเดินเท้าย่ำไปตามถนนสายหลักที่ตัดตามแนวยาวของดินแดนฉนวนกาซา
ครอบครัวอะบูจารัด เริ่มต้นออกจากเต็นท์ตั้งแต่ตี 5 ของวันจันทร์ ช่วยกันขนกระเป๋าและข้าวของ ตลอดจนห่ออาหารเข้าไปในรถยนต์เช่า คนขับพาไปส่งที่ชายขอบของ “ระเบียงเนตซาริม” ในเขตกาซา ซิตี ซึ่งเป็นพื้นที่ตัดขวางดินแดนกาซา ลักษณะเป็นแถบกว้าง 2 กิโลเมตร ยาวขวาง 6 กิโลเมตรจากชายแดนตะวันออกสู่ชายฝั่งทะเลทางตะวันตก โดยกองทหารอิสราเอลกำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมเข้มงวด และที่ผ่านมา 15 เดือน ชาวปาเลสไตน์ถูกห้ามอย่างเด็ดขาดมิให้เดินทางข้ามระเบียงเนตซาริม เพื่อกลับไปทางเหนือ
จากเขตทางข้ามนั้น ทุกคนลงจากรถและเริ่มต้นเดินไปด้วยกันกับฝูงชนหลายหมื่นหลายแสนราย ต่างคนต่างก้าวย่างไปตามถนนเลียบชายฝั่งทะเลซึ่งทอดตัวยาวประมาณ 8 กิโลเมตร
คุณพ่อเนมานในวัย 49 ปี แบกกระสอบใส่ของใบใหญ่ โดยผูกให้คล้องแนบแผ่นหลังได้เหมือนเป้หลัง และคล้องกระสอบอีกใบเอาไว้ที่แขน ใช้มือสองข้างคอยประคองไว้เป็นระยะๆ นอกจากนั้นยังมีกระเป๋า 2 ใบห้อยต่องแต่งอยู่กับข้อศอกซ้ายขวา
การเดินเท้ากลับบ้านมีพักเบรกกันบ่อยๆ เพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้า อีกทั้งจะได้เอากระเป๋าและห่อข้าวของมาจัดใหม่ ตลอดจนทิ้งสิ่งของออกไปบ้างตลอดเส้นทาง
“การเดินไปตามถนนนั่นมันลำบากจริงๆ” คุณแม่มาจิดา บอกกับนักข่าวเอพี ซึ่งติดตามไปถ่ายทำบรรยากาศการเดินทางกลับบ้าน
“แต่ความดีใจที่จะได้กลับบ้าน ทำให้พวกเราลืมไปเลยว่าเราเหนื่อยขนาดไหน ทุกๆ เมตรที่เราก้าวเดิน คือเราเข้าใกล้บ้านมากขึ้น ความสุขสมหวังทำให้เราเข้มแข็งที่จะเดินขึ้นหน้าไปได้เรื่อยๆ ค่ะ”
เมื่อเดินจนถึงชานเมืองทางใต้ของกรุงกาซาซิตี้ คุณพ่อเนมานว่าจ้างรถแวนคันหนึ่ง แต่สักพักรถคันนี้เกิดจะน้ำมันหมดถังอย่างปุบปับ ทุกคนต้องรอกันอีกกว่า 1 ชั่วโมงก่อนจะได้รถเช่าอีกคันหนึ่ง การอยู่บนรถที่แล่นผ่านไปตามมหานครใหญ่โตที่สุดในฉนวนกาซาแห่งนี้ ทำให้มีโอกาสได้เห็นความวินาศหายนะจากสงครามบนดินแดนทางตอนเหนือ
ตลอด 15 เดือนนับจากเดือนตุลาคม 2023 อิสราเอลเปิดการโจมตีใส่กรุงกาซาซิตี้และพื้นที่รอบๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยอ้างว่าเป็นความพยายามที่จะบดขยี้ทำลายล้างพวกนักรบฮามาส ซึ่งบ่อยครั้งปฏิบัติงานในย่านที่พำนักอาศัยซึ่งมีประชากรอยู่กันหนาแน่น หลังจากการโจมตีแต่ละครั้งผ่านไปแล้ว พวกนักรบก็กลับมารวมตัวกันใหม่ แล้วการโจมตีครั้งใหม่ของรัฐยิวก็จะติดตามมาอีก
รถแวนพาครอบครัวอะบูจารัดเคลื่อนไปตามถนนสายต่างๆ ของเมืองหลวง ซึ่งเต็มไปด้วยเศษซากอาคารถล่มพังทลาย บรรดาอาคารที่ตั้งเรียงรายกันเป็นแถวถูกระเบิดย่อยยับ เมื่อมองจากด้านนอกจะเห็นสภาพพังยับเยิน หรือกระทั่งกลายเป็นกองเศษคอนกรีตทับถมกัน
