xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปราบ “บุหรี่ไฟฟ้า” อย่าแค่ไฟ้ไหม้ฟาง! ปราม “นักสูบหน้าใหม่” ทำได้จริงหรือ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จับตาวาระร้อน “การปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า” ของ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” หลังเกิดการแพร่ระบาดอย่างหนักในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยผลิตภัณฑ์ยาสูบ “บุหรี่ไฟฟ้า” ได้เจาะตลาดนับสูบรุ่นใหม่ด้วยดีไซน์ทันสมัยดึงดูด มีกลิ่นให้เลือกหลากหลาย ทั้งนี้ ด้วยความอยากรู้อยากลอง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไม่ทันเล่เหลี่ยมของอุตสาหกรรมยาสูบ ทำให้เกิดปัญหาวัยรุ่นอมควันก่อปัญหาสังคม 

แน่นอน คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมที่ผ่านมาถึงไม่ได้ทำอย่างจริงจัง

และรัฐบาลรู้หรือไม่ว่า ผู้ที่รู้เห็นเป็นใจในการขายบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงอาจมีส่วนร่วมในการขายเสียเอง ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่คือบรรดา “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” แทบทั้งสิ้น

บุหรี่ไฟฟ้าเริ่มเข้ามาในประเทศไทยช่วงปี 2555 ก่อนแพร่ระบาดในช่วงปี 2563 แม้มีข้อกำหนดทางกฎหมายไม่อนุญาตให้นำเข้า จำหน่าย และครอบครอง อีกทั้ง หากฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ อาทิ ประกาศกระทรวงพาณิชย์ห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศไทย ปี 2557, คำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าปี 2558 เป็นต้น แต่กลับมีการลักลอบจำหน่ายอย่างโจ่งครึ่ม โดยที่เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลยไม่มีการปราบปรามอย่างจริงจัง กระทั่งปัจจุบันเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน

จากการสำรวจของกรมควบคุมโรค พบว่าเด็กไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง 17.6% และเกือบทั้งหมดซื้อผ่านทางออนไลน์ บุหรี่ไฟฟ้าพุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชน โดยผลิตให้มีรูปแบบเป็นตัวการ์ตูน กล่องนม ให้ดูเป็นเรื่องธรรมดา เข้าถึงง่าย จนเด็กซึมซับโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ ยังพบการโปรโมทบุหรี่ไฟฟ้าว่าสูบแล้วเท่สูบแล้วดีกว่าบุหรี่มวนใน TIKTOK แพลตฟอร์มฮิต ทำให้การระบาดในเด็กและเยาวชนยิ่งอย่างรวดเร็ว เพราะเด็กคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีอันตราย และผู้ปกครองไม่รู้ว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้า

ปัจจุบันกลุ่มเด็กและเยาวชนเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันมากขึ้น เนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์กับภัยอันตรายที่แฝงมากับผลิตภัณฑ์ และด้วยรูปแบบของบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบันมักมีการโฆษณาขายสินค้าในโลกออนไลน์ที่มีราคาที่ถูก โดยพบราคาต่ำสุดเพียงแค่ 99 บาท ทำให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงได้โดยง่าย อีกทั้ง ด้วยลักษณะรูปทรงที่ดึงดูดใจต่อเด็กและเยาวชน และไม่โดดเด่นแปลกตา ทำให้ผู้ปกครองไม่ทันสังเกต ปัจจุบันพบบุหรี่ไฟฟ้ามาในลักษณะคล้าย Art Toy หรือที่เป็นข่าวครึกโครมเมื่อเร็วๆ นี้ เช่น บุหรี่ไฟฟ้าโดเรมอน เป็นต้น

จากการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนไทย โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร พบเด็กและเยาวชนไทยมีความเข้าใจผิดคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าสามารถช่วยเลิกบุหรี่มวนได้ถึง 61.23% และเข้าใจผิดว่านิโคตินส่งผลดีต่อร่างกาย 51.19% นอกจากนี้ มีความเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน 50.2% และเข้าใจว่าน้ำยาของบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีส่วนผสมของนิโคติน 26.28% กลุ่มวัยรุ่นตัวอย่างเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายถึง 23.28%

 ยิ่งไปกว่านั้น ภัยที่แฝงมากับผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมหันต์ อ้างอิงข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 พบว่าผู้ป่วยที่เป็นเยาวชนมีอาการปอดอักเสบรุนแรงจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 100 ราย 




สำหรับภัยของบุหรี่ไฟฟ้ามีความอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมีนิโคตินที่เป็นอันตรายมากกว่าบุหรี่มวน ยกตัวอย่างบุหรี่มวนมีการจำกัดปริมาณนิโคตินต่อมวน แต่บุหรี่ไฟฟ้าสามารถเติมนิโคตินได้ตลอดเวลา ซึ่งนิโคตินมีผลกระทบทำลายสมองและพัฒนาการของเด็ก และทำให้เกิดปอดอักเสบเฉียบพลัน

