xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เน-หนู” แพ้ทุกแนวรบ? กลับไปจบที่ “ตะพุ่นหญ้าช้าง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในที่สุด “เนวิน ชิดชอบ” และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งค่ายสีน้ำเงิน พรรคภูมิใจไทย ที่เจอ “อาวุธหนัก” จาก “นายใหญ่เสื้อแดง-ทักษิณ ชินวัตร” ระดมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีการวิเคราะห์กันว่า สถานการณ์ ณ ตอนนี้ ต้องยอม “หมอบ” ให้แบบไร้เงื่อนไข

ด้วยคิดสะระตะดูแล้ว ขืนยังใช้กลยุทธ์ “มึงมากูมุด มึงหยุดกูแหย่ มึงแย่กูตี มึงหนีกูไล่” ที่กระทำเป็น “นิสัย” เหมือนที่ผ่านๆ มา คงไม่แคล้วต้องจมธรณีเป็นแน่แท้

และนั่นก็เป็นที่มาของการกระเตงกันของ “หนู-เน” ไปพบ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา หลังก่อนหน้านี้ “ทำเหนือ” ด้วยการปล่อยข่าวว่ามีการนัดพบกันระหว่าง “เนวิน อนุทิน ทักษิณและแพทองธาร” ที่โรงแรมดังซึ่งเป็นรังของค่ายสีน้ำเงินย่านซอยรางน้ำ ทั้งๆ ที่ตกอยู่ในสภาพเป็นรองแท้ๆ

“ผมเป็นคนชวน(เนวิน)ไป นัดกันวันหยุดอยู่กันพอดี พร้อมระบุว่า มีการหารือกันหลายเรื่อง แต่ไม่มีอะไรมาก และเป็นการขอคำแนะนำ เนื่องจากนายทักษิณเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ มันก็ไม่มีคนอื่น”

“เสี่ยหนู-อนุทิน” ให้สัมภาษณ์ยอมรับหลังข่าวการเข้าไป “จิ้มก้อง” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเล็ดลอดออกมา แถมยังทำไขสืออีกต่างหากว่า “รู้ข่าวได้อย่างไร-ทราบได้อย่างไร-“ใครหลุดออกมา” ทั้งๆ ที่ร่ำลือกันไปทั่วทั้งแผ่นดินว่า ข่าวนี้ปล่อยออกมาจาก “ค่ายสีน้ำเงิน” เอง เหมือนเช่นทุกครั้งที่มีการพบกันในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับเนื้อหาที่พูดคุยกันนั้น นายอนุทินยอมรับว่า “พูดคุยกันทุกเรื่อง” ตั้งแต่เรื่องร่างพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ เรื่องพระราชบัญญัติการพนันออนไลน์ เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และนโยบายรัฐบาล

ส่วนการจัดแข่งขันโมโตจีพี นายอนุทินกล่าวว่า ไม่มี ไม่ได้คุยเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้อีกนาน

จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ “บิ๊กเนมการเมือง” จะแวะไปเยี่ยมเยือน “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่พำนักของ “พ่อนายกฯ” ทักษิณ ชินวัตร ที่ใครต่อใครต่างพากันยกให้เป็น “นายกฯ ตัวจริง” และมองคฤหาสน์ย่านจรัญสนิทวงศ์หลังนี้เป็นมากกว่า “ทำเนียบรัฐบาล” เสียด้วยซ้ำ ด้วยหลังจากที่ “ทักษิณ” ได้รับการพักโทษ พ้นสถานะ “นักโทษวีไอพี” ออกจากจากชั้น 14 รพ.ตำรวจ ก็ทำให้บ้านจันทร์ส่องหล้า กลายเป็นหมุดหมายของเครือข่ายการเมืองในทุกระดับ

โดยเฉพาะคนของพรรคเพื่อไทย ที่เรียงแถวต่อคิวเข้าไปคารวะเจ้าของบ้านจนหัวกระไดไม่แห้ง ขณะที่คนที่มีวาสนาเป็นรัฐมนตรีก็มักถูก “เชิญ” เข้าไป “ตรวจการบ้าน” ไม่เว้นแต่ละวัน แถมไปกันแบบเปิดเผยใช้รถนำ รถประจำตำแหน่ง ไม่ได้หลบๆซ่อนๆ แต่ก็ไม่ค่อยตกเป็นข่าว

