ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรียกว่าดุเดือดเลือดพล่านเลยทีเดียวสำหรับการฟาดฟันระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคภูมิใจไทย” เพราะ “ความวัว” เรื่องสนามกอล์ฟเขาใหญ่ยังไม่ทันหาย ก็เกิด “ความควาย” ต่อเนื่องกับการเดินเกมทุบ “สว.สีน้ำเงิน” ที่จู่ๆ ก็มีสมาชิกวุฒิสภา(สว.) สำรอง 30 คนไปยื่นร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้เข้ามาตรวจสอบที่มาของ สว.ชุดปัจจุบัน ซึ่งถูกมองว่ามีความสัมพันธ์กับ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” และมีเส้นทางเข้าข่าย “ฮั้ว” ที่คนทั่วไปก็รู้สึกได้ แต่ที่ผ่านมา “คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)” กลับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
พลันที่มีเรื่องชงไปที่ดีเอสไอ สัญญาณก็เข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกับท่าทีของ “ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเขาคือ “เด็กบ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่ออกมาระบุตั้งแต่ว่า “มีมูล” และจะมีการเสนอเข้าที่ประชุม คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เพื่อลงมติรับเป็น “คดีพิเศษ” เพื่อให้อยู่ในอำนาจของดีเอสไอ
ทำเอา สว.ส่วนใหญ่ที่ถูกฉาบด้วย “สีน้ำเงิน” ออกมาเต้นผาง ประกาศท้ารบกับรัฐบาล ทั้งด้อยค่าดีเอสไอว่าไม่มีอำนาจกับคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือการเปิดอภิปรายโดยไม่ลงมติ ไปจนถึงการจะเข้าชื่อเสนอถอดถอน “ทวี” จากความเป็นรัฐมนตรี
แต่ฝั่งดีเอสไอก็ไม่หวั่นไหว จัดหนักจัดเต็มด้วยฐานความผิด “อั้งยี่ซ่องโจร-ฟอกเงิน” พร้อมปล่อยข้อมูลผลการสืบสวน “ขบวนการฮั้ว สว.” เบื้องต้นออกมาฉายภาพให้เห็นว่า ดิ้นไม่หลุดแน่
อันเป็นข้อมูลที่ดีเอสไอได้ทำหนังสือแจ้งความคืบหน้าผลการสืบสวน ไปยังประธาน กกต. โดยมีถ้อยความสำคัญว่า “ปรากฏข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่ามีขบวนการในรูปแบบคณะบุคคล มีการจัดตั้งเครือข่ายขบวนการซึ่งปกปิดวิธีการ” อันเป็นที่มาของ “คดีอั้งยี่ซ่องโจร” รวมถึง “ฟอกเงิน” ด้วยนั่นเอง
เนื่องจากเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2563 มาตรา 977 (3) ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ความผิดฐานอั้งยี่ และความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
โดยมีการไล่เรียงพฤติกรรม “ขบวนการฮั้วเลือก สว.” ไว้ว่า ได้จัดการให้มีผู้สมัคร สว. ในระดับอำเภอ โดยสมัครกลุ่มละ 5 คน รวม 100 คน ในระดับอำเภอ 928 อำเภอ (หลักเกณฑ์รอบเข้าเลือกได้ 5 คน) ทำให้บางจังหวัดมีผู้สมัครจำนวนมาก
สำหรับค่าตอบแทนนั้น ระดับอำเภอ จำนวน 5,000 บาท, ระดับจังหวัด จำนวน 10,000 บาท และระดับประเทศ จำนวน 40,000-100,000 บาท และถ้าได้สมาชิกวุฒิสภามากกว่า 120 คน จะได้เพิ่มในลักษณะโบนัสอีก 100,000 บาท
หลังจากวันที่ 16 มิ.ย. 2567 หลังผ่านการคัดเลือกระดับจังหวัด ขบวนการได้นัดหมายผู้สมัคร สว.ระดับประเทศ ไปจัดทำโพยฮั้ว สว. ใน จ.พระนครศรีอยุธยา, จ.ปทุมธานี และ จ.นครนายก
ซึ่งมี “หลักฐานสำคัญ” ว่ามี “ขาใหญ่สีน้ำเงิน” ตลอดจน “บิ๊ก กกต.” ทั้งปัจจุบันและอดีตไปเป็นวิทยากรติวให้กับผู้สมัคร สว.ในขบวนการ
ก่อนที่สัปดาห์ถัดมา วันที่ 24 มิ.ย. 2567 มีการจ่ายเงินสดเป็นมัดจำ จำนวน 20,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงจะได้รับภายหลังจาก กกต.รับรองผลเลือกแล้ว
โดยพบว่า ในการเลือก สว. ระดับประเทศ มีผู้สมัครที่อยู่ในขบวนการจัดตั้งถึง 1,200 คน จากจำนวนทั้งหมดเกือบ 3,000 คนที่ผ่านจากระดับจังหวัดเข้ามา
