xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ทุนจีน” ยึดคอนโดมิเนียม ปล่อยเช่าบน “Airbnb” ปัญหาที่ “ภาครัฐ” ไม่เคยใส่ใจ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรณีเครือข่ายทุนจีนกว้านซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทย แล้วนำมาปล่อยเช่าบน Airbnb แพลตฟอร์มแชร์ที่พักที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกนั้น นับเป็นประเด็นใหญ่ เพราะไม่เพียงสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้เช่ารายอื่นๆ หากแต่ยังเป็นการกระทำเย้ยกฎหมายไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ เบื้องหลังการเปิดโปงครั้งนี้ เริ่มต้นจากลูกบ้านของคอนโดมีเนียม “ลุมพินี สวีท เพชรบุรี - มักกะสัน” พบว่ามีการปล่อยเช่าห้องพักให้ชาวต่างชาติโดยไม่มีการควบคุมจากนิติบุคคลของอาคาร และเมื่อสืบสวนเพิ่มเติม พบว่าพฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นในคอนโดฯ หลายแห่งทั่วกรุงเทพฯ

นอกจากนั้น ยังมีการเปิดเผยด้วยว่า บรรดาเจ้าของห้องคนจีนที่ปล่อยเช่า ได้มีการซ่อนคีย์การ์ดไว้ข้างร้านอาหารบ้าง ตามตู้เก็บของบริเวณใกล้ที่พัก หรือตามต้นไม้ ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินมาหยิบเพื่อเข้าคอนโดฯ ไปพักได้สะดวกมากขึ้น

แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือกลุ่มทุนจีนดังกล่าวได้เข้าไปนั่งในตำแหน่งกรรมการนิติบุคคลของคอนโดฯ ทำให้การกำกับดูแลคอนโดฯ เป็นไปตามทิศทางของกลุ่มทุนดังกล่าว เพราะปัจจุบันไม่มีกฎหมายระบุสัดส่วนสัญชาติคณะกรรมการนิติบุคคลของอาคารชุด อีกทั้งยังมีการข่มขู่บริษัทบริหารอาคารและลูกบ้านที่พยายามต่อต้านด้วย

อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า การปล่อยเช่าคอนโดฯ หรือห้องอาคารชุดให้เช่ารายวันผ่านแอปฯ Airbnb ในเมืองไทยเป็นปัญหามาตั้งแต่แพลตฟอร์มนี้เปิดให้บริการเมื่อหลายปี ซึ่งช่วงแรกๆ Host (โฮสต์) หรือ ผู้ปล่อยห้องให้เช่า ส่วนใหญ่เป็นคนไทย แต่ระยะกลุ่มทุนจีนเข้ามาลงทุนกว้านซื้อห้องชุดมากขึ้น

สำหรับอัตราค่าเช่า เท่าที่ได้มีการสำรวจก็แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น คอนโดฯ ย่านพระรามเก้า รูปแบบห้องขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 35 ตร.ม. หากปล่อยเช่าคอนโดรายเดือนทั่วไป อยู่ที่ประมาณ 22,000 บาท/เดือน แต่ห้องขนาดเดียวกันนี้ ถ้าไปปล่อยเช่ารายวัน จะตกอยู่ที่ 1,462 บาท/คืน สมมติมีอัตราการเช่าเต็ม 30 วัน เท่ากับจะทำรายได้ 43,860 บาท/เดือน เป็นต้น

อ้างอิงรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา ผู้มีสัญชาติจีนครองอันดับ 1 ทั้งในด้านจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและมูลค่าการซื้อ โดยจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ชาวต่างชาติมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี และภูเก็ต

รองลงมาคือ อันดับ 2 พม่า จำนวน 1,388 หน่วย อันดับ 3 รัสเซีย จำนวน 1,079 หน่วย อันดับ 4 ไต้หวัน จำนวน 836 หน่วย อันดับ 5 สหรัฐอเมริกา จำนวน 609 หน่วย อันดับ 6 ฝรั่งเศส จำนวน 521 หน่วย อันดับ 7 เยอรมัน จำนวน 446 หน่วย อันดับ 8 สหราชอาณาจักร จำนวน 414 หน่วย อันดับ 9 ออสเตรเลีย จำนวน 293 หน่วย และอันดับ 10 อินเดีย จำนวน 260 หน่วย

