"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
บราวน์ยังได้เขียนเกี่ยวกับประเด็น “ภาพลวงตาของผู้นำที่แข็งแกร่งในนโยบายต่างประเทศ” ของผู้นำที่มีอำนาจสูง โดยเฉพาะผู้นำที่มีลักษณะเผด็จการหรือใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ และชี้ให้เห็นว่าผู้นำเหล่านี้มักมีแนวโน้มที่จะมองโลกในแง่เดียว เชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของตนเองอย่างสุดโต่ง และละเลยข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดพลาดในนโยบายต่างประเทศที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ
หนึ่งในลักษณะสำคัญของภาพลวงตานโยบายต่างประเทศคือ “ความมั่นใจในตนเองอย่างเกินขอบเขต” (Overconfidence) ผู้นำที่แข็งแกร่งมักเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถจัดการกับปัญหาระหว่างประเทศได้เพียงลำพัง โดยไม่ต้องการคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา
ตัวอย่างเช่น ฮิตเลอร์ที่ตัดสินใจบุกสหภาพโซเวียตในปี 1941 โดยไม่ฟังคำเตือนเกี่ยวกับความยากลำบากของการทำสงครามในฤดูหนาว ซึ่งนำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงของกองทัพเยอรมัน
ลักษณะเด่นอีกประการคือ “การมองโลกในแง่ของเรากับพวกเขา” (Us vs. Them) ผู้นำแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จมักสร้างภาพของศัตรูที่ชัดเจน เพื่อรวบรวมการสนับสนุนภายในประเทศและสร้างความชอบธรรมในการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ก้าวร้าว
ตัวอย่างเช่น โจเซฟ สตาลิน อดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต ที่สร้างความหวาดระแวงต่อโลกตะวันตก และใช้ความกลัวนี้ในการควบคุมประชาชนและขยายอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในยุโรปตะวันออก
นอกจากนี้ ผู้นำที่แข็งแกร่งยังมัก “เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตนเอง” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาพลวงตาที่อันตราย
ตัวอย่างเช่น จอร์จ ดับเบิลยู บุช ในการตัดสินใจบุกอิรักในปี 2003 โดยใช้ข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction - WMD) ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด นำไปสู่สงครามที่ยืดเยื้อและความไม่มั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ยิ่งกว่านั้น ผู้นำที่แข็งแกร่งบางคนอาจใช้ “ความรุนแรงหรือการคุกคามทางทหารเป็นเครื่องมือหลัก” (Militaristic Approach)” โดยเชื่อว่าการใช้อำนาจทหารสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศได้
ตัวอย่างเช่น วลาดิมีร์ ปูติน ในการบุกประเทศยูเครน การผนวกแคว้นไครเมียและการแทรกแซงซีเรีย ผู้นำเหล่านี้มักมองว่าการแสดงออกถึงความแข็งแกร่งจะช่วยสร้างความเคารพและป้องปรามศัตรูได้ แต่กลับนำไปสู่ความขัดแย้งและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากประชาคมระหว่างประเทศ
ภาพลวงตาในนโยบายต่างประเทศของผู้นำที่แข็งแกร่งอาจส่งผลกระทบในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น “ความขัดแย้งและสงคราม” เช่น สงครามอิรัก (2003) หรือการรุกรานยูเครนของรัสเซีย (2022) ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิตประชาชนและเสถียรภาพของโลก
หรือ “การสูญเสียความเชื่อมั่นของประชาชน” เช่น กรณีของโทนี่ แบลร์ ในสหราชอาณาจักรหลังสงครามอิรัก ซึ่งทำให้พรรคแรงงานสูญเสียคะแนนนิยมอย่างมาก
นอกจากนี้ นโยบายต่างประเทศที่ผิดพลาดยังอาจนำไปสู่ “ความเสียหายทางเศรษฐกิจ” เช่น รัสเซียที่เผชิญกับการคว่ำบาตรจากสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาหลังการผนวกแคว้นไครเมีย และ “ความโดดเดี่ยวทางการทูต” เช่น คิม จอง อึนผู้นำเกาหลีเหนือ ที่ใช้การคุกคามนิวเคลียร์แต่กลับทำให้ประเทศขาดการเชื่อมโยงกับประชาคมระหว่างประเทศ
ผู้นำที่แข็งแกร่งมักมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียกว่า “ผู้นำบารมี” ในเรื่องนี้บราวน์ชี้ให้เห็นว่า บริบททางสังคมและสภาวการณ์ของประเทศมีบทบาทสำคัญในการสร้าง “ผู้นำบารมี” (Charismatic Leaders) โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สังคมต้องเผชิญกับปัญหาหรือความท้าทายอย่างหนัก เช่น ภาวะสงคราม วิกฤตเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนผ่านระบบการปกครอง ผู้นำเหล่านี้มักจะก้าวขึ้นมาเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้กอบกู้หรือผู้นำทางออกของสังคม ด้วยการนำเสนอวิสัยทัศน์และความมั่นใจที่สามารถดึงดูดและสร้างความหวังให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงเวลาที่สังคมเผชิญกับวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางการเมือง หรือภัยคุกคามจากภายนอก ผู้นำบารมีและอำนาจสูงมักจะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการนำพาสังคมไปสู่ทิศทางใหม่ ๆ ผู้นำเหล่านี้มักใช้ความสามารถในการสื่อสาร บุคลิกภาพที่น่าดึงดูด และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความหวังให้กับประชาชน โดยการเชื่อมโยงกับความรู้สึกและความต้องการของคนทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ผู้นำบารมีและอำนาจสูงปรากฏในช่วงวิกฤต คือ “ความต้องการของประชาชน” เมื่อผู้คนรู้สึกไม่มั่นคงหรือขาดความเชื่อมั่นในระบบเดิม พวกเขามักมองหาผู้นำที่สามารถให้ความหวังและนำพาสังคมไปสู่ทางออกใหม่ ๆ เช่น โอบามา ที่ใช้สโลแกน “Hope” และ “Change” ในการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2008 ซึ่งสามารถดึงดูดผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงหลังจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
ผู้นำเช่นนี้สามารถใช้การพูดและบุคลิกภาพเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาสามารถสะท้อนความรู้สึกและความต้องการของสังคมได้อย่างชัดเจน
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ “ช่องว่างของอำนาจ (Power Vacuum)W ในบางกรณี เมื่อระบอบการปกครองเดิมล่มสลายหรือผู้นำก่อนหน้าไม่สามารถบริหารจัดการวิกฤตได้สำเร็จ จะเปิดโอกาสให้ผู้นำใหม่ที่มีอำนาจสูงเข้ามามีบทบาท เช่น ฮิตเลอร์ ที่ขึ้นมามีอำนาจในเยอรมนีหลังวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 1920 โดยใช้ความไม่พอใจของประชาชนต่อสนธิสัญญาแวร์ซายส์ (Treaty of Versailles) และปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างภาพลักษณ์ของตนเองว่าเป็นผู้กอบกู้ชาติ ผู้นำเช่นนี้สามารถใช้ความไม่พอใจและความสิ้นหวังของสังคมเป็นโอกาสในการสร้างฐานอำนาจและขยายบทบาทของตนเอง
“การสร้างภาพลักษณ์และการใช้สื่อ” ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ผู้นำบารมีใช้ในการสร้างความเชื่อมั่นและอิทธิพลต่อประชาชน ผู้นำเหล่านี้มักมีทักษะในการใช้สื่อและการสื่อสารเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของตนเองให้ดูเป็นผู้กอบกู้หรือผู้ปลดปล่อย เช่น จอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่ใช้โทรทัศน์ในการหาเสียงและสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำที่ทันสมัยและมีเสน่ห์
การปรากฏตัวของ เคนเนดี ในการดีเบตทางโทรทัศน์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์กับ ริชาร์ด นิกสันในปี 1960 ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้ภาพลักษณ์ผ่านสื่อ ทำให้ เคนเนดีได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามจากประชาชน การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีผ่านสื่อสามารถช่วยให้ผู้นำได้รับความเชื่อมั่นแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
นอกจากนี้ ผู้นำบารมียังสามารถ “ใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการสร้างอำนาจ” โดยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการขยายอำนาจและสร้างความชอบธรรมในการดำเนินนโยบาย ตัวอย่างเช่น วินสตัน เชอร์ชิลล์ ที่สามารถใช้ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในการนำประเทศอังกฤษด้วยภาพลักษณ์ของความกล้าหาญและความมุ่งมั่นในการปกป้องชาติ เขาใช้การปราศรัยที่ทรงพลังและการสื่อสารผ่านวิทยุเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนอังกฤษที่เผชิญกับการโจมตีของนาซีเยอรมัน
ผู้นำเช่น เชอร์ชิลล์ ไม่เพียงแต่รักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในช่วงวิกฤต แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและทรงพลังในระดับโลก
ผู้นำบารมีและอำนาจสูงมักจะปรากฏในช่วงเวลาที่สังคมต้องการการเปลี่ยนแปลงและความหวังใหม่ ๆ พวกเขาสามารถใช้วิกฤตเป็นเวทีในการสร้างอิทธิพลและความชอบธรรมทางการเมือง ผ่านการใช้สื่อ การสร้างภาพลักษณ์ และการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างชาญฉลาด อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจและบารมีเหล่านี้ควรดำเนินการด้วยความรับผิดชอบและคำนึงถึงหลักการประชาธิปไตย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือกลายเป็นการปกครองแบบเบ็ดเสร็จในที่สุด
อย่างไรก็ตาม แม้มีผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าผู้นำที่แข็งแกร่งและผู้นำบารมีที่มีความเด็ดขาดในการใช้อำนาจคือคำตอบของความสำเร็จในการนำพาประเทศฝ่าวิกฤติและสร้างความเจริญรุ่งเรือง