ต่อมาวันที่ 26 มิ.ย. 2567 ซึ่งเป็นวันที่ กกต. กำหนดวันเลือกตั้ง สว. ระดับประเทศ ตั้งแต่เวลา 05.00 น. ขบวนการได้แจกเสื้อสีเหลือง ให้กับผู้สมัคร สว. ระดับประเทศ และยังอำนวยความสะดวกจัดหารถตู้โดยสารส่งผู้สมัคร สว. ไปถึงอาคารอิมแพ็คฟอรัม อาคาร 4 เมืองทองธานี
ที่สุดผลการเลือก สว. ในรอบเช้า และรอบไขว้ เป็นไปตาม “โพยฮั้ว สว.” ที่มีมีหมายเลข จำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน รวม 140 คน ซึ่งในจำนวนนี้ได้เข้าไปเป็น สว. 138 คน อีก 2 คนติดในบัญชี สว.สำรอง
แม้ที่ประชุม กคพ.จะมีเลื่อนการพิจารณา ”คดีฮั้วเลือก สว." เป็นคดีพิเศษออกไปก่อน เนื่องจากถูกท้วงจาก “ปกรณ์ นิลประพันธ์” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า หากรวบรัดรับเป็นคดีพิเศษ ก็อาจถูกร้องเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้
ขณะเดียวกันก็มี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสายวิชาการรับลูกเลขาฯ กฤษฎีกา โดยเสนอให้เลื่อนการพิจารณาไปก่อน เพราะยังไม่เคยผ่านคณะอนุกรรมการการกลั่นกรองฯ แม้จะมีระเบียบให้ เลขานุการ กคพ. (อธิบดีดีเอสไอ) สามารถเสนอเรื่องได้ แต่ ควรทำตามขั้นตอนปกติคือเสนอเรื่องผ่านอนุกรรมการกลั่นกรองฯ เสียก่อน
แต่ก็เชื่อว่า เป็นเพียงการตีธงถอยชะลอเรื่องเพื่อเดินหน้า เพราะเรื่องราวมาอยู่วนจุดที่ถอยไม่ได้แล้ว และคำบัญชา “V 1” เองก็ยังไม่ลดธงแตกหัก
ตามธงในการสอย “สว.สีน้ำเงิน” ที่รู้ดีว่า “ค่ายสีน้ำเงิน” หวังใช้เป็นฐานกำลังต่อรองทางการเมือง และไม่เพียงเท่านั้นงานนี้ยังจะเด็ดหัว “ครูใหญ่สีน้ำเงิน“ ที่ปรากฎหลักฐานชัดเจนว่า เป็นทั้งผู้อยู่เบื้องหลัง และลงมากำกับเกมด้วยตัวเองด้วย
เพื่อที่จะลดอำนาจต่อรองของ “ค่ายสีน้ำเงิน” ที่มักขวางแนวทางของรัฐบาลในหลายๆ เรื่อง เป็นเหตุให้มีกระแสข่าวหนาหูว่า จะมีการปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ด้วยวันนี้เสถียรภาพของรัฐบาลถือว่ามั่นคงเป็นอย่างมาก มีเสียง สส.ในสภาฯ เหนือกว่าฝ่ายค้านแบบไม่เห็นฝุ่น และแม้จะเสีย 70 เสียงของพรรคภูมิใจไทยไป รัฐนาวาก็ยังแล่นไปได้อยู่ดี
ยิ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับ 44 อดีต สส.พรรคก้าวไกล ที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดจริยธรรมร้ายแรงที่เข้าชื่อแก้ไข ป.อาญา ม.112 และสั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนเสนอศาลฎีกาชี้ขาด ทำให้ สส.พรรคประชาชน ทั้งเขตและปาร์ตี้ลิสต์ หายไป 25 คน จำนวนมีเพียง 8 เขตที่ต้องมีหารเลือกตั้งซ่อม ที่ก็ไม่แน่ว่า “ค่ายสีส้ม” จะกระเตงลูกพรรคกลับเข้าสภาฯได้ทั้งหมด
ตามคณิตศาสตร์การเมือง หากไม่มี 69 เสียงของพรรคภูมิใจไทย รัฐบาลก็ยังมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งคือ ราว 252 เสียง จาก สส.ทั้งหมดที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 493 คน และยิ่งมีข่าวว่า สส.ภูมิใจไทยบางส่วนถึงครึ่งหนึ่ง อาจยังอยู่ร่วมเป็น สส.รัฐบาลต่อไป ก็ทำให้รัฐบาลยังคงมีเสถียรภาพอยู่
หนักไปกว่านั้นก็คือ 19 สส.พลังประชารัฐที่บางคนก็เริ่มออกลาย หันไปสวามิภักดิ์ “ก๊วนผู้กอง” ให้เห็นกันแล้ว อย่างเช่น “กาญจนา จังหวะ” สส.ชัยภูมิ โชว์ตัวนั่งที่พรรคกล้าธรรมในสภาเรียบร้อย ไม่นับรวมก๊วนมะขามหวานเมืองเพชรบูรณ์ของสันติ พร้อมพัฒน์ หรือก๊วนกำแพงเพชรของวราเทพ รัตนากร ที่มีเปอร์เซ็นต์ย้ายค่ายไปอยู่ในฝั่งสีแดง หรือไม่ก็เครือข่ายพันธมิตรค่อนข้างสูง เป็นต้น
