ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ปัญหาการค้าประเวณีหญิงจีนในไทยจากที่ได้กล่าวมาโดยตลอดนี้ เป็นปัญหาในยุคปัจจุบันหลังจีนเปิดประเทศในปลายทศวรรษ 1970 ซึ่งได้ทำให้เราได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากที่เป็นการล่อลวงมาเป็นการสมัครใจ โดยหากย้อนกลับไปก่อนทศวรรษ 1970 ไปจนถึงปี 1949 แล้วก็อาจทำให้เกิดคำถามได้ว่า ถ้าเช่นนั้นในช่วงที่ว่าจีนมีการค้าประเวณีหรือไม่
นั่นเป็นคำถามที่สำคัญอย่างมาก เพราะคำตอบที่ได้คือ ไม่มี และที่ไม่มีก็เพราะตอนนั้นจีนเชิดชูอุดมการณ์สังคมนิยมไว้สูงเด่น อะไรที่ต่างไปจากอุดมการณ์นี้แล้วถือเป็นผิด และการมีอยู่ของโสเภณีจึงถือว่าผิด ด้วยจีนถือเป็นซากเดนผลผลิตของระบอบศักดินาและทุนนิยม ซึ่งในยุคสังคมนิยมจะต้องไม่มีเป็นอันขาด เพราะในยุคนี้ทุกคนล้วนมีงานทำและมีชีวิตที่ดีกว่ายุคเก่า ไม่จำเป็นจะต้องไปค้าประเวณี
ส่วนจะจริงเท็จอย่างไรมิอาจทราบได้ แม้เราก็ไม่เคยได้ข่าวว่าจีนในช่วงนั้นจะมีการจับกุมโสเภณีก็ตาม
เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็มองได้ว่า การค้าประเวณีในปัจจุบันส่วนหนึ่งเกิดจากยุคปฏิรูปที่ปล่อยให้ลัทธิเสรีนิยมได้มีที่ยืน โดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจและสังคม ส่วนการเปิดประเทศก็ทำให้เกิดกลุ่มอาชญากรที่เรียกว่า “จีนเทา” และการค้าประเวณีหญิงจีนข้ามชาติขึ้นมา ซึ่งในที่นี้ขอเรียกว่า “จีนชมพู”
ดังนั้น ตอนที่จีนในยุคปฏิรูปได้ปรากฏจีนชมพูขึ้นมานั้น จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกไม่เพียงกับชาวจีน หากแม้แต่ชาวต่างชาติก็รู้สึกไม่ต่างกัน และสำหรับบางคนแล้วก็ยังเกิดความสนใจใคร่รู้อีกว่า ถ้าเช่นนั้นแล้วในการค้าประเวณีของจีนชมพูในอดีตเป็นอย่างไร เหมือนหรือต่างกับปัจจุบันหรือไม่
เพื่อให้เข้าใจเรื่องจีนชมพูมากขึ้น บทความในตอนนี้จะได้เล่าถึงเรื่องนี้ในอดีตให้พอได้เข้าใจ
ในฐานะที่เป็นอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแล้ว จีนเองก็มีจีนชมพูมาแต่อดีตเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก แต่อาจแตกต่างกับที่อื่นก็ตรงที่ว่า ในอดีตจีนชมพูจะมีอยู่สองประเภท
ประเภทแรก เป็นจีนชมพูที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน คือเป็นหญิงที่ขายบริการทางเพศเป็นหลัก
ประเภทที่สอง เป็นจีนชมพูที่ขายบริการความบันเทิง ไม่ขายบริการทางเพศ
ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึงประเภทแรก เพราะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว จะมีก็แต่รายละเอียดที่ต่างกันไปบ้างในเรื่องของวิธีการให้บริการ แต่จะขอกล่าวถึงประเภทที่สองที่ขายความบันเทิงนั้นว่าเป็นอย่างไรแน่