ทั้งนี้ ท่าทีของทางการไทยเริ่มมีแนวทางในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าหลังกลายเป็นปัญหาลุกลามบานปลาย โดยมีเร่งดำเนินการจับกุมและเร่งสร้างภูมิคุ้มกันในการป้องกันการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชน มีการสั่งการให้ทุกหน่วยงานภาครัฐบูรณาการความร่วมมือเดินหน้าปราบปราม หยุดยั้งการลักลอบผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิด นอกจากนี้ หากพบเห็นว่าพื้นที่ใดมีการเปิดขายอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย และมีเจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้มีร้านขายหรือมีการรับสินบนเพื่อให้เปิดร้านขายได้ก็จะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทันที

ขณะที่  น.ส.แพทองธาร ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี สั่งการปราบปรามผู้ผลิตและผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด โดยได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ลงพื้นที่พร้อมกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. และคณะ ร่วมแถลงข่าว  “ปฏิบัติการ Operation Smoke Out”  ปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่ จ.นนทบุรี จำนวน 10 จุด ทลายรังบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 1 ของประเทศ นำเข้าพร้อมส่งออกจำหน่ายในเครือข่ายกว่า 100 เครือข่ายทั่วประเทศ ประกาศลั่น “ไม่จบไม่เลิก…” สั่งการเด็ดขาด บุหรี่ไฟฟ้าต้องหมดไป

สำหรับปฏิบัติการ Operation Smoke Out สืบเนื่องจากชุดสืบนครบาล IDMB ได้ทำการสืบสวนลาดตระเวนทางออนไลน์ พบว่ามีผู้จำหน่ายบุหรี่รายใหญ่มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านทางเว็บไซต์ให้แก่บุคคลทั่วไป ก่อนกระจายเป็นยังตัวแทนต่างๆ ทั่วประเทศทั้ง 4 ภาค และมากกว่า 100 กว่าร้านค้า นำสู่การขยายผลตรวจยึดของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมกันกว่า 260,000 รายการ มูลค่า 130,000,000 บาท และจับกุมกลุ่มขบวนการผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 - 4 มีนาคม 2568 มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 666 คดี โดยมีผู้ต้องหารวม 690 คน ตรวจยึดของกลางได้ทั้งสิ้น 454,958 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 41,911,815 บาท

 น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ามีการยกระดับการทำงานที่เข้มข้นตามคำสั่งของนายกฯ โดยมีประชุมหารือแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกับ 20 หน่วยงาน เปิดเผยแผนปฏิบัติการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์

ยุทธศาสตร์ที่ 1 ด้านการปราบปรามโดยการบังคับใช้กฎหมาย

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า

และยุทธศาสตร์ที่ 3 การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า

พร้อมมีการเสนอตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีคณะอนุกรรมการ 3 คณะ ตามยุทธศาสตร์ของแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้

จากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ได้มีการแบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน ในระยะเร่งด่วน เพื่อปูพรมการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าเน้นพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่รับผิดชอบของกรมศุลกากร ซึ่งมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยจะไม่มีการระงับคดีและส่งต่อไปยังตำรวจสอบสวนกลาง และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อสืบเส้นทางการเงินเพื่อยึดทรัพย์

ส่วนการปราบปรามร้านค้า ร้านที่มีที่ตั้งและออนไลน์ด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้น โดยหากจับกุมกรณีที่มีของกลางมูลค่า เกินกว่า 500,000 บาท จะส่งไปยัง ปปง. หากต่ำกว่า 500,000 บาท ทางตำรวจจะสืบทรัพย์และส่งต่อ ปปง.เพื่อดำเนินการ ส่วน กระทรวงดีอี สามารถปิดกั้นเพจและเว็บไซต์ต่างๆ ได้แล้วกว่า 9,500 กว่าเพจ

ขณะเดียวกัน ยังสร้างความตระหนักรู้ เรื่องโทษของบุหรี่ไฟฟ้าและข้อกฎหมายควบคู่กันให้กับประชาชน รวมไปถึงเน้นที่สถานศึกษา เพราะนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยไม่อยากให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าโดยง่าย โดยใช้กลไกที่มีอยู่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว ต้องนำข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาทบทวน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร

นอกจากนี้ มีการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่เข้ามาจัดการ โดยเฉพาะมีส่งข้อมูลไปยัง ปปง. เพื่อสืบเส้นทางการเงินและขยายผลการจับกุมไปถึงต้นตอรายใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีช่องทางการแจ้งเบาะแสส่วนต่างๆ แล้ว มีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ประชาชนสามารถแจ้งผ่านทางแอพพลิเคชั่นทางรัฐ ที่พัฒนาร่วมกันกับกระทรวงดีอี

