xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

การเสื่อมศรัทธาต่อสถาบันทางการเมือง และการก่อตัวของอัตลักษณ์ “คนไม่เอาระบบเดิม” / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 ในระบอบประชาธิปไตย ความศรัทธาในระบบการเมืองและตัวแทนที่ได้รับเลือกตั้งถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้โครงสร้างทางการเมืองดำรงอยู่ได้ เมื่อประชาชนยังเชื่อว่าระบบสามารถตอบสนองต่อความต้องการและแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้ กระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองย่อมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะผ่านการเลือกตั้ง การออกเสียงแสดงความคิดเห็น หรือการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ


แต่ในสังคมไทยปัจจุบัน กระแสความไม่พอใจและความผิดหวังต่อผู้นำและระบบการเมืองแบบเก่า ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “การเสื่อมศรัทธาทางการเมือง” อย่างรุนแรง ผู้คนจำนวนมากไม่เพียงแค่ตั้งคำถามต่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพของรัฐบาล แต่ยังเชื่อว่าระบบการเมืองทั้งระบบเป็นพื้นที่ที่ผูกขาดโดยกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งไม่เคยรับฟังหรือใส่ใจประชาชนอย่างแท้จริง

การเสื่อมศรัทธาไม่ใช่แค่การไม่ชอบผู้นำหรือไม่พอใจนโยบายใดนโยบายหนึ่ง แต่คือการสูญเสียความเชื่อว่าการเมืองสามารถนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้จริง ผู้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มมองว่าการเลือกตั้งเป็นเพียงพิธีกรรมที่ไม่ได้สะท้อนเจตจำนงของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะพรรคที่ชนะเป็นลำดับหนึ่งกลับไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล แต่กลับถูกพรรคแบบเก่าของนายทุนใหญ่ที่แพ้การเลือกตั้งหักหลัง พรรคนายทุนใหญ่จับมือกับพรรคนายทุนท้องถิ่นที่มีระบบคิดและแบบแผนการเมืองประเภทเดียวกันช่วงชิงการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การสนับสนุนของชนชั้นนำดั้งเดิม ทำให้ผลลัพธ์ทางการเมืองมีทิศทางที่ถอยหลังลงคลอง

ในโลกออนไลน์ เราเห็นความรู้สึกเหล่านี้ชัดเจนขึ้น ผ่านถ้อยคำประชดประชัน เสียดสี หรือแสดงออกถึงความเบื่อหน่าย ไม่เชื่อถือ หรือไม่สนใจทางการเมืองอีกต่อไป หลายคนแสดงจุดยืนชัดเจนว่าพวกเขาปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่มองว่าเสื่อมทรามและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การเมืองในสายตาของคนกลุ่มนี้ไม่ใช่พื้นที่แห่งความหวัง แต่กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกจะตัดขาดหรือต่อต้านด้วยรูปแบบต่าง ๆ

 คำถามสำคัญคือเมื่อประชาชนเสื่อมศรัทธาในระบบการเมืองที่ดำรงอยู่แล้ว พวกเขากำลังแสวงหาทางเลือกใดมาแทนที่ และการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในอัตลักษณ์ทางการเมืองและการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในยุคสมัยนี้จะพาไปสู่สังคมแบบใด

ในบริบททางการเมืองที่ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าตนเองถูกกีดกันจากอำนาจ หรือไม่สามารถมีบทบาทสำคัญในกระบวนการตัดสินใจของรัฐ การเคลื่อนไหวต่อต้านโดยตรงมักเผชิญข้อจำกัด ทั้งจากกลไกรัฐที่ควบคุมอย่างเข้มงวด กฎหมายที่ปิดกั้นเสรีภาพ หรือแม้แต่แรงกดดันทางสังคม ในสถานการณ์เช่นนี้ “การต่อต้านเชิงสัญลักษณ์” (Symbolic Resistance) จึงกลายเป็นช่องทางที่คนธรรมดาใช้เพื่อแสดงออกทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ

การต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง ไม่ต้องมีองค์กรนำ หรือทรัพยากรทางเศรษฐกิจ แต่มีพลังมหาศาลในการสื่อสารความไม่พอใจและการปฏิเสธอำนาจผ่าน “สัญญะ” ที่เข้าถึงคนจำนวนมากได้ง่าย ตั้งแต่ถ้อยคำประชดประชัน มุกตลกเหน็บแนม การแชร์ภาพล้อเลียน ไปจนถึงการใช้สัญลักษณ์เฉพาะ เช่น เสื้อผ้า สี หรือท่าทางที่บ่งบอกถึงการไม่ยอมรับอำนาจรัฐ