แต่บราวน์กลับให้ภาพที่แตกต่างออกไป บราวน์ชี้ให้เห็นว่าผู้นำที่แท้จริง มีประสิทธิภาพ และสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิผลและมีความยั่งยืนแก่ประเทศนั้น ไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงความแข็งแกร่งด้วยการใช้อำนาจที่เด็ดขาดหรือการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง แต่กลับเป็นผู้นำที่สามารถทำงานร่วมกับทีม เปิดรับความคิดเห็น และนำพาองค์กรหรือประเทศไปสู่ความสำเร็จด้วยท่าทีที่ถ่อมตน ลักษณะที่สำคัญของผู้นำแบบนี้ประกอบด้วย การใช้ภาวะผู้นำแบบร่วมมือ การรับฟังความคิดเห็นและปรับตัว การแสดงบทบาทเป็นผู้สนับสนุน การยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย การแก้ปัญหาด้วยความรอบคอบ และการสร้างความยั่งยืนและความสามัคคีในสังคม
ผู้นำแบบร่วมมือ (Collaborative Leader) ถือเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่สำคัญ ผู้นำประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีมมากกว่าการตัดสินใจเพียงลำพัง การเปิดโอกาสให้สมาชิกทีมได้แสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะจากผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษา ช่วยให้การตัดสินใจมีความรอบคอบและลดความเสี่ยงจากการมองปัญหาในมุมแคบ ตัวอย่างเช่น อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ที่สามารถรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการหาฉันทามติและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป
นอกจากการร่วมมือแล้ว ผู้นำที่น่าพึงปรารถนายังต้องมีความสามารถใน การรับฟังและปรับตัว (Adaptive Leadership) การยอมรับเมื่อสิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ถูกต้องและพร้อมที่จะเปลี่ยนทิศทางถือเป็นจุดแข็งที่หาได้ยากในผู้นำที่ยึดมั่นในความเชื่อของตนเอง ตัวอย่างเช่น แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) ที่กล้าปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจเมื่อนโยบายนิวดีล (New Deal) บางส่วนไม่ประสบความสำเร็จในช่วงแรก นี่คือคุณสมบัติของผู้นำที่ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตด้วย
ผู้นำที่ดีไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่สั่งการ แต่ควรทำหน้าที่เป็น ผู้สนับสนุน (Facilitator) ด้วย การสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและเอื้อต่อการแสดงความคิดเห็นของทีมงาน ช่วยให้สมาชิกทีมรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การสนับสนุนเช่นนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน แต่ยังทำให้ทุกคนมุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวกัน สร้างพลังร่วมที่เข้มแข็งและสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างมั่นคง
ผู้นำที่น่าพึงปรารถนายังต้องยึดมั่นใน หลักการประชาธิปไตย (Democratic Principles) ด้วยการทำงานภายใต้กรอบของกฎหมายและระบบการตรวจสอบ (Checks and Balances) การใช้อำนาจอย่างโปร่งใสและให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขตและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม
ตัวอย่างของการนำหลักการนี้ไปใช้ได้อย่างชัดเจนคือ เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) ที่ใช้แนวทางปรองดอง (Reconciliation) เพื่อรวมกลุ่มต่าง ๆ ในแอฟริกาใต้ สร้างความสามัคคีและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม
ในมุมมองของการแก้ปัญหา ผู้นำที่ดีควรมุ่งเน้น การแก้ปัญหาด้วยความรอบคอบ (Pragmatic Problem Solving) มากกว่าการใช้ความรุนแรงหรืออำนาจเด็ดขาด โดยเฉพาะในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ การหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่ขาดการตรวจสอบและขาดความรอบคอบช่วยลดความเสี่ยงจากการสร้างความขัดแย้งหรือความเสียหายระยะยาว การใช้วิธีการทางการทูตและการเจรจาแทนการแสดงอำนาจผ่านการทหารหรือการบังคับจึงเป็นแนวทางที่ผู้นำในระบบประชาธิปไตยควรยึดถือ
เมื่อมองไปยังอนาคต ผู้นำที่มีคุณสมบัติครบถ้วนควรสามารถ สร้างความยั่งยืนและความสามัคคี (Sustainable & Unifying Leadership) ได้ ไม่ใช่เพียงแต่แก้ปัญหาในระยะสั้น แต่ต้องสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับองค์กรหรือประเทศ เพื่อให้ความสำเร็จสามารถดำเนินต่อไปได้ในระยะยาว ตัวอย่างเช่น แนวทางของแมนเดลาที่มุ่งเน้นการปรองดองและการสร้างความเท่าเทียมในสังคม ทำให้แอฟริกาใต้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและสร้างสังคมที่มีความหลากหลายและสามัคคี
กล่าวโดยสรุปผู้นำที่น่าพึงปรารถนาไม่ใช่เพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่เปี่ยมด้วยบารมีเสมอไป หากแต่ควรเป็นผู้ที่เปิดรับความคิดเห็น ทำงานร่วมกับทีม มีความถ่อมตนและยอมรับข้อผิดพลาด ปฏิบัติตามหลักการประชาธิปไตย และมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนและความสามัคคีในระยะยาว ผู้นำเช่นนี้จะสามารถนำพาองค์กรหรือประเทศไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน และสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ตามได้อย่างแท้จริง