จีนชมพูที่ขายบริการความบันเทิงนี้เป็นความบันเทิงในหลายด้าน เริ่มจากการเป็นคู่สนทนากับชายที่มาเที่ยว โดยเนื้อหาการสนทนาจะมิใช่เรื่องสายลมแสงแดด แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้ในด้านต่างๆ ที่ประเทืองปัญญา ซึ่งมีตั้งแต่วรรณคดี ประวัติศาสตร์ บทกวี เป็นต้น
บ้างก็แต่งบทกวีร่วมกับฝ่ายชาย หรือไม่ก็ด้นกวีกันสดๆ บ้างก็เล่นหมากล้อม บ้างก็เขียนภาพที่มีบทกวีหรือคำบรรยายประกอบ ฯลฯ
จีนชมพูที่ขายความบันเทิงเหล่านี้จึงเป็นหญิงที่มีความรู้ ไม่เหมือนกับกลุ่มที่ขายบริการทางเพศแต่เพียงด้านเดียว และด้วยเหตุที่เป็นหญิงที่มีความรู้ จีนชมพูเหล่านี้จึงไม่มีทางที่จะลดตัวไปขายบริการทางเพศอย่างเด็ดขาด ด้วยอยู่คนละชั้นกับจีนชมพูประเภทที่ว่า
จีนชมพูที่ขายความบันเทิงจึงเป็นจีนชมพูชั้นสูง เช่นเดียวกับชายที่มาเที่ยวก็เป็นชายที่มีความรู้หรือการศึกษาสูง เพราะด้วยสติปัญญาของฝ่ายชาย การที่ได้รับความบันเทิงในด้านที่กล่าวมาถือว่าสมกับฐานะของตน ซึ่งบางทีแม้แต่ภรรยา (ในอนาคต) ก็มิอาจให้ได้ ในขณะเดียวกันก็มิอาจหาหญิงความรู้ได้โดยทั่วไปเช่นกัน
การที่จีนชมพูประเภทนี้มีความรู้ความสามารถเช่นนี้ก็มีคำถามว่า แล้วทำไมจึงไม่นำความรู้ที่มีไปทำอาชีพอื่นที่ดีกว่าเล่า คำตอบก็คือว่า สังคมจีนในอดีตคนที่มีความรู้สูงจะรับราชการเป็นขุนน้ำขุนนาง ที่จะเร้นกายแบบข่งหมิง (ข่งเบ้ง) นั้นหาแทบไม่มี แต่จะเป็นขุนนางได้ต้องผ่านการสอบบัณฑิต ดังที่เราเรียกกันอย่างลำลองว่า การสอบจอหงวน เท่านั้น
ประเด็นปัญหาก็คือว่า สังคมจีนจะเปิดที่ทางให้กับการเป็นขุนนางก็แต่ผู้ชายเท่านั้น และจะเป็นขุนนางได้ก็ต้องมีความรู้สูง ส่วนผู้หญิงจะถูกห้ามหรือกีดกันไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองเป็นอันขาด การมีความรู้สูงจึงไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้หญิง กล่าวอีกอย่างคือ มีความรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์
จากเหตุนี้ ส่วนใหญ่ของหญิงจีนในอดีตจึงไม่เรียนหนังสือ ส่วนความรู้ที่มีและถูกอบรมมาแต่เล็กก็คือ การบ้านการเรือน ที่ต่อไปจะต้องนำไปรับใช้สามี ส่วนหญิงที่สนใจใฝ่หาความรู้ก็ถือเป็นอิสระส่วนบุคคล และย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าความรู้ที่มีนั้นไม่สามารถทำให้ตนเป็นขุนนางได้ จะว่าเป็นความรู้แบบรู้ไว้ใช่ว่าก็คงไม่ผิดนัก แต่ที่น่าจะมีประโยชน์ก็คือ การนำความรู้นั้นมาสอนลูกหลานของตนเมื่อตนได้ออกเรือนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว
ส่วนหญิงที่มีความรู้แต่ไม่มีครอบครัวและไม่มีฐานะสูงทางสังคมนั้น จำนวนหนึ่งก็จะผันตัวเองมาเป็นจีนชมพูที่ขายความบันเทิง แรงจูงใจที่สำคัญทั้งที่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นอาชีพที่สังคมรังเกียจก็คือ การได้รายได้ที่สูงมาก คือสูงกว่าจีนชมพูที่ขายบริการทางเพศมากมาย
