xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ทักษิณ” ชงหวาน “ซื้อหนี้เน่า” “เพื่อไทย” ได้หน้า “แบงก์” ได้แน่ ขายฝันลมๆ แล้งๆ “ลูกหนี้”?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ลำพังนโยบายแจกเงินหมื่นดิจิทัล รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ยังไม่มีปัญญาทำให้สำเร็จตามที่โพนทะนาหาเสียงไว้ เพราะไม่มีงบฯ จู่ๆ “พ่อนายกฯ” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ป่าวประกาศ “ซื้อหนี้” โดยไม่ใช้เงินรัฐสักบาท ขายฝันลม ๆ แล้ง ๆ กลางฤดูร้อน เบี่ยงเบนความสนใจของสังคมจากศึกอภิปรายซักฟอกรัฐบาล 

“วันนี้ประชาชนมีหนี้จำนวนมาก ซึ่งจะต้องยกหนี้ออกจากเครดิตบูโรให้ทั้งหมด โดยไม่ต้องชำระ เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่รัฐแก้ปัญหาให้ โดยไม่ใช้เงินรัฐสักบาท....” คำปราศรัยของนายทักษิณ ชินวัตร ระหว่างไปช่วยหาเสียงนายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก ของผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568

ทางด้าน  “นายกฯ ลูกสาว” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ตอบคำถามต่อเรื่อง “ซื้อหนี้” ว่า “ถ้าประชาชนฟังให้มีความหวัง ส่วนเรื่องของการทำให้เกิดขึ้นจริง เดี๋ยวจะไปคุยกันอีกที …. เอกชนจะมาร่วมด้วยหรือไม่ก็คงต้องดู...”

แนวคิดแก้ไขปัญหาหนี้ด้วยการ “ซื้อหนี้” และล้างประวัติเครดิตบูโร ที่นายทักษิณพูดถึงตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดใด ๆ เช่นเดียวกันนายกรัฐมนตรีที่เพียงแค่ขายความหวัง ทว่า “ขุนคลัง” นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กลับออกมาสนองรับในทำนองว่าเตรียมการไว้หมดแล้ว โดยบอกว่ามีสูตรตามหลักการคือ

 หนึ่ง ปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งอาจใช้การเจรจายืดหนี้ ลดดอกเบี้ย

และสอง ใช้วิธีการคล้ายกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยแยกบัญชี จำแนกประเภทธนาคาร Good bank-Bad bank หรือใช้มาตรการส่งเสริมการจัดตั้งกิจการร่วมทุนเพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (AMC) โดยดำเนินการร่วมกับธนาคารผู้เป็นเจ้าของหนี้ หรือเอกชนที่อยากเข้ามาบริหารหนี้ และดูว่าภาครัฐจะเข้าไปช่วยได้อย่างไร  

“เรื่องนี้ผมได้คิดมาหมดเรียบร้อยแล้วว่ามีกี่วิธี หรือจะเริ่มดำเนินการอย่างไรก่อนหลัง” นายพิชัย กล่าว ส่วนการซื้อหนี้จะไม่ใช้เงินรัฐแม้แต่บาทเดียวหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบจะเป็นไปได้หรือไม่ได้

นายพิชัยนัดหารือกับสมาคมธนาคารไทย เป็นวาระลับ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 ถึงแนวทางที่เป็นไปได้ในการซื้อหนี้ออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันมีตัวเลข  “หนี้เน่า” หรือ หนี้เอ็นพีแอล หรือ “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้” อยู่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท  ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโร

แนวคิดซื้อหนี้ของนายทักษิณดังกล่าว ทาง  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังรอความชัดเจนของประเภทหนี้ที่เข้าข่ายและรายละเอียดต่าง ๆ พร้อมสอนมวยรัฐบาลว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ธปท. คำนึงถึงหลักสำคัญ 3 ประการ

 แรกสุด คือ ต้องสนับสนุนวินัยการเงินที่ดี ไม่สร้างการเงินที่ดี ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด จนทำให้เกิดปัญหา moral hazard กล่าวคือ ต้องมีกลไกส่งเสริมให้ลูกหนี้มีวินัยและมีความรับผิดชอบทางการเงิน ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการเป็นหนี้ซ้ำซ้อนในอนาคต

