ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับเป็นเรื่องร้อนและเป็นข่าวใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลไทยเลยก็ว่าได้ เมื่อ “มาดามแป้ง-นวลพรรล ล่ำซำ” นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระรมราชูปถัมภ์ ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อม “น้ำตา” ถึงปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในช่วงที่ “บิ๊กอ๊อด-พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” อดีตนายกสมาคมฟุตบอลฯ 2 สมัย ได้สร้างเอาไว้แบบหมดเปลือก
โดยเป็นการออกมาแฉหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ “บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน)” ชนะคดีที่ฟ้องสมาคมฯ ในยุค “บิ๊กอ๊อด” โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบ ทำให้สมาคมฯ ต้องจ่ายค่าเสียหายรวมดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินถึง 500 ล้านบาท
ทั้งนี้ เนื่องเพราะผลพวงของการ “แพ้คดี” ทำให้ “มาดามแป้ง” ตั้งคำถามถึงความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับคดีความ และเมื่อมีการตรวจสอบก็พบความผิดปกติตามมาเป็นกระบุงโกย
“แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดรามา แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว”
“แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน”
นั่นคือคำกล่าวของ “มาดามแป้ง” ในวัน 11 มีนาคม 2568 วันที่เธอตัดสินใจเปิดทุกอย่างต่อสาธารณชน หลังจากรับตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 ด้วยสถานะทางการเงินที่ “ติดลบ” ถึง 105 ล้านบาทโดยเงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี เรื่องราวของ พล.ต.อ.สมยศไม่ได้มีแค่ที่สมาคมฟุตบอลฯ เท่านั้น แต่ขยาย “ความยี้” ออกไปในหลายวงการเลยทีเดียว
2 สมัย “นายกฯ สมยศ”
ที่เต็มไปด้วยหนี้สินและปัญหา
เรื่อง “ยี้ๆ” ในสมาคมฟุตบอลฯ ของ พล.ต.อ.สมยศ ถูกเปิดออกมาทีละขดๆ จากปากคำของ “มาดามแป้ง” โดยปมประเด็นใหญ่ที่สุดก็คือ คดีความที่เกิดขึ้นระหว่าง “สมาคมฯ” กับ “สยามสปอร์ต” ซึ่งมี 2 คดีด้วยกัน
คดีแรกคือคดีที่สยามสปอร์ตฟ้องสมาคมฯ และผลก็ออกมาว่า สมาคมฯ แพ้ต้องจ่ายค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ส่วนคดีที่สองเป็นคดีที่สมาคมฯ ฟ้องสยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้สมาคมฯ ชนะ จากนั้นมีการยื่นอุทธรณ์ ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้สยามสปอร์ตชนะ และจบลงด้วยการที่ศาลไม่รับฎีกา
ความแปลกประหลาดของเรื่องนี้อยู่ที่ “ค่าจ้างทนายความ” กล่าวคือ มีการตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่แรกว่า ศาลชั้นต้นคิดราคา 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ คิดราคา 300,000 บาท และศาลฎีกาคิดราคา 300,000 บาท
แต่ในการ “จ่ายจริง” ในชั้นศาลฎีกา อยู่ๆ ทางสมาคมฯ ก็ควักเงินไปจ่ายเป็นค่าทนายความสูงถึง 30 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมา 100 เท่าแบบหาสาเหตุและคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมถึงพุ่งพรวดไปถึงขนาดนั้น
ที่สำคัญคือ การจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น
ดังนั้น สิ่งที่จะต้องตรวจสอบกันต่อไปก็คือ ทนายความได้รับเงินค่าจ้างจำนวน 30 ล้านบาทที่ว่านั้น จริงๆ หรือไม่ อย่างไร
ถัดจากเรื่องคดีก็เป็นกรณี “เงินสนับสนุนจากฟีฟ่า” โดยทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ในยุคของ “มาดามแป้ง” ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์ ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ถึงบางอ้อ ด้วยที่ที่ฟีฟ่าจ่ายแค่นั้นก็เพราะสมาคมฯ ยุค พล.ต.อ.สมยศไปยืนเงินจากฟีฟ่าจำนวน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสมาคมฯ ต้องใช้คืนด้วยการผ่อนจ่ายเป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2564-2573 ปีละ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินจำนวนนี้ฟีฟ่าจะหักออกจากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปี
ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ เงินจำนวน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น ถูกนำมาใช้จ่ายใน
ความไม่ชอบมาพากลเรื่องที่ 3 ก็คือ กรณีที่พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีกและทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซีย
แปลไทยเป็นไทยก็คือ ขายสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย ทั้งในส่วนของสถิติการแข่งขันและสถิติต่างๆ ของผู้เล่น ซึ่งสามารถนำใช้ประโยชน์ได้สารพัดสารพัน โดยขายสิทธิ์ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งที่ผ่านมา “มาดามแป้ง” พยายามขอซื้อคืน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
และความไม่ชอบมาพากลสุดท้ายก็คือ เรื่อง “เงินเดือนของนายกสมาคมฯ” เพราะเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมาว่า นายกสมาคมฯ จะไม่รับเงินเดือน แต่ปรากฏว่า พล.ต.อ.สมยศไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัตินี้ โดยเป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม ด้วยการตั้งเงินเดือนให้ตัวเองเดือนละ 5 แสนบาท
แถมสืบไปสืบมา ยังรับอีก 5 แสนบาทต่อเดือนในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีกอีกด้วย
ทั้งนี้ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พล.ต.อ.สมยศยอมรับว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ทว่า เมื่อทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ก็ยังสืบหาไม่เจอว่า เงินไปอยู่ที่แห่งหนตำบลไหน
เมื่อเห็นข้อเท็จจริงทั้งหลายทั้งปวงที่ไล่เรียงมาข้างต้น “มาดามแป้ง” จึงตัดสินใจจะใช้มาตรา 76 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อไล่เบี้ยให้ พล.ต.อ.สมยศรับผิดชอบกับภาระหนี้และสิ่งที่กระทำเอาไว้
อย่างไรก็ดี นอกจาก “มาดามแป้ง” แล้ว ยังมีการร้อง “ยี้” ออกมาจากปากของ“บังยี-วรวีร์ มะกูดี” อดีตนายกสมาคมฯ ถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวในวันสุดท้ายที่ดำรงตำแหน่งว่า “อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ”
โดย “บังยี” หน้าตอกหน้าหงายว่า “ไม่เป็นความจริง” โดยระบุว่า ทิ้งมรดกจำนวน 4,800 ล้านบาทเอาไว้ให้ โดยเงินจำนวนดังกล่าวมาจากสัญญาลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีก ที่ทำไว้กับทรูวิชั่นส์ โดยสัญญาฉบับแรก (ปี 2557-2559) มีมูลค่า ปีละ 600 ล้านบาท และสัญญาฉบับที่ 2 (ปี 2560-2563) มีมูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท
เรียกว่า ทั้งนายกสมาคมฯ คนก่อนหน้าและหลังต่างก็ “ยี้” และส่ายหน้ากับ พล.ต.อ.สมยศทั้งสิ้น
ชำแหละสภาพ “บิ๊กอ๊อด”
ในวันที่ “ใครๆ” ก็ส่ายหน้าหนี
อย่างไรก็ดี สิ่งแรกที่ควรรับรู้ก็คือ พล.ต.อ.สมยศนั้น คืออดีต ผบ.ตร.ที่มี “คอนเนกชัน” ในระดับที่ไม่ธรรมดา และการที่เขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้ถึง 2 สมัย 8 ปีเต็มก็เพราะความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่มีกับ “เนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ซึ่งให้การสนับสนุนเต็มพิกัด
หรือกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ถ้าไม่มี “เนวิน” พล.ต.อ.สมยศก็ไม่มีทางได้นั่งเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลฯ เลยก็ได้
แน่นอน เมื่ออยู่ในเครือข่าย “บุรีรัมย์คอนเนกชัน” ก็ย่อมต้องคุ้นเคยกันดีกับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รวมถึงบรรดา “บิ๊กๆ” ที่อยู่ในเครือข่ายนี้