ตัวอย่างชัดเจนจากสื่อสังคมออนไลน์ที่เต็มไปด้วยภาพและข้อความล้อการเมือง เช่น ภาพการ “เลียรองเท้า” หรือการเปรียบเปรยนักการเมืองเป็นหุ่นเชิด สิ่งเหล่านี้แม้จะดูเหมือนเล่นตลก แต่สะท้อนถึงการท้าทายและปฏิเสธความชอบธรรมของผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมา

ความหมายของการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์อยู่ที่การ “ลดทอน” อำนาจเชิงสถาบันและอำนาจเชิงอุดมการณ์ให้กลายเป็นเรื่องขบขัน หรือเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การยำเกรง นี่คือกลไกที่ทำให้คนจำนวนมากที่ไร้สิทธิ์ไร้เสียงรู้สึกว่าตนเองยังมีพื้นที่ในการแสดงออก และยังสามารถมีอิทธิพลต่อการสร้างความหมายในสังคม แม้จะไม่มีอำนาจต่อรองในระดับโครงสร้างก็ตาม

ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า แม้อำนาจรัฐจะควบคุมกลไกการเมืองและกฎหมายได้ แต่ไม่สามารถควบคุม  “พื้นที่ความหมาย” ในสังคมได้ทั้งหมด คนที่ไม่มีอำนาจจึงเลือกต่อสู้ในสนามนี้ แทนที่จะเผชิญหน้าอย่างเปิดเผย พวกเขาเลือกต่อสู้ด้วยการเปลี่ยนความหมายของอำนาจให้กลายเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะ หรือหมดความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาว เมื่อความชอบธรรมของอำนาจเดิมถูกสั่นคลอนจนไม่อาจฟื้นคืนได้

จากคอมเมนต์และภาพที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ มีการใช้สัญลักษณ์ต่อต้านผู้นำและรัฐบาลในหลายรูปแบบ ตั้งแต่ภาพกราฟิกที่ล้อเลียน ไปจนถึงถ้อยคำเหน็บแนม เช่น  “รัฐบาลหุ่นเชิด” หรือ “สภาทาส” การใช้คำพูดที่ลดทอนความน่าเชื่อถือของสถาบันการเมืองเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่เป็นการแสดงพลังการต่อรองทางอำนาจในรูปแบบใหม่

การต่อต้านเชิงสัญลักษณ์จึงเป็น “อาวุธของคนไร้อำนาจ” ในสังคมไทยวันนี้ คนธรรมดาที่ไม่มีพื้นที่ในสภา หรือบนเวทีการเมืองระดับชาติ สามารถใช้พื้นที่ออนไลน์และวัฒนธรรมสื่อใหม่ในการท้าทาย สะท้อนเสียง และสร้างแรงกดดันต่อโครงสร้างอำนาจเดิม แม้จะถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีพลังโดยตรง แต่การลดทอนอำนาจผ่านสัญญะเหล่านี้ค่อย ๆ สะสมพลังจนสามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคม และเปิดทางไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ลึกซึ้งในระยะยาว

ในด้านหนึ่ง เป็นความจริงที่ว่า การเมืองไทยบางมิติยังคงถูกผูกโยงกับอัตลักษณ์ของพรรคการเมืองหรือกลุ่มอำนาจบางกลุ่มอย่างชัดเจน ผู้คนจำนวนไม่น้อยเลือกข้างจากความนิยมในตัวผู้นำของพรรคการเมือง หรือจากแนวคิดอุดมการณ์ที่เชื่อมโยงกับความชอบหรือสอดคล้องกับจุดยืนทางการเมืองของตนเอง หรือชนชั้นทางสังคมที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่ง จนทำให้เกิดการแบ่งขั้วและมีการใช้ “สี” เป็นสัญลักษณ์แทนกลุ่มของตนเอง เช่น เสื้อแดง เสื้อเหลือง

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีความจริงที่ว่า ในยุคปัจจุบันได้เกิดวิกฤติศรัทธาต่อระบบและตัวแสดงทางการเมืองเดิม ๆ ซึ่งเป็นวิกฤติศรัทธาแบบรอบด้าน ทั้งต่อผู้นำทางการเมืองและสถาบันทางการเมืองหลัก ทั้งหลาย อันได้แก่ รัฐบาล รัฐสภา องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เช่น กกต. ปปช. ศาลรัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง กองทัพและระบบราชการ

วิกฤติศรัทธานี้ก่อให้เกิดช่องว่างใหม่ ซึ่งกลายเป็นพื้นที่สำหรับการสร้าง  “อัตลักษณ์ทางการเมืองใหม่” ที่ลดความเข้มข้นในยึดโยงกับพรรคการเมือง ผู้นำทางการเมือง และสถาบันทางการเมืองแบบเดิม