สอง สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ในระยะข้างหน้า กล่าวคือ ความช่วยเหลือที่ให้ต้องไม่ไปลดทอนความแม่นยำในการประเมินความเสี่ยงของเจ้าหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ด้วยต้นทุนที่เป็นธรรม และ สาม ต้องแก้ปัญหาหนี้อย่างตรงจุด และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการเงินในภาพรวม โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรและงบประมาณของประเทศเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

ทั้งนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย มีความซับซ้อนจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายในการช่วยกันแก้ไขปัญหา การออกแบบมาตรการ จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างครบวงจร โดยคำนึงถึงสาเหตุของปัญหา หลักการของการทำมาตรการ และผลข้างเคียงอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดผลสูงสุดแก่ทั้งลูกหนี้และระบบเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

 แจกเงินทำเสียหน้า ซื้อหนี้ทำเสียหาย 

เมื่อ “พ่อนายกฯ” บอกว่าจะซื้อหนี้โดยไม่ใช้เงินรัฐสักบาท ก็มีคำถามจาก “คูมไหม” น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล  สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ว่าจะใช้เงินใคร รูปแบบการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ที่มีการทำกันหลายประเทศ มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว


ส่วนคำถามที่ว่าลูกหนี้จะได้ประโยชน์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะต่อรองซื้อได้เท่าไหร่ ยิ่งรัฐบาลจ่ายเงินซื้อหนี้ ลูกหนี้จะต้องจ่ายหนี้มากขึ้นด้วย และยังไม่มีแนวทางชัดเจนจากกระทรวงการคลัง ซึ่งหลายครั้งที่คลังรับนโยบายมาแล้วทำไม่สำเร็จ เสียเครดิตไปมาก

“อาจจะซ้ำรอยกับดิจิทัลวอลเล็ต แต่ความเสียหายอาจจะมากกว่า” น.ส.ศิริกัญญา ประเมินล่วงหน้า และมองว่าการซื้อหนี้เอ็นพีแอลที่มีอยู่ 1.2 ล้านล้านบาท อาจต้องใช้เงินถึง 3 – 5 แสนล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่าจะต่อรองกับธนาคารพาณิชย์ว่าจะซื้อในราคาเท่าไหร่ แต่มูลค่าที่ซื้อยังสูงมาก ปัจจุบันมีบริษัทซื้อหนี้จากธนาคารพาณิชย์ ที่เรียกว่าบริษัทบริหารสินทรัพย์อยู่ประมาณ 87 แห่ง มูลค่าหนี้รวมที่จัดการกันทั้งหมด 3 แสนล้านบาท ถ้าจะซื้อหนี้เพิ่มถึง 3-5 แสนล้าน เอกชนอาจไม่มีเงินซื้อ

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่ รัฐบาลเคยแสดงวิสัยทัศน์ไว้นานแล้วแต่ยังไม่ได้ทำอะไร ช่วงนี้คงต้องการดึงความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และช่วงหาเสียงที่พิษณุโลกคงต้องพูดอะไรให้โดนใจประชาชน จึงนำเรื่องนี้กลับมาขายใหม่ แต่เป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด

รองหัวหน้าพรรคประชาชนชี้ว่า การซื้อหนี้ ธนาคารพาณิชย์ ได้ประโยชน์ที่สุด เพราะจะได้เคลียร์หนี้เสียที่มีอยู่ออกมา แต่ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยกู้ใหม่อยู่ดี เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจไม่ดี กลัวจะไม่ได้เงินคืน อีกส่วนที่จะเป็นปัญหาเมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลจะช่วย ลูกหนี้ก็เริ่มลังเลจะจ่ายดีหรือไม่ ถือเป็นอันตรายสำหรับระบบเศรษฐกิจ

 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ มองว่า แนวคิดการซื้อหนี้ของนายทักษิณ เป็นเพียงแต่การย้ายปัญหา จากประชาชนกลุ่มเล็กที่เป็นหนี้เอ็นพีแอลไปเป็นภาระของคนทั้งประเทศ ยาวไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน

เช่นเดียวกันกับ  ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสด้านเศรษฐศาสตร์สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มีความเห็นว่า ไอเดียซื้อหนี้โดยไม่ใช้เงินภาครัฐแต่ใช้กลไกเอกชนดำเนินการนั้น ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมาก เพราะกลไกการจัดการหนี้เสียของเอกชนตอนนี้ทำงานเต็มพิกัดอยู่แล้ว จึงไม่เชื่อว่าเอกชนจะมีเงินเหลือมาดำเนินการ โดยภาครัฐไม่ต้องออกเงินเลย