ผิดกับยามใดที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ “เสี่ยเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย มีโอกาสแวะเข้าไปเหยียบบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่มักมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างออกมาทุกครั้ง

และก็เป็นทุกครั้งที่ “เสี่ยหนู” จะออกมา “งับ” ยอมรับว่าเป็นความจริง ทั้งหนแรกเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2567 ที่จู่ๆ ก็มีข่าวว่า “เนวิน” ถือโอกาสช่วงวันคล้ายวันเกิดตัวเอง ดอดเข้าไปพบ “ทักษิณ” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยมี “อนุทิน” เป็นผู้นำพาเข้าไป ก็เป็น “เสี่ยหนู” ที่ทำทีบอกว่า “ไร้สาระ” ในเบื้องแรก ก่อนจะออกมายอมรับว่า เป็นคนชวน และเป็นคนพา “พี่เน” ไปพบ “นายใหญ่รัฐบาล” โดยระบุว่า เป็นวาระ “เบิร์ธเดย์บอย” เท่านั้น

เช่นเดียวกับเมื่อช่วงก่อนสิ้นปี 2567 ก็มีข่าวปล่อยว่า “อนุทิน-เนวิน” ดอดเข้าไปขอพรปีใหม่ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

และล่าสุดก็มี “ข่าวปล่อย” พร้อมบรรจงพาดหัวว่า “4 ผู้มากบารมีการเมือง” ได้พบปะกันเพื่อเคลียร์ปมร้อนภายในรัฐบาล และระหว่างพรรคเพื่อไทย-ภูมิใจไทย ซึ่งทุกครั้งต้นทางข่าวปล่อยล้วนแล้วออกมาจากแหล่งเดียวกัน และผู้ที่มารับลูกทุกครั้งก็เป็น ”อนุทิน“ คนดีคนเดิมนี่เอง

หรืออาจรวมไปถึงวาระ “นอกสถานที่“ อย่างครั้ง ”ปฏิญญาเขาใหญ่“ ที่ “ทักษิณ” พาครอบครัวลูกหลานไปพักผ่อนที่แรนโชชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรี คลับ เขาใหญ่ ของ “อนุทิน” โดยมีบิ๊กเนมการเมือง-เอกชน รายรอบ กระทั่งก๊วนกอล์ฟวีไอพี เมื่อช่วงก่อนสิ้นปี 2567

ทั้ง 2 ครั้งที่ว่าไปก็เป็นการปล่อยภาพมาจาก “ขั้วสีน้ำเงิน” เอง คล้ายกับอยากประกาศ-ชี้นำให้โลกรู้ว่า “บิ๊กสีน้ำเงิน” ไม่ได้มีรอยร้าวใดๆ กับ “นายใหญ่ทักษิณ”


จะมีพลาดไปก็แค่กระแสข่าวว่า “ทักษิณ” รับนัดพบ “เนวิน-อนุทิน” ที่โรงแรมดังย่านรางน้ำ ซึ่งเป็นฐานบัญชาการของ “ค่ายสีน้ำเงิน” ในเมืองกรุง เพื่อเคลียร์หลายๆปมร้าวที่ครุกรุ่นในช่วงนี้ แต่รอแล้วรอเล่า ก็ไม่ปรากฎเงา “พ่อนายกฯ” ตรงตามสไตล์ “ทักษิณ” ที่หากเป็นการเจรจาเรื่องสำคัญ จะอยู่ในที่ตั้งหรือสถานที่ที่ฝ่ายตัวเองจัดเตรียมเท่านั้น
สำหรับการพบกันเที่ยวนี้ บอกตรงๆ ว่า สภาพของ “เน-หนู” และ “ค่ายสีน้ำเงิน” อ่อนพลังต่อรองในทางการเมืองเป็นอย่างมาก หากแต่ดำรงสถานะเป็นเพียงแค่ “ควาญช้าง-คนเลี้ยงช้าง” หรือถ้าจะใช้คำว่า “ตะพุ่นหญ้าช้าง” ในสายตาของผู้เฒ่าเขี้ยวเหลืองอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก

เหมือนในอดีตที่หลายคนยังคงจำภาพประวัติศาสตร์ที่ว่ากันได้ดี นั่นคือ ภาพที่ “ทักษิณ” นั่งอยู่บนคอช้าง โดยบนตัวช้างเขียนคำว่า “ผมรักทักษิณ” และมี “เนวิน” เดินตามต้อยๆ อยู่ข้างล่าง

แน่นอน ใครที่ติดตามสถานการณ์จะเห็นว่า “อาวุธหนัก” ที่ประเคนเข้าใส่ “ค่ายสีน้ำเงิน” นั้นหนักหน่วงรุนแรงเหลือกำลัง

ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ทำมาหากินของ “ตระกูลชิดชอบ”

กรณี “สนามกอล์ฟแรนโชชาญวีร์ ” ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ซึ่งถึงกับทำให้ “เสี่ยหนู” ผรุสวาทออกมาดังๆ ว่า “หน้าตัวเมีย” กันเลยทีเดียว

หรือกรณี “สว.สายสีน้ำเงิน” ที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นเรื่องร้อนเพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษ ภายใต้การนำทัพของ “เสี่ยวี-ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าพรรคประชาชาติ แต่อีกสถานะคือ “สายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า” เปิดเกมไล่บี้ให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ด้วยสารพัดข้อหาหนัก

และทั้งหมดนั้นก็เป็นเหตุให้ “เสี่ยหนู” ต้องลาก “ครูใหญ่เน” ไปพบ “นาย” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ก่อนที่คณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) จะประชุมกันและมีมติว่าจะรับเป็นคดีพิเศษด้วยข้อหา “อั้งยี่-ซ่องโจร” หรือไม่

ส่วนผลที่ออกมาก็เป็นไปตามที่คาดหลังเกิด “ดีล 2 มีนาฯ” คือ กรรมการจำนวน 11 คนในที่ประชุมมีความเห็น “ไม่รับ” คดีอั้งยี่ซ่องโจรเป็นคดีพิเศษ

ทว่า ก็ยังโยนเชือกมัดบ่วงเอาไว้กันเหนียวด้วยการ “มีความเห็นให้ดำเนินคดีในฐานความผิดฟอกเงินซึ่งเป็นอำนาจของอธิบดีดีเอสไอตามความผิดมาตรา 21 (1) ตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษ สามารถดำเนินการสอบสวนได้ตามปกติไม่ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม กคพ.

เรียกว่า ถ้า “ค่ายสีน้ำเงิน” ยังเล่นตุกติกไม่เลิก ปฏิบัติการ “ลบสีน้ำเงิน” ก็จะเปิดฉากอีกครั้ง เพราะยังคาเกม “ล้ม สว.” ผ่านคดี “โพยฮั้ว” ในมือดีเอสไอเพื่อกดดันค่ายสีน้ำเงินไม่ให้เหลิงอำนาจ

งานนี้ เห็นได้ชัดว่า “ทักษิณ” นั้น รู้เช่นเห็นชาติลูกน้องเก่าอย่าง “เนวิน” เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน ถ้าหากไปย้อนดูเบื้องหน้าเบื้องหลังของการประชุม กคพ.ครั้งนี้ ก็น่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน แจ้งลาการประชุมเป็นครั้งที่ 2 โดยให้เหตุผลติดภารกิจราชการ ซึ่งในการประชุมบอร์ด กคพ. ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ทั้งคู่ก็ลาการประชุมด้วยเหตุติดภารกิจราชการและมีอาการเจ็บป่วย

ส่วนกรรมการโดยตำแหน่ง พบว่า หลายหน่วยงานส่งตัวแทนเข้าประชุม เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ อัยการสูงสุด เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ขณะที่ พล.ต.ท.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (ผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ไม่เข้าร่วมประชุม

กูรูทางการเมืองวิเคราะห์ สิ่งที่เกิดขึ้นว่า “ทักษิณ” ส่งสัญญาณถอยเล็กน้อย จะด้วยเป็นเพราะติดขัดในข้อกฎหมาย หรือเพื่อรอดูว่า ค่ายสีน้ำเงินจะหยุดอย่างที่เจรจากันไหม