อัตลักษณ์ทางการเมืองแบบเดิม เน้นเรื่องความจงรักภักดีต่อพรรคหรือบุคคลทางการเมืองอย่างแนบแน่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่และกลุ่มประชาชนที่ผิดหวังกับระบบเดิม คือการกำหนดตัวตนทางการเมืองของตัวเองจาก  “ประเด็น” และ “ค่านิยม” ไม่ใช่เพียงแต่ผูกโยงกับ “พรรค” หรือ “ผู้นำ”  เท่านั้น


คนจำนวนมากไม่ได้เชื่อมโยงตนเองกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างถาวร แต่เลือกสนับสนุนประเด็นที่ตรงกับความเชื่อของตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน การปฏิรูปสถาบันทางการเมือง การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชัน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือสิ่งแวดล้อม พวกเขาเปลี่ยนจากเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งไปสู่การเป็น  “พลเมืองอิสระ” หรือ “นักเคลื่อนไหวประเด็น” ที่มีจุดยืนชัดเจนต่อประเด็นที่โดนใจพวกเขา แม้ว่าเรื่องนั้นอาจขับเคลื่อนโดยนักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมืองที่พวกเขาอาจไม่ชอบก็ตาม

หนึ่งในอัตลักษณ์ทางการเมืองที่เด่นชัดที่สุดของคนรุ่นใหม่และกลุ่มประชาชนที่ผิดหวังกับการเมืองไทย คือ อัตลักษณ์ของ “คนไม่เอาระบบเดิม” (Anti-Establishment Identity) ซึ่งมิใช่เพียงการปฏิเสธตัวบุคคล พรรคการเมือง หรือรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการไม่ยอมรับโครงสร้างอำนาจและกติกาเดิมทั้งหมดที่พวกเขามองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความเปลี่ยนแปลง

ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เพียงกระแสอารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราว แต่กลายเป็นตัวตนทางการเมืองรูปแบบใหม่ที่มีความชัดเจนในข้อเสนอ ซึ่งแสดงออกผ่านคำพูด การกระทำ และการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนการปฏิเสธระบบอย่างเป็นระบบ

การวิพากษ์ระบบราชการรวมศูนย์และอำนาจนิยมเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา โดยรัฐราชการรวมศูนย์ถูกวิจารณ์ว่า เป็นกลไกที่รวบอำนาจและผลประโยชน์ไว้ที่ชนชั้นนำส่วนกลาง ปิดกั้นโอกาสของคนในท้องถิ่นในการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายหรือการพัฒนา การเรียกร้อง “กระจายอำนาจ” หรือ “เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด”  จึงเป็นข้อเสนอที่สะท้อนถึงความไม่ยอมรับการรวมศูนย์อำนาจในมือส่วนกลางอีกต่อไป

นอกจากนี้ อำนาจนิยมในสถาบันราชการ โรงเรียน และทหาร ยังถูกมองว่าเป็นต้นทางของวัฒนธรรมกดขี่ จึงเกิดกระแส  “ล้มระบบโครงสร้างที่ปิดกั้นเสรีภาพ” ดังเช่นการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนที่ท้าทายระบบอำนาจครูใหญ่ โรงเรียน และกระทรวงศึกษาธิการอย่างต่อเนื่อง

การต่อต้านการเมืองแบบบ้านใหญ่และการผูกขาดอำนาจท้องถิ่นก็เป็นอีกหนึ่งมิติสำคัญของอัตลักษณ์นี้ การเมืองแบบ  “บ้านใหญ่” หรือการผูกขาดอำนาจในระดับท้องถิ่นโดยกลุ่มตระกูลทางการเมืองที่ใช้ทรัพยากรและอิทธิพลเพื่อควบคุมคะแนนเสียง ถูกวิจารณ์ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการซื้อเสียงและผูกขาดประชาธิปไตยท้องถิ่น ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ในท้องถิ่นจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามกับ “ระบบเครือญาติการเมือง” และผลประโยชน์ที่กระจุกตัวในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง นำมาสู่ความพยายามผลักดัน “พรรคการเมืองแบบใหม่” หรือ “ผู้สมัครอิสระ” ที่ไม่สังกัดบ้านใหญ่และไม่พึ่งพาอำนาจเก่าในพื้นที่

ในขณะเดียวกัน การต่อต้านอภิสิทธิ์ของบรรดานายพลและกลุ่มอำนาจทหารก็ปรากฏอย่างชัดเจน กองทัพและกลุ่มนายพลถูกวิพากษ์ว่ามีอภิสิทธิ์ที่เกินขอบเขตทั้งทางกฎหมายและงบประมาณ เสียงวิพากษ์เหล่านี้สะท้อนออกมาในการวิจารณ์งบประมาณกองทัพที่สูงเกินความจำเป็น การใช้อำนาจพิเศษ หรือการตั้งคำถามต่อบทบาททางการเมืองของนายทหาร

