xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จับชีพจร “สัตว์ทะเลหายาก” “เต่าทะเล” ตบเท้าขึ้นวางไข่ แต่ “พะยูน” ร่วงเป็นใบไม้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สถานการณ์ท้องทะเลไทยยังคงมีความน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เพราะแม้มีเรื่องสร้างความชื่นมื่นจากกรณี “เต่ามะเฟือง - เต่ากระ” ตบเท้าขึ้นวางไข่ทั้งบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกและภาคใต้จำนวนหลายร้อยฟอง แต่ขณะเดียวกันก็ปรากฏเรื่องเศร้า เมื่อพบว่า “พะยูน” ถูกพรากชีวิตไปอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าเข้าสู่ปี 2568 เพียงแค่ 2 เดือนเศษพบสัตว์ทะเลหายากชนิดนี้ตายแล้วถึง 7 ตัวเลยทีเดียว 

เปิดศักราชปี 2568 มาไม่นานนัก ก็มีเรื่องที่น่ายินดีเมื่อมีการปรากฎตัวสัตว์ทะเลหายาก ซึ่งสะท้อนระบบนิเวศน์ของท้องทะเลไทยว่า ดีขึ้นกว่าแต่เก่าก่อน โดยเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2568 นับเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่มีการพบ  “เต่ากระ” ขึ้นมาวางไข่บริเวณชายหาดเทียน เกาะล้าน ม.2 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จำนวน 1 รัง มีไข่ทั้งสิ้น 153 ฟอง แตกเสียหายไป 4 ฟอง (รวมทั้งหมด 157 ฟอง) ซึ่งถือว่าไข่ที่พบอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก โดยเจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายไปยังศูนย์เพาะพันธุ์เต่าทะเล จ.ระยอง เพื่อทำการอนุบาลและเพาะพันธุ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับ  “เต่ากระ” จัดเป็น “สัตว์ป่าคุ้มครอง”  ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562

 นายวุฒิพงษ์ วงศ์อินทร์ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 เปิดเผยหลังลงพื้นที่ตรวจสอบ ระบุว่า บริเวณจุดที่แม่เต่าทะเล หรือเต่ากระขึ้นมาวางไข่บริเวณหาดทรายบนเกาะล้านในครั้งนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ยืนยันได้ว่าระบบนิเวศน์ทางทะเลบนเกาะล้านค่อนข้างจะสมบูรณ์มาก

ทั้งนี้ คาดว่าแม่เต่ากระที่ขึ้นมาวางไข่อายุประมาณ 10 ปี และเชื่อว่าอีกไม่เกิน 10 วัน แม่เต่าตัวนี้จะต้องขึ้นมาวางไข่อีก จึงมีประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการเฝ้าระวัง หากแม่เต่าขึ้นมาวางไข่อีก ให้รีบทำแนวกั้นป้องกันคนมาเหยียบย่ำ หรือทำให้เกิดความเสียหาย

นอกจากนั้น ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมกราคม 2568 ยังพบร่องรอย  “เต่ามะเฟือง” ขึ้นวางไข่รังที่สองจำนวน 124 ฟอง บริเวณชายหาดทุ่งดาบ ต.เกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา โดยเต่ามะเฟืองจัดอยู่ในสถานภาพการอนุรักษ์ในระดับโลก คือมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable : VU) โดย IUCN และสถานภาพการอนุรักษ์ในประเทศไทยเป็น “สัตว์ป่าสงวน” ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562

“เต่ามะเฟือง” และ “เต่ากระ” ขึ้นวางไข่บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลของไทย




ในท้องทะเลไทยพบเต่าทะเลอยู่ 5 ชนิด คือ เต่ามะเฟือง, เต่าตนุ, เต่ากระ, เต่าหญ้า และเต่าหัวค้อน โดย 20 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยพบเต่าหัวค้อนขึ้นวางไข่ในประเทศไทย มีเพียงรายงานพบหากินอยู่ในน่านน้ำไทยเท่านั้น ทั้งนี้ ตามสถิติเต่าทะเลของไทยจะมีการขึ้นมาวางไข่บนชายหาดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการรอดชีวิตของลูกเต่ายังคงต่ำ
อย่างไรก็ตาม ประชากรเต่าทะเลมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูงสุด เนื่องจากการลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว โดยมีแนวโน้มถูกคุกคามเพิ่มมากขึ้นจากสถานการณ์ปัญหาขยะและเศษพลาสติกในท้องทะเลซึ่งสัตว์ทะเลอาจกินเข้าไปจนถึงแก่ความตาย อีกทั้ง ปัญหาเกี่ยวกับเครื่องมือการทำประมง และปัญหาจากภัยธรรมชาติ

