ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นข่าวครึกโครอีกครั้ง กรณี “อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer)” ถูกเรียกเก็บจ่ายภาษีเข้าคลัง เนื่องจากรายได้จำนวนมากแต่ไม่ได้นำมายื่นภาษี หรือที่ยื่นภาษีแต่ยื่นไม่ถูกต้อง แต่ที่กำลังประเด็นเผือกร้อนจากถ้อยคำ “ตัดพ้อ” กลับถูกสังคมวิจารณ์ “เหลี่ยมจัด” ส่อเจตนาเลี่ยงภาษี...หรือไม่?
กรณี “อินฟลูเอนเซอร์” โดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย อีกทั้ง เคสเกิดกรณีลักษณะเดียวกันมาแล้วหลายครั้ง ต้องเข้าใจว่าอินฟลูเอนเซอร์เป็นช่องทางอาชีพสร้างรายได้ เมื่อมีรายได้ก็ต้องนำยื่นภาษีตามกฎหมาย แต่หากไม่ได้ยื่นภาษี หรือที่ยื่นภาษีแต่ยื่นไม่ถูกต้อง เพราะไม่เข้าใจเรื่องภาษีก็ตาม เมื่อเกิดพบความผิดปกติและสรรพากรตรวจพบภายหลังก็นำสู่การถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับ
ล่าสุด กรณี “เซฟ กระทะฮ้าง” หรือ นายสมบูรณ์ วรรณวงศ์ อดีตเชฟโรงแรมที่ผันตัวมาเป็นครีเอเตอร์ดิจิทัล ผลิตวิดีโอคลิปทำอาหารสไตล์บ้านๆ กลายเป็นไวรัลและมียอดวิวทะลุ 33 ล้านวิว โพสต์ข้อความตัดพ้อผ่านเฟซบุ๊ก ความว่า “ทำคลิปแบบบ้านๆ สู้มากับลูกเมีย พอวันหนึ่งมีรายได้ก็ต้องจ่ายภาษีตามรายได้ที่มี อันนี้ไม่ติดใจ (ที่ติดใจตอนผมลำบากพวกคุณไปอยู่ไหนมา)” และ “เจ้าหน้าที่สรรพากรบอกว่าผมต้องจ่ายภาษีเกือบ 2 แสนป้าด..”
จนเกิดดรามาเรื่องภาษี โดยความเห็นส่วนหนึ่งโจมตี “เซฟ กระทะฮ้าง” ตั้งคำถามส่อเจตนาเลี่ยงภาษีหรือไม่ เพราะเคยทำงานโรงแรมรับเงินเดือนมาตลอด 30 กว่าปี จะไม่รู้เรื่องภาษีได้อย่างไร โดยคอมเมนต์ส่วนใหญ่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การชำระภาษีเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ก็ต้องจ่ายเป็นปกติ ต่อมา นายสมบูรณ์ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ยืนยันว่าจ่ายแน่นอน เพียงแต่รอเจ้าหน้าที่แจ้งข้อมูลอีกครั้ง เพราะยังไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มตรงไหน
นับเป็นบทเรียนให้ “อินฟลูเอนเซอร์” รุ่นใหม่ๆ เมื่อมีรายได้เข้ามาจำนวนมาก ต้องตระหนักเรื่องชำระภาษี
นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เคยให้สัมภาษณ์ว่าแพลตฟอร์มออนไลน์ อินฟลูเอนเซอร์ขายสินค้าถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของกรมสรรพากร เพราะปัจจุบันถือเป็นช่องทางสำคัญในการขายสินค้าที่ทำยอดขายสูง โดยปัจจุบันมีการเข้าไปคุยกับกลุ่มนี้มาก จากเดิมอาจไม่ได้ให้ความสนใจมาก ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีรูมเยอะในการที่จะหารายได้เพิ่ม
“ในช่วงเดือนม.ค. - เม.ย. 2568 เป็นช่วงของการยื่นแบบชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และขอเชิญให้ผู้มีรายได้เข้ามายื่นแบบ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น กลุ่มซื้อสินค้ามาขายต่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ กลุ่มอินฟูลเอนเซอร์ โดยเมื่อมีรายได้ก็ขอให้มายื่นแบบแสดงรายการ ซึ่งหากกรมสรรพากรตรวจพบว่าไม่มายื่นแบบจะต้องเสียค่าปรับเงินเพิ่มตามกฎหมาย”
อย่างไรก็ตาม เกิดความกังวลว่าหากเข้าระบบภาษีแล้วประชาชนอาจทำให้โดนเก็บภาษีย้อนหลัง ดังนั้น จึงเลือกที่จะไม่เข้าระบบภาษี ซึ่งในประเด็นนี้ กรณีสียภาษีโดยสมัครใจสรรพากรจะมีบทยกเว้นต่างๆ ให้