 คำขวัญอย่าง “กองทัพต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน” หรือ “ลดงบซื้ออาวุธ เพิ่มงบพัฒนาคน” จึงปรากฏชัดในการเคลื่อนไหวของหลายกลุ่ม รวมถึงการเรียกร้องให้ “ยกเลิกเกณฑ์ทหาร” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิเสธระบบทหารที่ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือควบคุมคนรุ่นใหม่และชนชั้นล่างมากกว่าการป้องกันประเทศ

การวิพากษ์การผูกขาดเศรษฐกิจโดยกลุ่มทุนใหญ่เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม กลุ่มทุนผูกขาดในไทย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจพลังงาน สื่อโทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ หรือค้าปลีก ถูกวิจารณ์ว่ามีบทบาทเกินขอบเขตในระบบเศรษฐกิจไทย ประชาชนจึงเริ่มตั้งคำถามถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ให้ทุนใหญ่ ในขณะที่คนตัวเล็กในระบบเศรษฐกิจกลับถูกละเลยหรือกดทับ

 แฮชแท็กและคำขวัญในโลกออนไลน์ เช่น “ไม่ซื้อ ไม่ใช้ ไม่สนับสนุนทุนผูกขาด” หรือ “กระจายรายได้สู่ชุมชน” จึงกลายเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน นอกจากนี้ กระแสสนับสนุนสินค้าในท้องถิ่น (Local Business) และระบบเศรษฐกิจชุมชน ยังเป็นอีกส่วนหนึ่งของการปฏิเสธเศรษฐกิจที่ผูกขาดโดยทุนใหญ่

อัตลักษณ์  “ไม่เอาระบบเดิม” ยังปรากฏอย่างชัดเจนผ่านการสื่อสารด้วยสัญลักษณ์ คำขวัญ และการแสดงออกเชิงศิลปะที่ท้าทายอำนาจเก่า ไม่ว่าจะเป็นการใส่เสื้อที่มีข้อความทางการเมือง การใช้สีแดง-ดำในการชุมนุมที่สื่อถึงการปฏิเสธอำนาจ หรือการทำศิลปะจัดวางที่สะท้อนความไม่ยุติธรรมทางการเมือง ภาพกราฟิกและมีมในโลกออนไลน์ เช่น ภาพล้อเลียนนักการเมือง กลุ่มทุน หรือกองทัพในรูปแบบที่ลดทอนอำนาจความน่าเชื่อถือ ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อสู้เชิงวัฒนธรรม

เช่นเดียวกับคำขวัญอย่าง  “พอกันทีกับนายทุนผูกขาด-ไม่เลีย ไม่กลัว ไม่เงียบ” หรือ “ประชาธิปไตยจะไม่มีวันถอยหลัง” ซึ่งเป็นตัวอย่างของภาษาการเมืองใหม่ที่สร้างพลังทางสัญลักษณ์

สิ่งสำคัญที่ควรตระหนักคือ คนที่ระบุอัตลักษณ์ว่า “ไม่เอาระบบเดิม” นั้นไม่ได้เพียงแค่ต่อต้านสิ่งที่มีอยู่เท่านั้น แต่กำลังเสนอทางเลือกใหม่ไปพร้อมกัน ทั้งในแง่ของทางเลือกใหม่ทางการเมืองที่เน้นการกระจายอำนาจ นโยบายลดอำนาจรวมศูนย์ การปฏิรูปกองทัพ และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ รวมถึงรูปแบบใหม่ของการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการระดมทุน การตั้งข้อเสนอเชิงนโยบาย หรือการจัดกิจกรรมที่ไม่ผ่านระบบพรรค

นอกจากนี้ยังมีการสร้างสังคมทางเลือกผ่านเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชน การศึกษาเสรี และการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมทางเลือกที่เน้นสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล

 โดยสรุปแล้ว อัตลักษณ์ “คนไม่เอาระบบเดิม” คือพลังใหม่ทางการเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของสังคมไทย คนกลุ่มนี้ไม่ได้แค่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกเดิม แต่กำลังออกแบบและทดลองระบบใหม่ที่ไม่ยึดโยงกับอำนาจเดิม ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม การปฏิเสธโครงสร้างอำนาจเก่าจึงไม่ใช่เพียงการล้มล้าง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างประชาธิปไตยที่ลึกซึ้งกว่าเดิม โปร่งใสกว่าเดิม และเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง


กำลังโหลดความคิดเห็น