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่าจากการติดตามและเก็บข้อมูลการวางไข่ของเต่าทะเลไทยตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561–2566 พบว่าการวางไข่ของเต่าตนุ และเต่ากระมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนเต่าหญ้ามีแนวโน้มลดลงพบการวางไข่น้อยมาก ซึ่งหากพบการวางไข่จะมีเพียง 1–2 รังต่อปี ส่วนเต่ามะเฟืองถึงจะมีแนวโน้มการวางไข่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บางปีก็จะไม่พบการวางไข่ เนื่องจากแม่เต่ามะเฟืองจะกลับมาวางไข่อีกครั้งหลังจากวางไข่ไปแล้วในช่วง 3–5 ปี

“ฉลามครีบดำ” กำลังว่ายน้ำอวดโฉมกว่า 172 ตัว ที่บริเวณอ่าวมาหยา จ.กระบี่

โลมาอิรวดีที่จังหวัดตราด
การปรากฎตัวของสัตว์ทะเลหายากอย่างต่อเนื่องได้สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ในท้องทะเลไทย ย้อนกลับไป เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 3 (ตรัง) พบ “ฉลามครีบดำ” กำลังว่ายน้ำอวดโฉมกว่า 172 ตัว ที่บริเวณอ่าวมาหยาในพื้นที่ดูแลรักษาของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ หรือศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้สำรวจพบพบ   “โลมาอิรวดี” 45 ตัว พะยูน 1 ตัว และเต่าทะเลจากการสำรวจทะเลหายากในพื้นที่ ต.ไม้รูด จ.ตราด

แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่ากำลังเกิดโศกนาฎกรรมกับ “พะยูนไทย” เข้าสู่ ปี 2568 เพียง 3 เดือน พบ “การตายของ พะยูน 7 ตัว” ในลำดับเวลาไล่เลี่ยกัน

ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า ช่วง 12 ปีที่ผ่านมา มีพะยูนตายมากกว่า 608 ตัว ทั่วประเทศไทย โดยตัวล่าสุดคือพะยูนวัยรุ่นเพศผู้ที่เกาะพยาม พื้นที่นี้มีสถิติการตายของพะยูนมาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ตัว และต้องสูญเสียพะยูนไปอีกเรื่อยๆ หากไม่ทำการอนุรักษ์ในเชิงปฎิบัติและได้รับความร่วมมืออย่างจริงจังจากท้องที่ท้องถิ่นตลอดจนชุมชนในพื้นที่

“ผมรู้ว่ามันยากแต่ถ้าไม่ทำอย่างจริงจังก็นับเวลาถอยหลังต่อการสูญพันธุ์ของพะยูนได้เลย”ดร.ก้องเกียรติกล่าว

กล่าวสำหรับสถานการณ์ของพะยูนทั่วโลกในปัจจุบันจำนวนลดลงมากจนเกือบสูญพันธุ์ โดยสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) จัดอันดับให้ “พะยูน” อยู่ใน ภาวะเสี่ยงอันตราย (Vulnerable - VU)มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธ์ไปแบบไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าไร้ซึ่งการช่วยเหลือเพิ่มเติมจากมนุษย์

12 ปีที่ผ่านมา มีพะยูนตายมากกว่า 608 ตัว ทั่วประเทศไทย (ภาพ : Kongkiat Kittiwatanawong)
เช่นเดียวกัน ประเทศไทย “พะยูน” อยู่ในสถานะ  “เสี่ยงสูญพันธุ์” โดยมีการประกาศให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ปี 2535 ทั้งนี้ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตส (CITES) พะยูนอยู่ในบัญชีหมายเลข 1 ลำดับ 86 ของบัญชีไซเตส เป็นสัตว์ที่ห้ามค้าโดยเด็ดขาด ยกเว้นเพื่อการศึกษา วิจัย และเพาะพันธุ์เท่านั้น