รถแวนวิ่งออกจากกาซาซิตี้ และขึ้นเหนือเข้าสู่เมืองเบอิต ลาฮิยา และ เบอิต ฮานาว โดยทั้ง 2 เมืองขนาดย่อมนี้ซึ่งมีชายแดนติดต่อกัน กลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งถูกอิสราเอลโจมตีอย่างดุเดือดเลือดพล่านที่สุดในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนจะมีการหยุดยิง
ในที่สุด ขณะที่ดวงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า รถแวนได้นำทุกคนมาส่งที่ถนนตรงชายขอบของย่านที่พำนักอาศัย เพราะพื้นที่จากถนนไปสู่บรรดาบ้านอันพังพินาศยับเยินนั้น เละเทะเกินกว่าจะวิ่งรถเข้าไปได้
คณะคุณน้องคุณหนูในเสื้อผ้ามอมแมมด้วยฝุ่นเกรอะกรังของคุณพ่อเนมานยืนมองสภาพบ้านเรือนพังทลายด้วยสายตาตกใจกับสภาพที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งอ้าปากค้าง มือทั้งสองข้างจับอยู่ที่แก้ม อีกคนหนึ่งชี้ไปยังซากอาคารบ้านเรือนที่ถูกถล่มทำลาย
ทุกคนต้องเดินต่อกันไปอีกสองสามร้อยเมตร มุ่งหน้าสู่บ้านที่หมดสภาพอย่างเหลือเชื่อ ท่ามกลางภูมิประเทศซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นหนาที่เกิดจากการถูกยานยนต์ขนาดหนักแล่นผ่านจนไม่อาจเรียกว่าถนน
หมดสิ้นแล้ว บ้านเดี่ยวสองชั้นที่เคยมีสวนเล็กๆ ทั้งต้นส้ม ต้นมะกอก และต้นปาล์ม รวมทั้งเถาองุ่น ผลิบานตรงด้านหน้าบ้าน ตลอดจนช่อสวยๆ ของดอกสายน้ำผึ้งที่เคยทอดตัวลงมาจากระเบียงชั้นบน เพราะพื้นที่ละแวกนี้ถูกยานยนต์ขนาดหนักไถกวาดออกไปหมดสิ้น
บรรดาดอกกุหลาบและดอกมะลิที่บานอวดโฉมอยู่บนหลังคาบ้านและในสวนน้อยหน้าบ้าน ซึ่งเนมานคอยเฝ้ารดน้ำให้อย่างสม่ำเสมอเพื่อที่ครอบครัวของเขาจะได้ดมกลิ่นหอมๆ ชวนชื่นใจนั้น ตอนนี้ก็หายไปทั้งหมดด้วย เอพีบรรยายไว้อย่างละเอียด
ตัวบ้านอยู่ในสภาพยับเยินเสียหายมากมาย บางส่วนถูกระเบิดและกระสุนเจาะเป็นรูกลวง มองเข้าไปก็จะเห็นรายละเอียดของห้องด้านใน กระนั้นก็เถิด ต้องนับว่าบ้านนี้มีบุญรักษาไว้อย่างน่าทึ่ง เพราะมันผ่านสงครามที่สุดแสนหฤโหดยาวนาน 15 เดือนมาได้ โดยที่ยังผงาดตั้งตระหง่านอยู่ได้ เอพีพรรณนาสิ่งที่ได้ร่วมประจักษ์ต่อสายตา
ในอาการก้าวเดินอย่างเหนื่อยล้าให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ โดยที่มีกระเป๋าและถุงข้าวของพะรุงพะรังอยู่กับตัว คอยรั้งถ่วงเอาไว้ คุณพ่อเนมานผู้ทรหดเดินเข้าหาบ้านอย่างมุ่งมั่น พลางรำพึงบทภาวนาขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา
“พระเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ขอขอบพระคุณพระองค์”
บ้านของครอบครัวอะบูจารัดยังคงตั้งตระหง่านรอต้อนรับทุกคน แม้หลายส่วนได้รับเสียหายเป็นรูโหว่เพราะแรงระเบิด แต่บ้านก็ยังยืนยงท่ามกลางแถวของอาคารอื่นๆ ซึ่งเสียหายหนักหนากว่ากันมากมาย
