xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

วิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน (28): “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ค.ศ. 1680” การสถาปนาอำนาจนำของราชาธิปไตย (the Primacy of Monarchy)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพเหมือนพระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดขณะทรงม้า (ภาพ : วิกิพีเดีย)
คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร


ในตอนก่อนๆ ผู้เขียนได้กล่าวถึงกรอบแนวคิดในการทำความเข้าใจ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดน” และเค้าโครงของประวัติศาสตร์ของกฎหมายในฐานะที่เป็นกรอบกติกาการปกครองหรือ “รัฐธรรมนูญ” รวมทั้งโครงสร้างทางสังคมของสวีเดนก่อนการสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในช่วง ค.ศ. 1680 ไปบางส่วน

ในตอนนี้จะขอกล่าวต่อไปจากประเด็นความขัดแย้งต่อนโยบายเวนคืนไปสู่ความขัดแย้งเห็นต่างในเรื่องพระราชอำนาจในการออกกฎหมายและพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ

หลังจากที่  พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ด  ทรงสามารถใช้พระราชอำนาจโดยจะรับหรือไม่รับคำปรึกษาแนะนำจากสภาบริหารก็ได้ โดยแล้วแต่พระองค์จะเห็นสมควร พระองค์ทรงเริ่มใช้พระราชอำนาจในการปฏิรูปกองกำลังของประเทศทันที โดยในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1680 นั่นเอง พระองค์ได้ทรงโปรดให้   Hans Wachtmeister  ไปดูแลการปฏิรูปกิจการของกองทัพเรือ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อม-สร้างและการตั้งฐานทัพเรือขึ้นใหม่ในทางตอนใต้

นอกจากนั้น ก่อนหน้านี้ Hans Wachtmeister ได้ปฏิบัติการทางการเมืองที่ในที่สุดได้ส่งผลให้เกิด  the Declaration of the Estates  และหลังจากนั้น เขาก็ได้ใช้เวลาตลอดรัชสมัยในการดูแลกิจการกองทัพเรือให้พระองค์
นอกจากนี้ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดได้ทรงลงไปดูแลการบริหารจัดการกองทัพโดยตรงด้วยพระองค์เองเกือบทั้งหมด พระองค์ทรงไปทำหน้าที่ที่เคยเป็นภารกิจของ สถาบันการสงคราม (War College)  เกือบทั้งหมด จนสถาบันนั้นแทบจะไม่เหลือหน้าที่อะไรให้ทำเลย พระองค์ทรงออกคำสั่งให้นายพันผู้คุมกองกำลังทั้งหมดต้องรายงานโดยตรงต่อพระองค์ และให้ผู้ดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายของกองกำลังรายงานต่อไปยัง  สำนักพระราชวัง (the Chamber) และทรงเข้าไปกำกับดูแลจัดการในเรื่องการแต่งตั้ง การเลื่อนตำแหน่งและการปลดประจำการด้วยตัวพระองค์เอง

แม้ว่าจะไม่ได้มีการยกเลิกสถาบันการสงคราม แต่ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1680 ได้มีการออกกฎระเบียบใหม่ และปรับเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งและยกเลิกความเป็นอิสระในการดำเนินการทั้งหมดของสถาบันสงครามไป

พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดทรงเข้าควบคุมกองทัพโดยผ่านการควบคุมงบประมาณทางการทหาร และการควบคุมงบประมาณการทหารทำให้พระองค์ทรงสามารถควบคุมกองทัพได้อย่างแท้จริง นอกเหนือไปจากการที่พระองค์เข้าไปบริหารจัดการกองทัพแทนสถาบันสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการให้นายทหารยศนายพันผู้คุมกองกำลังทั้งหมดต้องรายงานโดยตรงต่อพระองค์ และให้ผู้ดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายของกองกำลังรายงานต่อไปยังสำนักพระราชวัง และทรงดูแลการแต่งตั้ง การเลื่อนตำแหน่งและการปลดประจำการด้วยตัวพระองค์เอง

และด้วยเหตุนี้ การปฏิรูปการคลังแผ่นดินจึงเป็นสิ่งที่พระองค์จะต้องทรงทำควบคู่กันไปทันทีใน  การปฏิรูปการคลัง ในวันที่ 11 ธันวาคม 1680 หนึ่งวันก่อนจะมีการประกาศ the Declaration of the Estates  พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้เสนาบดีกระทรวงการคลังจัดตั้ง  สำนักงานการคลัง (statskontoret)  ขึ้น และให้ทำงานประสานกับสำนักพระราชวัง โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมาธิการการคลังที่มีความเป็นอิสระ สำนักงานการคลังทำหน้าที่ควบคุมการใช้งบประมาณแผ่นดินทั้งหมด

