เป็นประโยคแรกที่ปธน.คนที่ 47 (และที่ 45) โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเปิดคำปราศรัยต่อสองสภาร่วม (สภาผู้แทนและวุฒิสภา) นับเป็นการกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรกต่อสภาร่วมทั้งสอง หลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 20 มกราคม (43 วันที่ผ่านมา)...โดยได้รับเสียงปรบมือชื่นชมจากครึ่งหนึ่งของสภาฯ (สส. 219 เสียงเป็นรีพับลิกัน-ขณะที่เดโมแครตและอิสระได้ สส. 215 เสียง...ขณะที่ สว.รีพับลิกันมี 53 เสียง เดโมแครตและอิสระมี 47 เสียง) ที่นั่งอยู่ด้านขวามือของห้อง ขณะที่ฝ่ายเดโมแครตนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของห้องตะโกนโห่ไม่พอใจหลายครั้งตลอดคำปราศรัย
เป็นคำปราศรัยที่ทรัมป์ได้ทุ่มสุดๆ เพื่อแสดงถึงความสำเร็จใน 40 วันที่เขาได้เพิ่งเข้ามา กับนโยบายภายในประเทศที่ได้จัดระเบียบต่างๆ ให้เข้าร่องเข้ารอย โดยได้เลิกระบบ D.E.I. ที่เขากล่าวว่า เป็นการจ้างงานเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ใช้ปัจจัยด้านความหลากหลายทางเพศสภาพ, ชาติพันธุ์, สีผิว เป็นตัวตัดสินมากกว่าความเก่งกาจสามารถที่พิสูจน์ได้...เขาภูมิใจที่สามารถโละเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลางได้มหาศาล ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายซึ่งการปรับลดขนาดหน่วยงานรัฐบาลนั้น เพราะมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่มีจริง แต่เป็นการกุขึ้นมากมายและไม่มีการตรวจสอบจัดระเบียบ และเขายกเครดิตให้กับที่ปรึกษาคนสำคัญของเขาคือ นายอีลอน มัสก์ (ซึ่งตัวเขาเองก็ได้โละพนักงานของบริษัทสื่อทวิตเตอร์ออกถึง 90% เมื่อเขาเข้าซื้อกิจการ และเปลี่ยนมาเป็น X)
ทรัมป์ได้พูดยกตนข่มท่าน โดยยกความไร้ประสิทธิภาพเทอะทะของระบบราชการที่เกิดขึ้นจากความไร้ความสามารถในการบริหารของอดีตปธน.ไบเดน... โดยเฉพาะเรื่องข้าวของสินค้าราคาแพงจนเงินเฟ้อสูง โดยเฉพาะเรื่องราคาของไข่ไก่ (สด) ที่ขณะนี้ราคาสูงมาก...ทรัมป์บอกว่าเป็นเพราะไบเดนทำให้ไข่ราคาสูงมาก และเขาต้องรับมรดกนี้มา.. .ทั้งๆ ที่ความจริงเขาเคยให้คำสัญญาเอาไว้ในช่วงก่อนลงคะแนนเลือกตั้งว่า เขาสามารถทำให้ข้าวของสินค้าจำเป็นประจำวันนี้สามารถมีราคาลดลงได้อย่างเฉียบพลัน ในทันทีที่เขาได้เข้าทำเนียบขาว แต่ปรากฏว่า ราคาไข่ไก่กลับสูงขึ้นมากในช่วง 50 วันที่ผ่านมา (ใบละประมาณ 15 บาท) เพราะไข้หวัดนกระบาดในเร็วๆ นี้ และต้องฆ่ากำจัดไก่จำนวนหลายล้านตัวทำให้มีปริมาณไข่ในตลาดไม่พอกับความต้องการ
ตลอด 90 นาทีของคำปราศรัย ที่เขาโยนความผิดไปให้รัฐบาลไบเดนทั้งหมดทุกๆ เรื่อง)...เขาให้เวลาพูดด้านเศรษฐกิจแค่ไม่ถึง 20% เพราะเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาสินค้าพวกอาหารการกินที่พุ่งสูงขึ้นมาก
เรื่องภาษีนำเข้าสินค้าก็อธิบายว่า เพราะรัฐบาลก่อนๆ (โดยเฉพาะจากพรรคเดโมแครต) ได้ยอมปล่อยให้แทบทุกประเทศทั่วโลกเอาเปรียบสหรัฐฯ โดยคิดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สูงลิ่ว (หลายแห่งคิดภาษีสูงถึง 100% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ) ขณะที่สหรัฐฯ คิดภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ ในอัตราภาษีที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน...ดังนั้น เขาจะไม่ยอมเสียเปรียบทั้งโลกอีกต่อไป...จึงตอบโต้ด้วยอัตราภาษีนำเข้าที่สูงเท่ากับที่ประเทศต่างๆ ได้คิดกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 2 เมษายนนี้...ทั้งๆ ที่มีเสียงต่อต้านจากนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์เศรษฐกิจชั้นนำจำนวนมาก โดยมองว่า ประชาชนชาวอเมริกันจะต้องซื้อสินค้าจำเป็นที่นำเข้าเหล่านี้ด้วยราคาแพงขึ้นแน่นอน แม้แต่บทบรรณาธิการของนสพ.วอลล์สตรีทก็เขียนว่า เป็นความคิดที่ “Dumb” หรือโง่เขลาอย่างยิ่ง จะยิ่งซ้ำเติมเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง...และจะทำให้ธนาคารกลางไม่สามารถลดดอกเบี้ยมาตรฐานลงได้
