ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เคาะกรอบเวลา “ศึกซักฟอก” การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ภายใต้ชื่อ “มหาศึกดีลแลกประเทศ” ที่าางพรรคร่วมฝ่ายค้านขนานนามไว้ ในช่วงวันที่ 24-25 มีนาคม 2567 กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วางกรอบเวลากันไว้ที่ 37 ชั่วโมง แบ่งเป็นเวลาของพรรคร่วมฝ่ายค้าน 28 ชั่วโมง เป็นของฝ่ายรัฐบาล รวมกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) 7 ชั่วโมง และในส่วนของประธานที่ประชุม 2 ชั่วโมง เริ่มกันตั้งแต่เวลา 08.00 น.เป็นต้นไปของวันที่ 24 มีนาคม 2568 อภิปรายจนถึงเวลาประมาณ 23.30 น.ของวันที่ 25 มีนาคม 2568 แล้วจะนัดลงมติกันในวันที่ 26 มีนาคม 2568
หลังจากที่เสียเวลาทุ่มเถียงยื้อยุดในประเด็นชื่อของ “พ่อนายกฯ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปรากฏเด่นหราอยู่ในญัตติที่ฝ่ายค้านยื่นขอซักฟอก “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพียงรายเดียว อยู่นานสองนาน
ทำให้ “วันนอร์” วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะเล่นบทเฮี๊ยบยอมไม่ได้กับการที่ใส่ชื่อคนนอกเข้ามาในญัตติ และส่งหนังสือยื่นคำขาดให้ต้องตัดชื่อ “ทักษิณ” ออกมาใบปะหน้าของญัตติ เพื่อให้ไปกัยต่อได้
ที่สุดชื่อของ “ทักษิณ” ถูก “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ใช้ปากกาขีดฆ่าออก และใส่คำว่า “บุคคลในครอบครัว” เข้าไปแทนที่ ตามบริบทข้อกล่าวหาว่า “นายกฯ อิ๊งค์” ถูกครอบงำการบริหารประเทศ
เดิมที “ค่ายสีส้ม” ก็ดาหน้าออกมายืนกรานว่า จะไม่ “ถอน” ตามที่ได้รับการร้องขอ และถล่มการทำหน้าที่ของประธานสภาฯ ชี้ว่าไม่มีกฎหมาย หรือข้อบังคับการประขุมสภาฯ ส่วนไหนที่บัญญัติไว้ในเรื่องนี้ ก่อนกลับลำอ้างว่า เพื่อให้คิวการตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติเดินหน้าได้ และใช้เป็นข้อต่อรองขอเพิ่มเวลาในการชำแหละรัฐบาล โดยเฉพาะตัว “นายกฯ อิ๊งค์” นั่นเอง
“ขุนพลเพื่อไทย” ต่างประสานเสียงว่า ตามญัตติที่มีชื่อ “แพทองธาร” ขึ้นเขียงเพียงรานอฝเดียวก็น่าใช้เวลาในการอภิปรายแค่วันเดียวก็เพียงพอ
ขณะที่ “นายกฯ อิ๊งค์” เองก็พยายามแสดงท่าทีหน้าฉากว่า ไม่ยี่หระกับกระบวนการตรวจสอบหนนี้ พูดทีเล่นมีจริงไปถึงขั้นว่า จะอภิปรายกันซัก 1 เดือน ตัวเธอเองก็มีความพร้อม
ทว่า “แพทองธาร” ก็ถึงขั้นเสียงหลงเมื่อมีการคะเนกรองเวลาการอภิปรายฯ 2 วัน 2 คืน ที่จะเกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นไปได้สูงว่า ในวันแรก 24 มีนาคม 2568 อาจต้องลากยาวไปจนถึงช่วงตี 5 หรือเวลา 05.30 น. ของเช้าวันที่ 25 มีนาคม 2568 แล้วจึงพักการประชุม แล้วมาเริ่มอีกครั้งในช่วงเช้าถัดมา พร้อมคำปรามาสจากฝ่ายค้านว่า “คงอยู่ไม่ถึง”