การที่จีนชมพูที่ขายความบันเทิงมีคุณสมบัติเช่นว่า ประวัติศาสตร์สังคมจีนจึงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย โดยเล่าว่า ชายหนุ่มความรู้สูงเดินทางไปสอบจอหงวนที่เมืองหลวง ระหว่างทางได้แวะพักที่หอนางคณิกาและพบรักกับจีนชมพูที่ขายความบันเทิง จากนั้นชายหนุ่มก็เดินทางไปสอบจอหงวนโดยสัญญากับฝ่ายหญิงว่า เมื่อตนสอบแล้วเสร็จจะกลับมาอยู่กินกับฝ่ายหญิงฉันสามีภรรยา
เมื่อชายหนุ่มไปถึงเมืองหลวงเพื่อสอบบัณฑิตก็สอบได้เป็นจอหงวน (จ้วงหยวน) ซึ่งจะทำให้เขาได้เป็นขุนนางชั้นสูงที่จะต้องถวายงานใกล้ชิดจักรพรรดิ อันถือเป็นเกียรติที่สูงส่งของวงศ์ตระกูล
ถึงตอนนี้เรื่องเล่าก็จะเล่าเป็นสองทาง ทางหนึ่งเล่าว่า ชายหนุ่มยังไม่ลืมสัญญารักที่ตนมีกับฝ่ายหญิง แต่จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรที่จะได้แต่งงานกับฝ่ายหญิง เนื่องจากมีกฎอยู่ว่า ห้ามมิให้ขุนนางที่มีตำแหน่งสูงเกลือกกลั้วกับนางคณิกาที่ถือเป็นหญิงชั้นต่ำ อันจะพลอยทำให้จักรพรรดิเสื่อมเสียไปด้วย
อีกทางหนึ่งเล่าว่า ชายหนุ่มลืมตัวและได้ทิ้งสัญญารักกับฝ่ายหญิงเพื่อจะได้แต่งกับองค์หญิงของจักรพรรดิหรือธิดาของขุนนางชั้นสูง ที่จะทำให้ตนมีอนาคตที่ยาวไกล ส่วนฝ่ายหญิงเมื่อรอนานจนรู้สึกผิดปกติก็ให้เป็นห่วงฝ่ายชาย จึงได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อตามหาฝ่ายชาย แต่พอมาถึงก็รู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร แล้วความก็แตกรู้กันทั้งราชสำนักว่าชายหนุ่มมีคนรักเป็นนางคณิกา
เรื่องเล่าทั้งสองทางนี้มีทั้งที่จบลงแบบสุขนาฏกรรมและโศกนาฏกรรม ถ้าเป็นแบบแรกจักรพรรดิจะทรงให้อภัยชายหนุ่มที่ไปเกลือกกลั้วกับนางคณิกา และให้ทั้งสองได้แต่งงานกัน ถ้าเป็นแบบหลังก็จะให้ฝ่ายหญิงตรอมใจตายหรือฆ่าตัวตาย ส่วนฝ่ายชายก็ถูกลงโทษในฐานที่ไปเกลือกลั้วกับนางคณิกา
ที่เล่ามาโดยสังเขปนี้ควรกล่าวด้วยว่า เรื่องเล่านี้ยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปมากมาย สุดแต่ผู้เล่าจะผูกเรื่องให้พิสดารอย่างไรก็ได้ เพื่อสร้างผลสะเทือนทางอารมณ์แก่ผู้ฟังให้มากที่สุด ซึ่งเรื่องแบบนี้จีนเก่งอยู่แล้ว เรื่องเล่านี้ต่อมาถูกสร้างเป็นงิ้วบ้าง พิมพ์เป็นหนังสือขายบ้าง เป็นตะลุงจีนบ้าง ฯลฯ พอถึงยุคสมัยใหม่ก็ถูกนำมาสร้างเป็นละครเวที เป็นหนัง เป็นละครทางโทรทัศน์ จำได้ว่า แม้แต่ละครเรื่อเปาบุ้นจิ ก็มีอยู่ตอนหนึ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านคงเคยผ่านหูผ่านมามาบ้างแล้ว
แต่ก็ในยุคสมัยใหม่นี้เช่นกันที่การค้าประเวณีหญิงจีนได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดังที่บทความชุดนี้ได้ฉายให้เห็นมาแล้วหลายตอน ว่าโลกของจีนชมพูในยุคนี้ได้คลี่คลายขยายตัวไปอย่างไรบ้าง