ขณะที่  พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กำชับสถานศึกษาทุกสังกัดทั่วประเทศ ให้เข้มงวดตรวจตราการนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในโรงเรียน โดยยึดกฎระเบียบเช่นเดียวกับการห้ามสูบบุหรี่ธรรมดา อ้างอิงประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่ออกมาตาม พ.ร.บ. คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 กำหนดให้โรงเรียนหรือสถานศึกษา เป็นสถานที่สาธารณะ ต้องเป็นเขตปลอดบุหรี่ทั้งหมด

โดยมีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อยกระดับการป้องกันการเข้าถึงและการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาและสถานที่ทำงานในพื้นที่บริเวณส่วนราชการในสังกัดและองค์กรในกำกับกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

1. สร้างความตระหนักรู้เท่าทันพิษภัยและโทษของบุหรี่ไฟฟ้าทั้งต่อสุขภาพร่างกายและโทษทางอาญาให้แก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหารทุกระดับ และเจ้าหน้าที่ อาทิ สอดแทรกเนื้อหาหรือหลักสูตรการเรียนการสอน กิจกรรม สื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ

2. ให้ผู้รับผิดชอบสถานศึกษาหรือสถานที่ทำงาน จัดให้มีเครื่องหมายแสดงไว้ให้เห็นได้โดยชัดเจนว่าเป็นเขตปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

3. ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น สอดส่อง ดูแล หรือป้องกันมิให้นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ เข้าไปเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งการสูบ จำหน่าย มีไว้ในครอบครอง หรือสนับสนุนอย่างหนึ่งอย่างใด

4. หากมีกรณีตรวจพบ หรือมีการร้องเรียนกล่าวหา หรือกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหาร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยตามอำนาจหน้าที่ทันที


สอดคล้องกับประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 รวมทั้งบุคคลที่มีไว้ในครอบครองหรือรับไว้ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และยังสอดคล้องกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดประเภทหรือชื่อของสถานที่สาธารณะ สถานที่ทำงาน และยานพาหนะ ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของสถานที่และยานพาหนะ เป็นเขตปลอดบุหรี่หรือเขตสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ พ.ศ. 2561

ขณะที่ทางการเร่งดำเนินการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ในอีกมุมหนึ่ง  นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน  ตัวแทนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ผู้ก่อตั้งเพจมนุษย์ควัน โพสต์ข้อความตั้งคำถามถึงรัฐบาลความว่า “ในฐานะตัวแทนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากว่า 1 ล้านคนในประเทศไทย ผมอยากถามว่านโยบายการแบนบุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้สถานการณ์การลักลอบใช้บุหรี่ไฟฟ้า ปัญหาเด็กเยาวชน มันดีขึ้นกว่า 10 ปีที่ผ่านมาหรือไม่?”

โดยระบุว่า เห็นข่าวการเข้มงวดจับกุมเครือข่ายลักลอบนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายวันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี แต่หลายๆ ครั้งที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่าการปราบปรามเอาจริงเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในระยะยาว เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากว่า 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้สูบบุหรี่จำนวนมากที่ต้องการทางเลือกแบบใหม่ อย่างที่มีในประเทศที่พัฒนาแล้ว เมื่อมีความต้องการในตลาดสูง ก็ย่อมมีผู้ลักลอบนำเข้ามา เกิดตลาดใต้ดินซึ่งไร้การควบคุม ส่งผลให้เกิดปัญหา เช่น การเข้าถึงง่ายของเยาวชน การซื้อขายทางช่องทางออนไลน์ จนเห็นได้ว่าปัญหามันรุนแรงเกินกว่าจะซุกไว้ใต้ดินเหมือนเดิมแล้ว ควรคิดใหม่ทำใหม่และนำมาควบคุมให้เหมาะสมเช่นเดียวกับที่คุมบุหรี่มวน

พร้อมเสนอให้มีการพิจารณาบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อนถูกกฎหมาย โดยรัฐบาลจะสามารถควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งจะแก้ปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษ โลหะหนัก หรือการผสมส่วนประกอบที่ไม่เหมาะสม เพราะนอกจากสร้างรายได้ให้รัฐ ยังสามารถแก้ปัญหาธุรกิจใต้ดินได้ โดยมีกฎหมายเป็นกลไกควบคุมป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชน ซึ่งในประเด็นยังคงต้องติดตามความเป็นไปได้ต่อไป

 อย่างไรก็ตาม บุหรี่ไฟฟ้านับเป็นภัยคุกคามต่อเด็กเยาวชนที่ต้องเร่งจัดการโดยด่วน ซึ่งขณะนี้รัฐเร่งเครื่องแก้ปัญหาอย่างเต็มกำลัง ท่ามกลางการจับตาของประชาชนอย่าแก้ปัญหาแบบไฟ้ไหม้ฟาง. 


กำลังโหลดความคิดเห็น