คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
ในตอนก่อนๆ ผู้เขียนได้กล่าวถึงกรอบแนวคิดในการทำความเข้าใจ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน” และเค้าโครงของประวัติศาสตร์ของกฎหมายในฐานะที่เป็นกรอบกติกาการปกครองหรือ “รัฐธรรมนูญ” รวมทั้งโครงสร้างทางสังคมของสวีเดนก่อนการสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในช่วง ค.ศ. 1680 ไปบางส่วน
ในตอนนี้จะขอกล่าวต่อไปจากประเด็นความขัดแย้งต่อนโยบายเวนคืนไปสู่ความขัดแย้งเห็นต่างในเรื่องพระราชอำนาจในการออกกฎหมายและพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ โดยประเด็นที่จะกล่าวต่อไปคือ การยึดทรัพย์สินอดีตคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และสภาบริหารจากการฉ้อฉลในการใช้งบประมาณแผ่นดิน
หลังจากมีการตั้งคณะตุลาการการเวนคืนทรัพย์สินให้เป็นของพระมหากษัตริย์ขึ้น โดยคณะตุลาการนี้จะต้องเข้าไปตรวจสอบสภาบริหารด้วย แม้ว่าสภาบริหารจะไม่ได้แสดงความจำนงที่จะปกป้องสถานะทางการเมืองของตน แต่สมาชิกในสภาบริหารได้ตั้งท่าปกป้องทรัพย์สินของตนโดยพยายามทำให้กระบวนการยืดเยื้อ โดยเริ่มต้นจากการปฏิเสธที่จะยอมรับอำนาจของคณะตุลาการ
และการปฏิเสธดังกล่าวนี้ได้นำมาสู่การเกิดเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1681
จุดตั้งต้นของคณะตุลาการคือการแจ้งข้อกล่าวหาโดยรวมต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และสภาบริหาร และกำหนดให้แต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้องตอบข้อกล่าวหา และในกรณีที่เสียชีวิตไปแล้ว ให้ผู้ที่เป็นทายาทจะต้องเข้ามารับผิดชอบตอบข้อกล่าวหา
ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1681 หลังจากประธานคณะตุลาการได้กราบบังคมทูลถวายแนวทางการทำงานแก่ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด (Charles XI) พระองค์ได้ทรงยอมรับให้คณะตุลาการดำเนินการพิจารณาตรวจสอบและแจ้งข้อกล่าวหาเป็นรายบุคคล และให้ระบุกรณีข้อกล่าวหาที่แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบตอบข้อกล่าวหานั้นๆ
เวลาผ่านสองเดือนแรก การทำงานของคณะตุลาการดำเนินไปอย่างล่าช้า กรรมการส่วนใหญ่ไม่กระตือรือร้น เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงมีพระบรมราชโองการให้คณะตุลาการต้องแจกแจงข้อกล่าวหาและทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง J. Gyllenborg ให้เป็นหนึ่งในกรรมการตุลาการทำหน้าที่อัยการแผ่นดิน ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า J. Gyllenborg เป็นบุคคลที่มีความเข้มแข็งและกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่
หลังจากที่มีพระบรมราชโองการให้คณะตุลาการต้องมีข้อสรุปคำวินิจฉัยและแจ้งข้อกล่าวหาและมี J. Gyllenborg ทำหน้าที่อัยการแผ่นดิน คณะตุลาการได้สรุปคำวินิจฉัยว่า การบริหารราชการแผ่นดินในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1660-1672 ไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้งบประมาณจนเกินงบดุลขนาดนั้น โดยในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1660-1672 คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ใช้งบประมาณเกินไปเป็นจำนวนถึง 12 ล้าน (หน่วยเงินสวีเดนในขณะนั้น) อันเท่ากับงบประมาณแผ่นดินสามปีรวมกัน และคณะตุลาการได้แจงข้อกล่าวหาไปยังปัจเจกบุคคลต่างๆ ในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และทายาทเป็นจำนวนทั้งสิ้น 60 คน