โดยต้องร่างแผนงบประมาณประจำปีที่พระมหากษัตริย์จะทรงลงนามในแต่ละปี การควบคุมดังกล่าวนี้ถือเป็นการควบคุมไม่ให้เกิดการใช้จ่ายเกินงบประมาณไม่ว่าในสถานการณ์ใด รวมทั้งผูกพันการใช้งบประมาณของพระมหากษัตริย์ด้วย และถ้าพระองค์มีพระบรมราชโองการอะไรที่ขัดกับแผนงบประมาณก็จะถือว่าเป็นโมฆะ ด้วย  “พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชปณิธานอย่างแรงกล้าที่ไม่ให้พระองค์ทรงทำอะไรที่เกินขอบเขต” 

และด้วยเหตุนี้เองที่พระองค์ทรงให้คณะกรรมาธิการการคลังมีความเป็นอิสระ ดังนั้นการปฏิรูประบบการคลังให้เข้มแข็งมีวินัยและมีประสิทธิภาพได้กลายเป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุดในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเบ็ดเสร็จทั้งหมด
นอกจากการวางระบบการคลังให้มีวินัยและประสิทธิภาพและคงไว้ซึ่งความอิสระแล้ว ภารกิจสำคัญต่อมาคือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง หรือการหาเงินเข้าคลังแผ่นดินนั่นเอง

นั่นคือ  การเวนคืนทรัพย์สินที่เคยเป็นของพระมหากษัตริย์ (Reduktion) 

 สภาขุนนางของสวีเดน (ภาพ : วิกิพีเดีย)
ในการเวนคืนนี้ มีการริเริ่มอยู่สองประการ (แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่า ใครหรือองค์กรสถาบันใดเป็นผู้ริเริ่ม) นั่น คือ

 หนึ่ง  ให้มีการตั้ง  คณะกรรมาธิการการเวนคืน (the Reduktiion Commission) ขึ้น โดยให้  สภาอภิชน (the Riddarhus)  เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการชุดนี้ เพื่อทำหน้าที่ออกกฎหมายเวนคืนขึ้นมาใหม่ ผู้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการดังกล่าวที่มีบทบาทสำคัญ คืออภิชนระดับล่าง (Class III nobles) อาทิ U. Bonde, Jakob Fleming, Erik Lindschold และ Jakob Gyllenborg 

และ  Claes Fleming  ผู้เคยดำรงประธานสภาอภิชนก่อนหน้านี้ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการโดยกำหนดให้คณะกรรมาธิการการเวนคืนมีหน้าที่ที่จะการตรวจหาและเวนคืนทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ แม้ว่าตอนแรกคาดว่า ภารกิจนี้จะเสร็จสิ้นภายในหนึ่งปี คือ ค.ศ. 1681 แต่ปรากฏว่าไม่สามารถปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นได้จนถึงปี ค.ศ. 1697 ที่พระเจ้าชาร์ลสที่สิบเอ็ดเสด็จสวรรคตแล้วก็ตาม

 สอง จัดตั้ง  คณะตุลาการ (tribunal) เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบเอาผิดและกำหนดการยึดทรัพย์สินจากสมาชิกในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ใช้งบประมาณแผ่นดินไปเป็นจำนวนมหาศาลอย่างไม่ถูกต้องในช่วงที่ทำหน้าที่รักษาราชการแทนพระองค์ระหว่าง ค.ศ. 1660-1672 และเพื่อให้การตรวจสอบและเวนคืนนี้มีประสิทธิภาพที่จะสามารถเวนคืนทรัพย์สินที่เสียไปอย่างไม่ถูกต้องอย่างครบถ้วน

การตรวจสอบจึงไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น แต่ยังคลอบคลุมถึงสภาบริหารด้วย เพราะตามบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์บริหารราชการแผ่นดินตามคำแนะนำของสภาบริหาร และยังอาจรวมถึงเจ้าหน้าที่ข้าราชการของสถาบันองค์กรอื่นๆ ที่ให้คำแนะนำต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วย และภารกิจของคณะตุลาการนี้จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นระหว่าง ค.ศ. 1681-1682

 กล่าวได้ว่า หากการทำหน้าที่ของคณะตุลาการนี้สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์ ย่อมจะนำมาซึ่งการสูญเสียซึ่งอำนาจ เศรษฐกิจ การเมืองและสังคมของพวกอภิชนอย่างร้ายแรง ในตอนต่อไปจะได้กล่าวถึง การยึดทรัพย์สินอดีตคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และสภาบริหารที่ฉ้อฉลงบประมาณแผ่นดิน 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


กำลังโหลดความคิดเห็น