และหากเลี่ยงภาษีหรือให้ข้อมูลเท็จจะมีบทลงโทษ ดังนี้ 1. หากไม่ยื่นแบบหรือชำระภาษีเกินกำหนด จะถูกปรับไม่เกิน 2,000 บาท พร้อมเบี้ยปรับ 1.5% ต่อเดือน 2. หากพบเจตนาหลบเลี่ยงภาษี อาจถูกจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 3. การแจ้งข้อมูลเท็จจะได้รับโทษจำคุก 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 200,000 บาท
ขณะที่ นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้จากภาษีเงินได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 สามารถเก็บได้สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึง 7.9% ซึ่งเป็นผลมาจากการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90/91
“ภาษีอากรเป็นหน้าที่ของบุคคลที่ต้องจ่ายหรือชำระให้แก่รัฐตามรัฐธรรมนูญ เพื่อที่จะเป็นรายได้ให้รัฐได้นำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ สร้างสรรค์โอกาสให้แก่ผู้ด้อยโอกาสและบุคคลอื่น ๆ ในสังคมต่อไป ขอย้ำเตือนผู้ที่ตั้งใจไม่ชำระภาษี จะมีโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญา รัฐบาลเชิญชวนผู้มีเงินได้ยื่นภาษี ภ.ง.ด.90/91 ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2568 หากยื่นผ่านระบบออนไลน์ เช่น D-MyTax หรือ e-Filing สามารถยื่นได้ถึง 8 เมษายน 2568"
สำหรับอาชีพทำเงิน “อินฟลูเอนเซอร์” มีอัตราการเติบโตก้าวกระโดด เพราะใครๆ ก็เป็นได้ จะเรียกว่า “อินฟลูเอนเซอร์ล้นตลาด” ก็ไม่เกินจริง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าปี 2568 ประเทศไทยจะมีอินฟลูเอนเซอร์เกือบ 3 ล้านราย แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จ ครีเอทคอนเทนต์ปัง ยอดวิวยอดฟอลทะลุล้าน สร้างรายได้จากเส้นทางสายนี้
อย่างไรก็ตาม ปี 2568 “อินฟลูเอนเซอร์” ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในภาคธุรกิจ นั่นหมายความรายได้ของอาชีพ “อินฟลูเอนเซอร์” ยังคงเติบโตตามกลไกตลาด โดยการเติบโตของตลาดอินฟลูเอนเซอร์ไทยเป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ
1. การเข้าถึงดิจิทัลที่สูงขึ้นของคนไทย โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ระบุว่า อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยสูงถึง 89.5% ส่งผลให้ผู้บริโภคใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากขึ้น
และ 2. ความนิยมในการช้อปปิ้งออนไลน์ของคนไทยที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนจากข้อมูล DataReportal ที่ระบุว่า คนไทยมีอัตราการซื้อสินค้าออนไลน์รายสัปดาห์สูงที่สุดในโลกที่ 66.9% จึงทำให้แบรนด์ต่างๆ ทุ่มงบประมาณการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันยอดขายและเพิ่มการรับรู้แบรนด์ทางออนไลน์
นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI GROUP เปิดเผยมุมมองของแบรนด์และสินค้า ปี 2568 พร้อมลงเม็ดเงินเพื่อการโฆษณาและการทำตลาด โดยเน้นไปที่สื่อดิจิทัล 45% และ สื่อออฟไลน์ 55% โดยที่ 3 สื่อหลักอย่าง สื่อดิจิทัล สื่อโทรทัศน์ และสื่อนอกบ้าน ยังมีคงบทบาทสำคัญของการทำตลาดมากที่สุด แต่โจทย์ยาก คือ การวางแผนส่วนผสมสื่อให้มีประสิทธิภาพและส่งเสริมกันมากที่สุด โดยเครื่องมือสำคัญ Influencers และ AI จะเป็นสองพลังหลักขับเคลื่อนตลาด การใช้ Influencers จะเน้นเรื่องยอดขาย ส่วน AI เป็นเรื่องของการลดระยะเวลาการทำงาน และการลดต้นทุน