เอาเป็นว่า แต่ละดอกที่ค่ายสีแดงประเคนเข้าใส่ค่ายสีน้ำเงิน ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธหนักที่กดดันให้ “เน-หนู” ตกเป็นเบี้ยล้างอย่างเห็นได้ชัด เพราะรับรู้ว่าแล้วว่า ถ้ายังไม่หยุด เรื่องทำนองนี้อาจจะโผล่ให้เห็นเป็นระยะๆ และสุดท้ายอาจจะลงเอยด้วยคำว่า “มันจบแล้วครับเน-หนู” โดยเขี่ยให้พ้นจากพรรคร่วมรัฐบาล

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ก่อนที่จะยอมเป็น “ตะพุ่นหญ้าช้าง” นั้น “ค่ายสีน้ำเงิน” ออกฤทธิ์ออกเดชกับ “นายใหญ่คนเสื้อแดง” เป็นระยะๆ แถมพอมีเรื่องมีราวที่ทำให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจกันที ก็พากันไป “หมอบ” ดังที่กล่าวข้างต้น

ทว่า พอออกมา ก็ยังคงเล่นเกมตอดเล็กตอดน้อยสลับกับโยนระเบิดลูกใหญ่เข้าใส่เป็นระยะๆ ดังกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่ตั้งใจฟาดไปที่กล่องดวงใจของตระกูลชินวัตรทั้งกระบิ ไม่นับรวมการขัดแข้งขัดขาในสภาโดยอาศัยกลไกของสว.สายสีน้ำเงิน เป็นต้น

จะใช้คำว่า “เล่นไม่เลิก” ก็คงจะใช่

สภาพ “ตะพุ่นหญ้าช้าง” ของ “เน-หนู” ที่เป็นรูปธรรมก็คือ การที่นายอนุทินแอ่นอกให้สัมภาษณ์ว่า “วันนั้นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยห้ามลาห้ามขาด รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยทั้ง 8 คน ต้องอยู่ในสภาฯ เตรียมข้อมูลที่ถูกพาดพิงก็ต้องตอบได้ เราจะไปหวังให้นายกฯ ตอบคนเดียวก็ไม่ได้ ท่านจะไปรู้เรื่องรายละเอียดได้อย่างไร แต่หากมีความประสงค์ที่จะตอบเอง ก็ต้องเตรียมข้อมูลนำเสนอให้นายกฯ ซึ่งก็มีการเตรียมตัวที่จะสนับสนุนนายกฯ อย่างเต็มที่”

กระนั้นก็ดีมีข้อมูลยืนยันตรงกันสำหรับการพบกันเมื่อวันที่ 2 มีนาคมว่า “นายทักษิณ”ส่งสัญญาณว่า “ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ขอให้พูดคุยกันตรงๆ อย่าตุกติก” เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ขณะที่ตัว “นายกฯ ลูกสาว” เอง ก็มีรายงานตรงกันว่า ไม่พอใจในสิ่งที่เรียกว่า “หน้าไหว้หลังหลอก” จนถึงขั้นต้อง “ยี้” กันเลยทีเดียว

ส่วนการกลับไปเป็น “ตะพุ่นหญ้าช้าง” ครั้งนี้ จะอยู่ยั้งยืนยงแค่ไหน ก็คงต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไป เพราะ “คนอย่างครูใหญ่เน” นั้นมีฤทธิ์มีเดชทางการเมืองเข้าขั้น “เทพ คนหนึ่งของประเทศนี้เช่นกัน และ “คนอย่างทักษิณ” ก็เคยเจอด้วยตัวเองมาแล้วกับคำพูดที่อมตะนิรันดร์กาลว่า “มันจบแล้วครับนาย” จากนั้นก็สามารถสร้าง “ค่ายสีน้ำเงิน” ให้ยิ่งใหญ่จนกลายเป็น “หอกข้างแคร่” อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ที่สำคัญเป้าหมายใหญ่ของ “นายใหญ่” ก็คือ การยึด “กระทรวงมหาดไทย” คืนจากพรรคภูมิใจไทย เพราะต้องการใช้เป็นกลไกลสำคัญในการควบคุมกาสิโนและพนันออนไลน์ ดังนั้น อีกไม่นานก็คงรู้กันว่า หมากเกมนี้จะลงเอยแบบใด




กำลังโหลดความคิดเห็น