หลังจากคุณพ่อ คุณแม่ และบรรดาลูกสาวคุกเข่าสวดมนต์ขอบพระคุณพระเจ้า ณ บริเวณด้านหน้าบ้านอันยับเยิน เนมาน อะบูจารัด ลุกขึ้น แนบใบหน้าลงบนผนังคอนกรีตเปล่าเปลือยของบ้าน และจูบอย่างทะนุถนอมด้วยความรัก
เขาดีใจมากขึ้นอีกเมื่อพบเถาองุ่นที่กำลังออกดอกในบริเวณหน้าบ้าน ความอยู่รอดของเถาองุ่นปรากฏให้ได้ชื่นใจราวปาฏิหาริย์ เขารีบตรวจตราและจัดแจงเถาเลื้อยของมันให้เรียบร้อยในทันที
สาวน้อยธิดาคนที่ 3 ของครอบครัววิ่งเข้าข้างในบ้านจากช่องทางด้านหน้า ซึ่งบัดนี้ไม่มีบานประตูไว้กางกั้นแล้ว
“โอ้พระผู้เป็นเจ้า โอ้พระผู้เป็นเจ้า” น้องร้องเสียงดัง ได้ยินออกมาด้านนอก
เอพีเล่าว่าน้องอ้าปากค้างอยู่ท่ามกลางความมืดด้านในของบ้าน จากนั้นเธอเริ่มร้องไห้ ราวกับว่าอาการตกตะลึง ความโศกเศร้า ความดีอกดีใจ และความรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งหมดต่างพากันพลุ่งพล่านทะลักออกมาจากตัวเธอ
เหมือนกับชาวปาเลสไตน์อื่นๆ ที่หลั่งไหลกันกลับมายังตอนเหนือของฉนวนกาซา ครอบครัวอะบูจารัด จะต้องเผชิญกับคำถามที่ว่าจะมีชีวิตรอดต่อไปอย่างไรภายในเมืองใหญ่น้อยที่ถูกทหารอิสราเอลทำลายยับเยิน ทั้งน้ำและอาหารยังคงเป็นของหายาก ทำให้ประชากรยังคงต้องพึ่งพาอาศัยความช่วยเหลือเชิงมนุษยธรรมที่ส่งเข้ามาจากภายนอก ยังดีที่ความช่วยเหลือเหล่านี้ทยอยเพิ่มขึ้นมาอย่างมากหลังจากมีข้อตกลงหยุดยิง อย่างไรก็ตาม ไฟฟ้ายังไม่มีให้ใช้ ขณะที่ผู้คนเป็นหมื่นๆ ชีวิตยังไร้ที่อยู่อาศัย
ส่วนที่น่าสะเทือนใจอย่างยิ่งคือ บ้านสามชั้นของคุณลุงตระกูลอะบูจารัด ซึ่งอยู่ติดๆ กับบ้านของน้องลานา กลายเป็นกองซากคอนกรีตที่ยับเยินไปทั้งหลัง เพราะถูกทำลายอย่างจังจากการโจมตีโดยทหารอากาศยิว ตอนที่มันล้มครืนลงมายังพลอยสร้างความเสียหายให้แก่บ้านของเนมานไปด้วย คุณพ่อเนมานเล่าแก่เอพี
“แต่ว่า ขอขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า บ้านผมยังมีห้องที่ไม่ได้เสียหายอะไรเลยอยู่ห้องหนึ่ง ให้ทุกคนเข้าไปอาศัยได้” คุณพ่อเนมานเล่าอย่างนั้น โดยประกาศความตั้งใจว่าจะซ่อมแซมสิ่งที่พังเสียหายไป ให้ดีขึ้นมาใหม่
ความทุกข์โศกเหนืออื่นใดคือ ความหดหู่เสียใจจากการที่สงครามโถมทับใส่ตัวเขาอย่างหนักหนาสาหัส อันได้แก่ คุณลุงแท้ๆ อีกรายหนึ่งต้องสูญเสียบ้าน และลูกๆ หลายคน
ในเวลาเดียวกัน บ้านเรือนของพวกเพื่อนบ้านจำนวนมากเลยก็ถูกทำลาย คุณพ่อเนมานบอกว่าเขาจะต้องเดินหลายกิโลเพื่อหาน้ำมากินมาใช้ อย่างเดียวกับที่เคยทำเมื่อตอนที่อยู่ในค่ายพักพิงเพื่อผู้พลัดถิ่น
“เราจะต้องดำเนินชีวิตให้ผ่านพ้นความทุกข์ยากและเหนื่อยล้าอีกครั้งหนึ่งครับ”
คอลัมน์ PLANET No.3
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: เอพี วีโอเอ บีบีซี อัลญะซีเราะฮ์)