ที่น่าสนใจคือ จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้คนพม่าซื้อคอนโดฯ ไทยเพิ่ม 146.1% และตั้งแต่เปิดฟรีวีซ่าให้คนไต้หวัน คนไต้หวันก็มียอดซื้อคอนโดฯ เพิ่ม 57.1% และถ้านับในแง่มูลค่าพบว่า สัญชาติไต้หวันขึ้นเป็นอันดับ 3 แซงสัญชาติรัสเซียไปแล้ว”

นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีมีธุรกิจของคนจีนปล่อยเช่าคอนโดฯ และบ้านจัดสรรในไทยว่า ได้รับการร้องเรียนเยอะมาก ซึ่งนับเป็นความท้าทายใหม่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญ

กล่าวคือ 1.สำหรับโครงการที่จะขายต่อไป ควรจะคุยกับบริษัทเหล่านี้เลยว่า จะมีมาตรการอย่างไร จะมีวิธีการคัดกรองหรือไม่ ถ้ามีกฎหมายที่ต้องแก้ก็ต้องดำเนินการ 2.ส่วนโครงการที่ขายไปแล้ว และมีสภาพการปล่อยเช่าให้ต่างชาติ ต้องบังคับใช้ตามกฎหมายอย่างจริงจัง

ด้าน นายณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ เขต 3 พรรคประชาชน (ปชน.) ระบุว่ามีกฎหมายกำกับอยู่แล้วแต่ปัญหาคือบังคับใช้ไม่ได้ รัฐจำเป็นต้องขันน็อตโดยเฉพาะการจัดการปัญหานอมินีและการกำกับการประกอบธุรกิจของคนต่างชาติในประเทศไทย

ส่วนบรรดาแพลตฟอร์มออนไลน์ให้นักท่องเที่ยว ค้น-จอง-จ่ายนั้น ปัจจุบันก็ยังไม่มีกฎหมายใดๆ มากำกับแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ว่าควรตรวจสอบเอกสารใบอนุญาตอะไรบ้างก่อนที่จะเปิดให้ขายที่พักบนเว็บได้ ดังนั้น การเปิดขายที่พักออนไลน์จึงทำได้ง่ายมากๆ

ขณะที่ สุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ที่จริงแล้วปัญหานำคอนโดฯ มาปล่อยเช่ารายวันแบบผิดกฎหมายเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว และเคยถึงขั้นมีการฟ้องร้องกัน โดยที่ฝ่ายผู้แอบปล่อยเช่ารายวันแพ้คดีไป แต่ไม่ทำให้การประกอบธุรกิจประเภทนี้หายไป เพียงแค่ซาลงบางช่วง เนื่องจาก การปล่อยเช่าคอนโดฯ รายวัน ได้ยีลด์สูง 8-10% ต่อปี เมื่อเทียบกับการปล่อยเช่าคอนโดรายเดือนที่ได้ยีลด์ 3-4% ต่อปี

ส่วนใหญ่ผู้ที่ทำเป็นกลุ่มคนจีน ที่ซื้อคอนโดฯ เพื่อการลงทุนโดยเฉพาะ นิยมทำในพื้นที่พระรามเก้า-ห้วยขวาง ด้านคนไทยก็มีทำบ้างแต่อยู่ในเมืองท่องเที่ยว อาทิ ภูเก็ต เป็นต้น

“หลัก ๆ ที่คนจีนกล้าทำ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในไทย มีการใช้เอเจนต์หรือนายหน้าคนกลางดำเนินการให้ จึงไม่ค่อยกลัวกฎหมาย ส่วนคนไทยทำน้อย เพราะกลัวบทลงโทษทางกฎหมายมากกว่า”สุรเชษฐให้ข้อมูล

ดังนั้น คงต้องติดตามกันว่าภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการจัดการแก้ปัญหาอย่างไร หากเพียงแก้ไขที่ปลายเหตุ เชื่อว่าคงเกิดปัญหาซ้ำๆ เดิมๆ ขึ้นอีก.


กำลังโหลดความคิดเห็น