ย้อนดูสถิติของการตายของพะยูนไทย อ้างอิงข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ก่อนเข้าสู่ภาวะ  “Global Boiling” หรือ “โลกเดือด” ซึ่งก็คือสถานการณ์ที่สภาพภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงนั้น ช่วงปี 2548 - 2561 พะยูนตายเฉลี่ย 13 ตัวต่อปี แต่เมื่อเข้าสู่ภาวะโลกเดือด ช่วงปี 2562-2567 พะยูนตายเฉลี่ย 25 ตัวต่อปี ซึ่งผลกระทบจากภาวะโลกเดือดส่งผลให้สภาพแวดล้อมแปรปรวนอย่าง

นอกจากนี้ มีข้อมูลว่าปรากฎการณ์ “Ocean Warming” หรือ “ทะเลเดือด”  อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าปกติ จากการคาดการณ์ของรายงาน Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) ฉบับที่ 5 อุณหภูมิของผิวน้ำทะเล (Sea Surface Temperature) จะสูงขึ้นถึง 1-4 องศาเซลเซียส ในปี 2100

ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อทะเลและชายฝั่งอย่างรุนแรง กระทบสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลและชายฝั่งอย่างมาก นอกจากนี้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว รวมถึงปัญหาที่ใหญ่ไม่แพ้กันคือ  วิกฤตหญ้าทะเล ซึ่งเป็นอาหารหลักของพะยูนลดจำนวนลงอย่างมาก

สำหรับการรับมือสถานการณ์หญ้าทะเลเสื่อมโทรมในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นแหล่งหญ้าทะเลที่สำคัญ และเป็นแหล่งอาศัยหลักของพะยูนในประเทศไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้กำหนด 4 มาตรการ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติพะยูนเกยตื้น และหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ประกอบด้วย 1. เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการสำรวจประชากรพะยูนด้วยอากาศยานไร้คนขับชนิดปีกตรึง (Fixed-wings Unmanned Aerial Vehicle: Fixed-wings UAV) และแบบสำรวจการพบเห็นพะยูนให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้ทราบจำนวน พื้นที่การแพร่กระจายที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงสำรวจสุขภาพของพะยูนแต่ละตัวว่ามีความสมบูรณ์ หรือมีอาการป่วย เพื่อหามาตรการช่วยเหลือไม่ให้พะยูนตายจากการขาดอาหาร

2. หาแนวทางประกาศพื้นที่คุ้มครองและบังคับใช้มาตรการ ซึ่งจะเป็นการป้องกันอันตราย จากการประกอบกิจกรรมในทะเล ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อพะยูนที่เข้ามาอาศัย จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การออกประกาศพื้นที่คุ้มครองพะยูนชั่วคราว ซึ่งคาดว่าจะประกาศ 3 จุด ประกอบด้วย หน้าหาดราไวย์ อ่าวบางโรง และอ่าวบางขวัญ ซึ่งเป็นจุดที่พบพะยูนจำนวนมาก โดยจะต้องมีการหารือในรายละเอียดกับภาคส่วนต่าง ๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะมีการประกาศออกไป

3. ค้นหาและช่วยเหลือพะยูนที่ยังมีชีวิตและอ่อนแอ โดยเร่งฟื้นฟูแหล่งอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พะยูนอพยพย้ายถิ่น ตลอดจนกำหนดแผนงานในระยะเร่งด่วนที่จะเพิ่มอาหารให้กับพะยูนในธรรมชาติ และดูแลพะยูนที่ผอมเป็นพิเศษโดยการเสริมอาหารทดแทนหญ้าทะเลในธรรมชาติในพื้นที่ จ.ตรัง และ จ.ภูเก็ต รวมถึงศึกษาแนวทางการกั้นคอกเพื่อดูแลพะยูนที่มีสภาพร่างกายอ่อนแอในธรรมชาติ พร้อมทั้งพัฒนาและเตรียมความพร้อมของศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากจังหวัดตรัง และศูนย์ช่วยชีวิตสิรีธาร จ.ภูเก็ต

และ 4. เตรียมบ่อกุ้งร้างหรือสถานที่เพื่อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์หญ้าทะเลร่วมกับภาคเอกชนและชุมชน พร้อมทั้งเร่งศึกษานวัตกรรมการฟื้นฟูหญ้าทะเลในธรรมชาติ

นอกจากนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์พะยูน และเสนอของบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เป็นจำนวนเงิน 615,163,000 บาท เพื่อใช้ในการดำเนินงานกิจกรรมอนุรักษ์พะยูนและแหล่งหญ้าทะเล
ความคืบหน้าการดำเนินงานแก้ไขปัญหาวิกฤติพะยูนเกยตื้นและแหล่งหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ทช. ได้ดำเนินการช่วยเหลือพะยูนที่ยังมีชีวิตด้วยวิธีการใช้อาหารเสริมแทนหญ้าทะเล โดยมีการดำเนินงานในพื้นที่สะพานราไวย์ ต.ราไวย์, อ่าวตังเข็น ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต, ด้านหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เกาะลิบง จ.ตรัง, อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง และพื้นที่บางขวัญ จ.พังงา รวมทั้ง จัดเตรียมคอกอนุบาลในทะเล สำหรับดูแลพะยูนที่ป่วยและไม่แข็งแรง ซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลและการดำเนินการต่อไป

พร้อมกับเร่งฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลในพื้นที่ จ.พังงา บริเวณ เกาะหมากน้อย ต.เกาะปันหยี อ.เมืองพังงา พื้นที่ 15 ไร่ และดำเนินในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการฟื้นฟูหญ้าทะเล เพื่อนำมาวิเคราะห์ความเหมาะสมของพื้นที่ก่อนการย้ายปลูกหญ้าทะเลต่อไป

ขณะเดียวกัน มีการประกาศพื้นที่คุ้มครองและบังคับใช้มาตรการ พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล พื้นที่เฝ้าระวังพะยูนและคุ้มครองแหล่งหญ้าทะเล 13 แห่ง รวมทั้ง ได้ออกประกาศขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชน เครือข่ายประมงพื้นบ้าน ประมงพาณิชย์ องค์กรภาคเอกชน เครือข่ายจิตอาสาประชาสังคม ร่วมกันดูแล เฝ้าระวัง และป้องกันผลกระทบต่อพะยูนในพื้นที่ชายฝั่ง

พะยูนมีเชือกพันครีบหางทั้ง 2 ข้าง บริเวณเกาะลิบง
นอกจากนี้ ในส่วนของการอนุรักษ์ท้องทะเลไทยยังได้รับความร่วมมือจาก กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนในทะเลอ่าวไทย ประจำปี 2568 (ปิดอ่าวไทย) ใน 2 ช่วงเวลาต่อเนื่องกัน ได้แก่ ช่วงที่ 1 คือ วันที่ 15 ก.พ. – 15 พ.ค. 2568 กำหนดมาตรการปิดอ่าวไทยตอนกลาง ตั้งแต่ปลายแหลมเขาม่องไล่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถึง อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี โดยเพิ่มเติมรายละเอียดการอนุญาตให้ใช้เครื่องมือประมงบางชนิด

และช่วงที่ 2 คือ วันที่ 16 พ.ค. – 14 มิ.ย. 2568 กำหนดมาตรการปิดอ่าวไทยตอนกลางและเขตต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายแหลมเขาม่องไล่ จ. ดประจวบคีรีขันธ์ ถึง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมทั้งได้ออกประกาศกรมประมงเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนครอบคลุมรายละเอียดด้านเครื่องมือและอุปกรณ์การทำประมง ตลอดจนมาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

สำหรับมาตรการ “ปิดอ่าวไทย”  เป็นมาตรการสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ในฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ และการบริหารจัดการทรัพยากรประมงให้เกิดความยั่งยืน

หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีความผิดตามตามมาตรา 70 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต้องระวางโทษ ปรับตั้งแต่ 5,000 บาทถึง 30 ล้านบาท โดยขึ้นอยู่กับขนาดของเรือประมง หรือปรับจำนวน 5 เท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมงแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า และต้องได้รับโทษทางปกครองอีกด้วย

 ประเด็นการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากเป็นเรื่องระดับชาติที่รัฐบาลไทยตระหนักให้ความสำคัญ แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากการกำหนดมาตรการเชิงนโนบาย ความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนชาวบ้านในพื้นที่ชายฝั่ง ปัจจัยทางธรรมชาตินับเป็นอุปสรรคสำคัญในการส่งเสริมอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากของไทย 


กำลังโหลดความคิดเห็น