แล้วเข้าจริงผู้ถูกอภิปราย ไม่ว่าระดับนายกฯ หรือรัฐมนตรี กระทั่งหน่วยงาน ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่โยงรับฟังในที่ประชุมตลอดเวลา ยิ่งในยุคสมัยที่อุปกรณ์เทคโนโลยีการสื่อสารรุดหน้า สามารถรับฟังการอภิปรายได้ทุกทีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การมีส่วนร่วมนั่งฟังในห้องประชุม หากแต่อยู่ที่สาระการอภิปราย ทั้งการตั้งคำถามเปิดหลักฐานจับผิดของฝ่ายค้าน รวมไปถึงการชี้แจง ของตัวนายกฯ และฝ่ายรัฐบาล
โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่ศึกซักฟอกหนนี้ที่แม้เป็นหนแรกของ “นายกฯ อิ๊งค์” แต่ก็อาจจะพูดได้ว่า “เบา” กว่าที่ควร ทั้งห้วงเวลาการดำรงตำแหน่งที่ผ่านมาเพียงครึ่งปีเศษ หรือประเด็นการตรวจสอบที่ค่อนข้างจำกัดอยู่ที่ตัวนายกฯ ตามญัตติใน 6 ประเด็น เท่านั้น
คือ 1.ไม่มีคุณสมบัติ และไม่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารด้วยประการทั้งปวง ขาดภาวะผู้นำ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ และขาดเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดินที่แก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติและประชาชน ส่งผลทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศชาติ
2.จงใจลอยตัวอยู่เหนือปัญหาและไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ เพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว บิดา ครอบครัว และพวกพ้อง อยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม
3.ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม โกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย
4.บริหารบ้านเมืองผิดพลาดล้มเหลวอย่างร้ายแรงทั้งในด้านการเมือง การปฏิรูปกองทัพ ความมั่นคง เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม ทำลายนิติรัฐ ทำลายระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา
5.เจตนาและปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันภายใต้การบริหารงานของตนเอง ทั้งทุจริตเชิงนโยบาย บริหารบ้านเมืองเพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้องและกลุ่มทุน แต่งตั้งบุคคลที่ขาดความเหมาะสม ขาดความรู้ความสามารถ หรือไม่ซื่อสัตย์สุจริตไปเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่น
และ 6.สมัครใจยินยอมให้ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ
โดยจะเห็นได้ว่าฝ่ายค้านจะให้น้ำหนักขยี้ในประเด็น “วุฒิภาวะ” เป็นสำคัญมากกว่าจะมี “ทีเด็ด” ในส่วนของการทุจริตคอร์รัปชันที่น่าจะเป็น “หมัดน็อก” ได้มากกว่า
เพราะมิเช่นนั้นก็คงมีการยื่นญัตติไปถึงรัฐมนตรีรายอื่นๆ ที่เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงกับกระทรวงทบวงกรมที่มีข่าวคราวการทุจริตโกงกินออกมาเป็นระยะๆ มากกว่าตัวนายกฯ ที่แม้ต้องรับผิดชอบทั้งหมด แต่ก็เสี่ยงความผิดแค่ “ปล่อยปละละเลย” เท่านั้น