ทั้งนี้ MI GROUP คาดการณ์ว่าจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในไทยในปี 2568 น่าจะแตะ 3 ล้านราย จากปีก่อนอยู่ที่ 2 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.5% ของจำนวนประชากรไทย การเติบโตมาจากกลุ่ม Micro และ Nano ที่มาในรูปแบบของผู้ใช้จริง (KOC) และพ่อค้าแม่ค้า นักขาย ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นที่เข้าร่วมทำ Affiliate Marketing กับแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการและแบรนด์ เน้นการสื่อสารการตลาด เพื่อดันยอดขายโดยตรงเป็นหลัก (Lower Funnel Marketing) จึงเป็นสาเหตุหลักทำให้การใช้อินฟลูเอนเซอร์เติบโตสูง
จากสถานการณ์ดังกล่าว คาดการณ์ว่าเม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดในปี 2568 จะยังเติบโตได้ 4.5% หรือคิดเป็นมูลค่ารวมที่ 92,048 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสื่อดิจิทัล (รวมถึงสื่อโซเชียล) ที่โต 15% โดยขึ้นเป็นสื่ออันดับ1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 มูลค่ารวมแตะ 38,938 ล้านบาท รวมถึงสื่อนอกบ้านที่จะโตอีก 10% ส่วนสื่อดั้งเดิมหลักถดถอยต่อเนื่อง โดยเฉพาะสื่อทีวี ที่เติบโตลดลง 3-4% จาก 35,364 ล้านบาทในปีก่อน ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 33,129 ล้านบาท
ข้อมูลจาก Statista บริษัทวิจัยการตลาดระดับโลกคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะแตะ 2,360 ล้านบาทในปี 2567 และจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 10.24% ในช่วงปี 2567-2572 ส่งผลให้มูลค่าตลาดอาจสูงถึง 3,864 ล้านบาทภายในปี 2572 เนื่องจากกลุ่มธุรกิจทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในระดับสูง
หลายคนอยากเป็นอินฟลูเอนเซอร์เพราะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่เข้าวงการแล้วประสบความสำเร็จ ซึ่งหัวใจของอินฟลูเอนเซอร์ คือ สร้างคอนเทนต์ต้องเป็นธรรมชาติ สามารถเข้าถึงผู้บริโภคส่วนใหญ่ และให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับผู้ติดตาม
นายศิวัตม์ วิลาสศักดานนท์ กรรมการผู้จัดการ AnyMind Group ประเทศไทยและฟิลิปปินส์ เปิดเผยปัจจุบันวงการอินฟลูเอนเซอร์ไทยเข้าสู่ยุค Evolution ที่ 3 หลังผ่านยุคดาราและบล็อกเกอร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของไมโครและนาโนอินฟลูเอนเซอร์ แม้คนกลุ่มนี้มียอดผู้ติดตามไม่ถึงหมื่นคน แต่สามารถทำคอนเทนต์รีวิวสินค้าเอง แปะลิงก์ Affiliate ให้สร้างรายได้ ทำคอนเทนต์ที่ค่อนข้างเรียลและทำให้เกิดเอ็นเกจเมนต์กับผู้ติดตาม ส่งผลให้เกิดยอดขาย
ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของไมโครและนาโนอินฟลูเอนเซอร์ เปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าสู่วงการอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันไทยมีอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์มากกว่า 9 ล้านคน โดยกว่า 2 ล้านคนทำอาชีพอินฟลูเอนเซอร์เป็นหลัก
สุดท้าย ใครๆ ก็สามารถเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ เพียงแต่คนที่จะประสบความสำเร็จต้องสร้างคอนเทนต์ที่มีเอกลักษณ์และแตกต่าง ประการสำคัญหากมีรายได้เข้ามาต้องยื่นชำระภาษีให้ถูกต้อง อย่าคิดหลบเลี่ยงเพราะสรรพากรตรวจพบอย่างแน่นอน.