ด้านการปราบผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายทางชายแดน ทรัมป์ก็ภาคภูมิใจว่า เขาทำให้ตัวเลขคนแอบเข้าเมืองสามารถลดวูบลงไปอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ซึ่งการลดค่าใช้จ่ายจากการปลดโละเจ้าหน้าที่รัฐออก ก็สามารถนำเงินที่ลดนี้มาเพื่อประสิทธิภาพการป้องกันการลักลอบเข้าเมืองที่ชายแดน
แต่เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการเนรเทศครั้งใหญ่กับผู้ลักลอบเข้าเมือง และไม่มีใบอนุญาตเข้าเมือง เพราะเป็นเรื่องที่ภาคธุรกิจไม่ว่าในด้านสินค้าเกษตร รวมทั้งการก่อสร้างจะได้รับผลกระทบทางลบอย่างยิ่ง เพราะจะขาดคนงานจำนวนมหาศาล ยิ่งทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคและราคาบ้านจะยิ่งสูงขึ้นนั่นเอง
2 วัน (จันทร์และอังคาร) ก่อนคำปราศรัยนี้ หุ้นในตลาด 3 กระดาน ทั้งดาวโจนส์, แนสแด็ก, เอสแอนด์พี ดิ่งอย่างมโหฬารตอบรับต่อการประกาศสงครามการค้าที่ขึ้นภาษีนำเข้า (tariffs) ถึง 25% กับทุกประเทศ และกับจีนถึง 20%...ทำให้หุ้นกลุ่มค้าปลีกดิ่งสุดๆ พร้อมๆ กับยักษ์ทั้ง 7 (Mag 7) ก็ดิ่งมากด้วย เพราะต้นทุน Chips จากต่างประเทศจะโดนภาษีนำเข้ามโหฬาร...ขนาดนักวิเคราะห์บางคนแนะให้เข้าซื้อหุ้นที่จะโดนกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้อย่างน้อยสุด-ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสาธารณูปโภคน้ำ, ไฟ แต่นักลงทุนก็ยังขยาดที่จะเข้าไปช้อนซื้อ แม้แต่คำแนะนำให้เข้าซื้อหุ้นกลุ่มอสังหา, แต่ราคาบ้านแม้จะขยับสูง (เพราะขาดคนงานหลังถูกเนรเทศใหญ่) แต่เศรษฐกิจทั้งระบบกำลังจะปรับตัวที่แรงซื้อจะลดลงและดอกเบี้ยจะไม่ลง... จะอยู่ในข่าย Stagflation ด้วยซ้ำ...
คำปราศรัยอีก 80% เป็นเรื่องที่ทรัมป์คุยโวถึงการหยุดสงครามที่ยูเครน โดยเพิ่งได้รับจดหมายจากปธน.เซเลนสกี้ ว่ายินดีลงนามในข้อตกลงขายสินแร่ที่จะขุดเจาะพัฒนาร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อทำให้เกิดข้อตกลงหยุดสงครามโดยสหรัฐฯ เป็นผู้ดำเนินการในการหยุดยิงนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทรัมป์น่าจะเล็งรางวัลโนเบลสันติภาพนั่นเอง เพราะเขาพูดซ้ำๆ ว่า เขาต้องทำให้สันติภาพ (ถาวร?) เกิดขึ้นในยูเครนให้ได้
ขณะเดียวกัน ก็จะสร้างอเมริกาให้ปลอดภัยมั่นคงยิ่งขึ้น ด้วยเกาะกรีนแลนด์ที่เขายังย้ำว่า เมื่อชาวกรีนแลนด์ตัดสินใจเป็นอิสระจากเดนมาร์ก...ควรมาอยู่ใต้ปีกของสหรัฐฯ เพื่อความมั่นคงมั่งคั่งยิ่งขึ้น และจะสร้างความมั่นคงให้แก่สหรัฐฯ ยิ่งขึ้นด้วย
พร้อมๆ กับคลองปานามาซึ่งไม่กี่ชั่วโมงก่อนคำปราศรัยของทรัมป์ ทางบริษัทฮัทชิสัน (ของนายลี กาชิง, เศรษฐีชาวฮ่องกง) ก็กำลังพิจารณาขายสัมปทานการบริหารท่าเรือสองแห่งในปานามาให้กับบริษัทแบล็กร็อก (ของสหรัฐฯ และเป็นผู้สนับสนุนหลักของทรัมป์) เพราะเสียงข่มขู่ของทรัมป์ไปยังรัฐบาลปานามาให้เลิกสัมปทานกับฮัทชิสัน...เพราะสหรัฐฯ ประเมินถึงความไม่มั่นคงในการใช้คลองนี้ ตราบที่บริษัทฮ่องกง (ที่อยู่ใต้จีน) เป็นผู้บริหารท่าเรือสำคัญของคลองปานามา
เป็นคำปราศรัยที่ประกาศศักดาความอหังการหยิ่งผยองพองขนของทรัมป์ เพื่อเอาใจสาวก 77 ล้านคนที่ให้คะแนนเลือกเขามา ซึ่งจะต้องติดตามว่าการลงทุนกับคำปราศรัยแรกนี้จะออกดอกผลในการเลือกตั้งกลางเทอมในอีกเพียงปีครึ่งได้มากดังราคาคุยหรือไม่? หรือจะเหมือนเมื่อทรัมป์ 1.0 ที่พรรครีพับลิกันต้องเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนให้แก่เดโมแครต