จากรายงานคำวินิจฉัยข้างต้นถือว่า คณะตุลาการได้ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้คณะตุลาการสิ้นสุดลงในวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1682 และพระองค์ได้ทรงมีหนังสือแสดงความขอบใจคณะทำงานทั้ง 36 คน
หลังจากที่ผู้ถูกกล่าวหารับทราบข้อกล่าวหา มีคนจำนวนหนึ่งไม่ได้ปฏิเสธ แต่หาทางออกโดยพยายามเจรจาต่อรองเป็นการส่วนตัวโดยหวังว่าจะได้ข้อตกลงที่สมประโยชน์กันและกัน วิธีการเจรจาต่อรองเป็นการส่วนตัวนี้เป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อนมาก และใช้เวลาถึงเจ็ดปีกว่ามีข้อตกลงที่จบลงตัวได้ในปี ค.ศ. 1689
ขณะเดียวกัน มีสมาชิกสภาบริหารบางคนที่ยังคงคัดค้านข้อกล่าวหาด้วยเหตุผลที่ว่า พวกเขามีสถานะเป็นสมาชิกสภาบริหารและที่มีอำนาจหน้าที่ให้คำแนะนำแก่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1681 พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงเห็นว่าการคัดค้านข้อกล่าวหาของสมาชิกสภาบริหารถือเป็นการท้าทายพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ พระองค์ทรงมุ่งมั่นที่จะลดทอนสถานะของสภาบริหารให้อยู่ในสถานะที่ถูกต้องเหมาะสมของระบอบการปกครอง
พระองค์ได้ทรงประกาศให้รู้ถึงเจตนาของพระองค์ว่าพระองค์ทรงต้องการคำตอบอย่างเป็นทางการจากสภาบริหารต่อ the Declaration of the Estates ว่า ขอบเขตพระราชอำนาจของพระองค์มีแค่ไหน ซึ่งตั้งแต่พระองค์ได้ทรงให้มีการส่ง the Declaration of the Estates ไปยังสภาบริหารตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1680 ก็ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างไรจากสภาบริหาร
ในวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1681 Oxenstierna ซึ่งขณะนั้นดำรงรัฐมนตรีต่างประเทศและประธานสภาบริหารที่เทียบเท่ากับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้มีสมาชิกสภาบริหารจำนวนไม่กี่คนได้ร่างและลงนามไว้แล้วในหนังสือตอบต่อ the Declaration of the Estates เพื่อจะกราบบังคมทูลไปยังพระมหากษัตริย์โดยยอมรับ the Declaration of the Estates ไปแล้ว
โดยเนื้อหาในหนังสือกราบบังคมทูลแสดงถึงการยอมจำนนอย่างหมดศักดิ์ศรีและสรุปว่า พวกเขาต้องการที่จะเป็นที่ไว้วางใจจากพระมหากษัตริย์และ “ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีในการยอมรับอันเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำในสิ่งที่เหมาะสมในฐานะสมาชิกสภาบริหารที่ซื่อสัตย์และสนองพระคุณต่อพระมหา กษัตริย์และแผ่นดิน” แต่ยังไม่ได้มีการส่งหนังสือไปยังพระมหากษัตริย์
Oxenstierna ได้แนะนำให้สมาชิกสภาบริหารทุกคนลงนามในหนังสือ “ยกเว้นว่าจะมีความเห็นต่าง” มีสี่คนที่เห็นด้วยทันที และสองคนปฏิเสธ แต่ก็ถูกกดดันจากคำขู่ว่าจะมีการดำเนินการตามกฎหมายจนต้องยอมลงนามในที่สุด
เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าสภาบริหารได้ยอมรับ the Declaration of the Estates อย่างเป็นทางการและการกำหนดขอบเขตพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ปรากฎใน the Declaration of the Estates นั่นคือ พระมหากษัตริย์จะทรงโปรดรับคำแนะนำจากสภาบริหารหรือไม่ตามที่พระองค์เห็นสมควรและการตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่ลำพังพระองค์เท่านั้น สภาบริหารไม่มีอำนาจในการตั้งคำถามทางสาธารณะต่อการใช้พระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์
อันแสดงถึงการยอมรับว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ทรงพระราชอำนาจเหนือสภาบริหาร หรือที่มักจะถูกเรียกว่า สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ควรจะเรียกว่า การสถาปนาอำนาจนำของราชาธิปไตย (the Primacy of Monarchy) มากกว่า