สำหรับหนทางที่เป็นไปได้คือ ภาครัฐเข้าไปจัดการเองทั้งหมด รับหนี้ไปแก้ไขเองโดยตรง ด้วยการตั้งกองทุน หรือนำงบประมาณไปซื้อหนี้จากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่าง ๆ ในราคาต่ำกว่ายอดหนี้ และให้ลูกหนี้จ่ายกับภาครัฐ

ส่วนอีกทางคือ ภาครัฐเข้าไปอุดหนุนให้เอกชนทำงาน เช่น หากเอกชนไปซื้อหนี้มาจัดการ ภาครัฐจะช่วยออกเงินให้ 20-30% เป็นวิธีการเอางบประมาณของแผ่นดินไปอุดหนุน กลไกนี้คล้ายกับบรรษัทประกินสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รัฐวิสาหกิจ ภายใต้กระทรวงการคลัง ที่ไปค้ำประกันให้เอสเอ็มอีขอสินเชื่อกับธนาคาร วิธีนี้รัฐบาลจะใช้งบประมาณน้อยลงและไม่ต้องดำเนินการเอง โดยแก้ในระดับที่พอมีงบประมาณ แทนที่จะแจกเงินดิจิทัล ก็ผันมาร่วมจ่ายแก้ปัญหาหนี้สัก 2-3 หมื่นล้านบาท จะดีกว่า

แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ รัฐบาลต้องไม่ทำลายหลักการ  “เป็นหนี้แล้วต้องจ่าย”   และไม่ทำให้เกิดพฤติกรรมเป็นหนี้แล้วไม่จ่าย เพราะท้ายที่สุด ในอนาคตคนอาจไม่อยากชำระหนี้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวภาครัฐก็เข้ามาช่วย

 นายแบงก์เตือน ภาระการคลัง - Moral hazard 

เสียงสะท้อนจากบรรดานายแบงก์ อย่างเช่น นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ซึ่งกำลังรอความชัดเจนของนโยบาย “ซื้อหนี้” ของรัฐบาล ชี้ว่า การแก้หนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาหนักที่สุด แต่ที่สำคัญคือต้องมองให้ครบแบบบูรณาการ รวมทั้งผลกระทบต่าง ๆ โดยเฉพาะแหล่งที่มาของเงิน มิฉะนั้นอาจจะเป็นภาระทางการคลัง รวมถึงการทำนโยบายต้องคำนึงถึงผลกระทบเชิง Moral hazard และอาจต้องมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เฉพาะกลุ่ม เพื่อให้สามารถกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้

ส่วน ดร.อมรเทพ จาวะลา  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มองว่า การซื้อหนี้จากธนาคารพาณิชย์ จะมีส่วนช่วยให้สภาพคล่องในระบบดีขึ้นบ้าง พร้อมมีข้อเสนอเพิ่มเติม เช่น ระบบค้ำประกันสินเชื่อ โดยภาครัฐมาแบกรับความเสี่ยงร่วมกับธนาคารพาณิชย์ กระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน เพิ่มการจ้างงานให้มีเม็ดเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

มาดูกันว่า ภาพรวมหนี้ครัวเรือนของไทย สาหัสสากรรจ์ขนาดไหน จากรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 และภาพรวมปี 2567 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า หนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 3 ปี 2567 มีมูลค่า 16.34 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่สัดส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 89.0%

หนี้ครัวเรือนก้อนโตดังกล่าว แบ่งเป็น 1.หนี้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่า 5.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 34.3% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด 2.หนี้เพื่อยานยนต์ 1.7 ล้านล้านบาท (10.2%) 3.หนี้เพื่อการประกอบธุรกิจ 2.9 ล้านล้านบาท (17.7%)

4. หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 4.6 ล้านล้านบาท (28%) แบ่งเป็น สินเชื่อส่วนบุคคล 3.3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด, สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ 0.9 ล้านล้านบาท (5.3%) และสินเชื่อบัตรเครดิต 0.5 ล้านล้านบาท (2.8%) และ 5. สินเชื่ออื่น ๆ มี 1.6 ล้านล้านบาท (9.8%)

ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือน ในไตรมาส 3 ปี 2567 จากข้อมูลบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร พบว่า มูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) มีมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.78% ต่อสินเชื่อรวม ทั้งนี้ สินเชื่อบัตรเครดิตเป็นสินเชื่อที่ครัวเรือนมีการผิดนัดชำระหนี้มากที่สุด สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ NPLs ต่อสินเชื่อรวม ที่สูงถึง 12.58%

ทั้งนี้ สัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวม แยกตามประเภทสินเชื่อ มีดังนี้ สินเชื่อที่อยู่อาศัย มีสัดส่วน 4.58% ต่อสินเชื่อรวม, สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ มีสัดส่วน 10.33%, สินเชื่อบัตรเครดิต 12.58% , สินเชื่อส่วนบุคคล 10.77% , สินเชื่อเพื่อการเกษตร 5.90% , สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ 12.25% และสินเชื่ออื่น ๆ คิดเป็น 19.79% ต่อสินเชื่อรวม

 นายสุรพล โอภาสเสถียร  ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติจากัด โพสต์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ว่า สถาบันวิจัยป๋วย อึ๊งภากรณ์ นำข้อมูลสถิติที่ไม่มีตัวตนจากเครดิตบูโร กว่า 27 ล้านลูกหนี้ไปแยกแยะสุขภาพทางการเงินจากภาระหนี้สิน พบว่าระบบการเงินของเราเวลานี้คนที่มีสุขภาพการเงินในระดับดี น่าจะพอยื่นกู้ได้มีเพียง 25% หรือประมาณ 5 ล้านคน ที่เหลือยากที่จะได้รับอนุมัติตามมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อเวลานี้ที่เข้มงวดมาก

ส่วนตัวเลขหนี้ในระบบที่ส่งข้อมูลมายังเครดิตบูโรทุกเดือน ตัวเลขคือ 13.6 ล้านล้านบาท บวกหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ และ กยศ. และอื่น ๆ ที่เรียกว่าหนี้ครัวเรือน รวมอยู่ที่ 16.3 ล้านล้านบาท การเติบโตของหนี้บุคคลธรรมดาในระบบ เท่ากับ – 0.5 yoy หมายถึงสินเชื่อรายย่อยแทบไม่ขยับ กู้ไม่ได้ กู้ไม่ผ่าน

เจาะลงไปในไส้ในของหนี้ จะพบว่า 1.22 ล้านล้านบาท เป็นหนี้เสีย NPLs คิดเป็นจำนวนทุกประเภทสินเชื่อ 9.5 ล้านบัญชี 5.8 แสนล้านบาท ส่วนหนี้ที่กำลังจะเสีย, หนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษหรือหนี้ SM.จำนวน 1.9 ล้านบัญชี

หนี้เสียไปแล้วจากนั้นนำมาปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาหรือก็คือหนี้ NPLs. เอามาทำ TDR.กลายเป็นหนี้ปรับโครงสร้างอีก 1ล้านล้านบาท คิดเป็น 3.7ล้านบัญชี

หนี้ที่เริ่มค้างชำระ หรือเริ่มมีปัญหาแต่ยังไม่เกิน 90วัน ซึ่งเร่งเอามาปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน หรือทำ DR. เพื่อให้กลับมาเป็นหนี้ปกติ เริ่มเก็บข้อมูลเดือนเม.ย. 2567 ตอนนี้ยอดสะสมเท่ากับ 9.2 แสนล้านบาท จำนวน 1.7ล้านบัญชี

ด้วยตัวเลขหนี้ที่มีลักษณะต่าง ๆ ข้างต้น ด้วยจำนวนมูลหนี้ ด้วยจำนวนที่นับเป็นบัญชีแล้ว ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร บอกว่า เรามีปัญหาระดับที่อาจเรียกว่าวิกฤต ขณะที่การฟื้นตัวของรายได้ไม่มากพอ ไม่ทั่วถึง และไม่เหมือนเดิม ภาระหนี้สินกองเป็นภูเขา ฉุดกระชาก และเซาะกร่อนบ่อนทำลายรากฐานความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ

 ไม่น่าแปลกใจที่ชาวบ้านชาวช่องจะเงี่ยหูฟังการ “ซื้อหนี้” ที่ “พ่อนายกฯ” เร่ขายฝัน ส่วนจะทำได้จริงสักกี่มากน้อย จะซ้ำรอยแจกเงินหมื่นหรือไม่ อีกไม่นานคงรู้กัน 


กำลังโหลดความคิดเห็น