ยิ่งเมื่อไปตรวจรายชื่อ “กรรมการสมาคมฯ” ในชุดที่ พล.ต.อ.สมยศนั่งเป็นนายกฯ ก็เห็นชัดแจ้งว่า ล้วนแล้วแต่เป็น “บุรีรัมย์คอนเนกชัน” ทั้งสิ้น แถมบางคนยังสังกัดพรรคภูมิใจไทยเสียด้วยซ้ำไป เช่น กรวีร์ ปริศนานันทกุล ลูกชายของสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปัจจุบันเป็นประธานสโมสรฟุตบอลอ่างทอง และเป็น สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย
หรืออย่าง “ทรงเกียรติ ลิ้มอรุณรักษ์ ประธานสโมสรพีที ประจวบเอฟซี ที่แม้เป็นคนสนิทของ “เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่ในวงการฟุตบอลก็ต้องนับรวมทรงเกียรติว่าเป็นบุรีรัมย์คอนเนกชัน ไม่เช่นนั้น จะมีชื่อ “พีที” ของ “ตระกูลรัชกิจประการ” มาต่อท้ายชื่อสโมสรได้อย่างไร เป็นต้น
ทว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องลึก ก็มีความชัดเจนว่า สายสัมพันธ์ของ พล.ต.อ.สมยศกับ “ครูใหญ่เนวิน” นั้น อยู่ในสภาพ “ต่อไม่ติด” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วคงมีปฏิกิริยาจาก “คนของเนวิน” ชักแถวออกมาท้าชนหรือให้ความช่วยเหลือในการต่อกรกับ “มาดามแป้ง”อย่างแน่นอน
ดังนั้น สถานการณ์ของ พล.ต.อ.สมยศ ในเครือข่ายกีฬาฟุตบอลทุกวันนี้ จึง “ไม่มีเพื่อนพ้องน้องพี่” และอยู่ในสภาพ “หัวเดียวกระเทียมลีบ” อย่างชัดแจ้ง
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ก็มีคำยืนยันว่า พล.ต.อ.สมยศนั้น รู้จักมักคุ้นกับ“พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” เป็นอย่างดี ทั้งสถานะในอดีตที่เคยเป็นลูกน้องเก่า แถม “พจมาน พุ่มพันธุ์ม่วง” หลังบ้านของ พล.ต.อ.ยังมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับ “สมถวิล วงษ์สุวรรณ” ผู้เป็น “หลังบ้าน” ของ พล.ต.อ.พัชรวาทอีกต่างหาก
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า เขาเป็นหนึ่งในเครือข่ายบ้านป่าฯ เช่นเดียกวัน
นอกจากนี้ อีกหนึ่งบทพิสูจน์ถึงความเชื่อมโยงกันกับ “เครือข่ายบ้านป่าฯ” ก็คือ “คดีบอส อยู่วิทยา” ซึ่งเขาไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงสำนวนคดีและความเร็วรถ จนกลายเป็น ใน 15 รายชื่อ ที่ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)” ชี้มูลความผิด และต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางก็มีมติรับฟ้องคดีเป็นที่เรียบร้อย
ทว่า คอนเนกชันกับ “เครือข่ายบ้านป่าฯ” ก็มีอันต้องสะบั้นขาดจากกันเมื่อครั้งที่ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ตำหนิผลงานของสมาคมลูกหนังภายใต้การนำทัพของ พล.ต.อ.สมยศในซีเกมส์ ซี่งนอกจากจะไม่ได้เหรียญทองแล้ว ระหว่างเกมยังเกิดเหตุชุลมุนขึ้น เมื่อนักฟุตบอลและสตาฟโค้ชของไทย ไปก่อเรื่อง ทะเลาะวิวาทในจังหวะที่อินโดนีเซียยิงขึ้นนำ 3-2 กลายเป็นอีกเหตุการณ์อัปยศที่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของฟุตบอลไทยอย่างรุนแรง จนเกิดกระแส “ยี้” ทั้งตัว “ลุงป้อม” และจากแฟนฟุตบอลทั้งประเทศให้ลงจากเก้าอี้
โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตรที่พูดชัดเจนว่า นายกสมาคมฟุตบอลฯ ซึ่งก็คือ พล.ต.อ.สมยศ จะต้องลาออก
แม้ปากของ พล.ต.อ.สมยศจะบอกว่า “รักและเคารพลุงป้อม” แต่ถ้าถอดทั้งภาษากายและคำพูดที่สื่อสารออกมา ก็บ่งบอกชัดแจ้งว่า ไม่พอใจ โดยเน้นย้ำว่าการตัดสินใจลาออกนั้นปฏิบัติตามคำสั่งของ “ลุงป้อม” พร้อมทั้งบอกด้วยว่า สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (เอเอฟเอฟ), สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (เอเอฟซี) และฟีฟ่า ต่างให้ความสนใจ และมีการสอบถามข้อมูลถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมแสดงความเป็นห่วงต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลไทย เหมือนกับ พล.ต.อ.สมยศแฉว่าถูกการเมืองบีบให้ออก