ทำให้ดูท่าแล้วว่า ศึกซักฟอก 2 วัน 2 คืนครั้งนี้จะถูกให้น้ำหนักไปความเชื่อมโยงครอบงำของ “บุคคลในครอบครัว” ต่อการทำหน้าที่นายกฯ ของ “คุณหนูอิ๊งค์” โดยที่ต้องดูเช่นกันว่า ฝ่ายค้านเองจะใช้เทคนิคอภิปรายอย่างไร โดยไม่เอ่ยชื่อ “คนนอก” อันหมายรวมทั้ง “ทักษิณ” เจ้าของรหัส “V 1”
และคนอื่นๆ ในตระกูลชินวัตร ที่เริ่มมีการแพลมชื่อออกมาทั้ง “อาแดง” เยาวภา และ “อาปู” ยิ่งลักษณ์ ที่มีรหัส “V” แทนการเรียกชื่อในวงสนทนาของคนเพื่อไทย
ที่แน่นอนว่าหากมีการเอ่ยชื่อตรงๆ ซึ่งผิดข้อบังคับการประชุม ก็จะเข้าทางฝ่ายรัฐบาล เป็นเหตุให้มีการประท้วงตีรวนขัดจังหวะบรรดา “ตัวตึง” ของฝ่ายค้าน ตามเทคนิคที่ใช้มาทุกยุค
หรือหากเลี่ยงด้วยคำเปรียบเปรย อาทิ ลุงคนนั้น-เจ๊คนนี้, คนที่คุณรู้ว่าใคร หรือคนแดนไกล ในระหว่างการพาดพิงคนนอก ก็อาจลดความน่าสนใจ จนทำให้ข้อหาเบาหวิวก็เป็นได้
ฝ่ายค้านจึงมีหน้าที่ในการโยงใยพฤติกรรม “ทักษิณ” รงมถึงครอบครัวชินวัตร มัด “นายกฯ อิ๊งค์” จนดิ้นไม่หลุด รวมทั้งไม่เปิดช่องให้ฝ่ายรัฐบาลประท้วงเพื่อขัดจังหวะ
ยังไม่ทันไร “ทักษิณ” ก็เริ่มปฏิบัติการโดดออกมารับกระสุนแทนลูก โดยยืนยัน ไม่ได้มีส่วนหรือไปครอบงำนายกฯ หรือรัฐมนตรี เพราะไม่ได้มีตำแหน่งใดๆ พร้อมปราม “ค่ายสีส้ม” ว่าให้เล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ก่อนจะต้องพบความเสื่อมเหมือนบางพรรคการเมืองในอดีต
“เป็นพรรคคนรุ่นใหม่ ต้องพยายามทำอะไรให้สร้างสรรค์ ต้องทำอะไรที่ดูแล้วน่าเชื่อถือ อย่าเป็นที่น่ารำคาญ หากทำอะไรที่น่ารำคาญ เดี๋ยวจะเสียไปอีกพรรค” ทักษิณว่าไว้
เดาว่า ผู้เคยอาบน้ำมาก่อน แม้จะยังไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วาวใจตรงๆ อย่าง “พ่อทักษิณ” ก็ล่วงรู้จับทางได้ว่า ฝ่ายค้านจะมาไม้ไหน จึงมีข่าวว่า อาจจะต้องเปิดพื้นที่ในการชี้แจงคู่ขนานไปกับการส่งข้อมูลตอบคำชี้แจงไปให้ “ลูกอิ๊งค์” ที่เจ้าตัวทำทียักไหล่ ไม่มีปัญหา เห็นนรกสวรรค์มาแล้ว เฉยๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้น
ไม่เท่านั้นยังตวัดหางไปที่ “ค่ายสีส้ม” ที่มีพฤติการณ์ให้ “คนนอก” ที่มีชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นถึงขั้นระดับ ”ผู้นำจิตวิญญาน“ เข้ามาครอบงำ เป็นเงาที่อยู่เบื้องหลัง กลายเป็นแนวทางในการประท้วงพร้อมเหน็บแนมพรรคประชาชนกลับคืน
ซึ่งจริงๆ ก็ต้องไม่ลืมว่า ข้อกล่าวหาการครอบงำของ “ทักษิณ” เคยมีผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แล้วก็ยกคำร้องไปหมดแล้ว เหลือเพียงสำนวนเอาผิดข้าราชการ ใน ป.ป.ช. กรณีเอื้อ “ทักษิณ” รักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ เท่านั้น
ทำให้เห็นว่าประเด็น “ทักษิณ” หรือรวมทั้งคนในครอบครัว ไม่สามารถเป็นประเด็นสอยให้นายกฯ หรื อรัฐบาล ร่วงจากเก้าอี้ได้
สิ่งที่ “นายกฯ อิ๊งค์” จะต้องทำการบ้านรับมือกับปฏิบัติการ “ยั่ว” ให้ “นายกฯ อิ๊งค์” เกิดนอตหลุด-ตบะแตก ลอกคราบความเป็น “คุณหนูเจ้าอารมณ์” เพื่อสะท้อนถึงความไม่เหมาะสมในการทำหน้าที่ผู้นำประเทศ.