ทำให้เป็นที่สงสัยว่านี่จะเป็นการเดินเกมของ พล.ต.อ.สมยศ เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าการเมืองแทรกแซงกีฬา จึงถูกบีบให้ออกโดยไม่เต็มใจ ซึ่งมีโอกาสจะถูกฟีฟ่าแบน เพราะอาจถูกตีความว่าเข้าข่ายแทรกแซงจากการเมือง หรือบุคคลที่ 3 ตามธรรมนูญฟีฟ่า ข้อที่ 19 ที่ว่าด้วยเรื่องความเป็นอิสระของสมาคมฟุตบอลและคณะกรรมการผู้บริหาร หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแฟนๆ บอลไทยต้องดีใจเก้อ เพราะในการประชุมสภากรรมการที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ยับยั้งการลาออกของ พล.ต.อ.สมยศ เเละให้ทำหน้าที่ไปจนครบวาระ เพื่อที่จะไม่ให้ไทยต้องเสี่ยงกับการโดนฟีฟ่าลงดาบ ซึ่งจะถูกห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเเข่งขันระดับนานานชาติทั้งหมด รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ของฟีฟ่า
และที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้และเป็นอีกหนึ่ง “ยี้” ที่ประวัติศาสตร์ตำรวจต้องบันทึกไว้ก็คือ เมื่อครั้งที่มีการทลายเครือข่ายแหล่งค้ามนุษย์ในสถานอาบอบนวดวิคตอเรีย ซีเครท ซึ่งส่งผลให้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์มูลค่ากว่า 463 ล้านบาท รวมทั้งมีการออกหมายจับ “นายกำพล วิระเทพสุภรณ์” ผู้เป็นเจ้าของ
ขณะเดียวกันกรมสอบสวนคดีพิเศษก็พบเส้นทางการเงินของเสี่ยกำพลเชื่อมโยงกับ พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่ารู้จักนายกำพลมานานกว่า 20 ปี และเคยยืมเงิน 300 ล้านบาทจริง โดยไม่ทราบว่าเงินนั้นได้มาจากธุรกิจใด พร้อมทั้งได้แจ้งเรื่องเงินยืมดังกล่าวต่อคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ตร. ไปแล้ว พร้อมกับปฏิเสธว่าไม่ใช่การฟอกเงิน
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ ในระหว่างที่ พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อยืนยันว่า ไม่เคยรับส่วยผิดกฎหมาย ไม่เคยได้รับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะมีรายได้จากการทำธุรกิจและลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก ได้หลุดคำพูดออกมาว่า “ตลอดชีวิตรับราชการของผม เกือบจะเรียกได้ว่าอาชีพตำรวจนี่ถือว่าเป็นไซด์ไลน์ อาชีพหลัก ๆ ผมคือทำธุรกิจ...”
ฉับพลันเสียง “ยี้” จากเพื่อนร่วมอาชีพก็ดังกระหึ่มไปทุกทิศทุกทาง จนเจ้าตัวต้องออกมาขอโทษ
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า แม้จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีและสุดท้ายอาจต้องควักเงินส่วนตัวมาจ่ายค่าเสียหายราว 500 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย แต่ก็คงทำให้ขนหน้าแข้งของ พล.ต.อ.สมยศร่วงเพียงแค่เส้นสองเส้นเท่านั้น เพราะเมื่อมีการตรวจสอบทรัพย์สินก็พบว่า พล.ต.อ.สมยศนั้นรวยอู้ฟู่
โดยมีหุ้นอยู่ในบริษัทต่างๆ 11 แห่งด้วยกันคือ บริษัท กู๊ด เบทเทอร์ เบสท์ จำกัด บริษัท ออลล์ เอ็นเนอร์ยี่ แอนด์ ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด บริษัท โกลด์ ชอร์ส จำกัด บริษัท อาร์เอสเอ็กซ์วายแซด จำกัด (มหาชน) บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท พีแอนด์วี คอร์ปอเรชั่น ซิสเต็ม จำกัด บริษัท ส.พุ่มพันธุ์ม่วง บริษัท สามารถ ดิจิตอล จำกัด (มหาชน) บริษัท เขาใหญ่ กรีน จำกัด
คิดสะระตะรวแล้วมีมูลค่าหุ้นทั้งหมดกว่า 730,542,041 บาทเลยทีเดียว
ขณะที่เมื่อย้อนกลับไปในปี 2566 ป.ป.ช เปิดทรัพย์สินของบิ๊กอ๊อดมีเงินสดและเงินฝากทั้งหมด 262,802,209 บาท
ส่วนสถานการณ์ปัจจุบัน ต้องบอกว่า การออกมาเปิดหน้าท้าชนกับ “บิ๊กอ๊อด” ในครั้งนี้ ทำให้ “มาดามแป้ง” ได้รับเสียงชื่นชนเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็น “ก้าวที่กล้า” และสมควรได้รับการ “ยกย่อง” รวมถึงให้กำลังใจ ด้วยไม่ใช่ใครๆ จะสามารถทำได้ โดยเฉพาะกับคนอย่าง “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง”.