ดังนั้น แต้มต่อของพรรคเพื่อไทยและนายใหญ่จึงมีมากขึ้นไปทุกที
อย่างไรก็ดี แม้ ณ เวลานี้จะยังไม่ถึงขั้น “ปิดสวิตช์” แต่ “ปฏิบัติการ” ที่เกิดขึ้นกับ “ค่ายสีน้ำเงิน” นั้น สะท้อนให้เห็นชัดว่า สุดท้ายแล้วจะ “จบไม่สวย” อย่างแน่นอน
ที่สำคัญคือ “ยกนี้” เห็นได้ชัดว่า “ค่ายสีน้ำเงิน” ของ “เน-หนู” พ่ายแพ้ต่อ “นายแม้ว” ไปแบบต้องยอมจำนน หลังดำเนินหลายยุทธวิธีแต่ไม่เป็นผล ยกตัวอย่างเช่น การปล่อยข่าวออกมาว่า จะมีการพบปะกันระหว่าง “ทักษิณ แพทองธาร อนุทินและเนวิน” ที่โรงแรมย่านซอยรางน้ำอันเป็นฐานบัญชาการใหญ่ของค่ายสีน้ำเงิน
ทว่า สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะด้วยไม่ได้มีการนัดพบแต่แรกหรือ “นายใหญ่” จับได้ไล่ทันว่า ถูกวางหมาก ก็ไม่ทราบได้ เพราะไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยกับการนัดพบกันที่ “รังของค่ายสีน้ำเงิน” แทนที่จะไป “บ้านจันทร์ส่องหล้า” เหมือนที่ผ่านมา
ที่สำคัญคืออากัปกิริยาของ “เสี่ยหนู” ที่ “พินอบพิเทา” ต่อ “นายกฯ อิ๊งค์” แบบหมดฟอร์ม ไม่นับรวมถึงการให้สัมภาษณ์ที่สังคมมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “หมอบ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“รักนายกฯที่สุด”
ส่วนกับ “พ่อนายกฯ” นั้น “ทั้งรักทั้งกลัว”
นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของนายอนุทินหลังน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรียืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อม สส.บึงกาฬ เขต 2 แทน นายสุวรรณา กุมภิโร หลังถูกศาลฎีกา พิพากษาสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี และให้เลือกตั้งใหม่
กระนั้นก็ดี มีข้อมูลที่ยืนยันว่า แม้ฉากหน้าจะ “พินอบพิเทา” แต่ลับหลังแล้ว ว่ากันว่า นายอนุทินนั้นออกอาการ “หัวฟัดหัวเหวี่ยง” ไม่น้อย ยิ่ง “ครูใหญ่เน” ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ก็จะไม่ให้แยกเขี้ยวยิงฟันได้อย่างไร เพราะเมื่อกลับไปสำรวจจตรวจสอบสรรพกำลังแล้วก็พบว่า ค่ายสีน้ำเงินของตัวเองตกยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรองหลายขุม ด้วยแว่วว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมี “มุ้งสำคัญ” ตีตัวออกห่าง ขณะที่บรรดา “บ้านใหญ่” ที่เคยเป็นหลังหนุนที่สำคัญก็ “เอาใจออกห่าง” อยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ทั้งนี้ แม้ “บารมีของนายใหญ่” จะไม่ฟูลออปชันเหมือนแต่เก่าก่อน แต่ก็มีแรงดึงดูดมากพอที่จะทำให้ตัดสินใจย้ายค่าย เพราะจะว่าไป เด็กของค่ายสีน้ำเงินจำนวนไม่น้อยก็อึดอัดกับสภาพของตนเองในเวลานี้อยู่ไม่น้อยด้วยมิอาจมีปากเสียงหรือแสดงความคิดเห็นอะไรได้มากนัก
อย่างไรก็ดี ที่น่าแปลกประหลาดไม่แพ้กันและเข้าขั้น “เซอร์ไพร์สพอสมควร” ก็คือ การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านนำโดย “ค่ายสีส้ม” พรรคประชาชนยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ โดยล็อกเป้าเดี่ยวจัดหนัก “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวหลุดออกมาว่า จะมีรัฐมนตรีถูกจับขึ้นเขียง “ศึกซักฟอก” ถึง 10 ราย ตามรายชื่อที่สื่อหลายสำนักนำออกมาเปิดเผย
จะอ้างว่า เหตุที่ต้องเปลี่ยนแผนกลางอากาศ ก็เพราะมี “เกลือเป็นหนอน” ทำให้ “ข้อสอบรั่ว” จนข้อมูลหลุดไปถึงบรรดารัฐมนตรีเป้าหมาย จึงปรับยุทธศาสตร์ถล่ม “จุดคีมึ้ง” กับตัว “นายกฯ อิ๊งค์” ที่เป็นศูนย์รวมอำนาจในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ที่ต้องรับผิดชอบในทุกเรื่องที่รัฐมนตรีใต้บังคับบัญชาดำเนินการ ก็ฟังดูทะแม่งๆ ด้วยว่ากันตามตรง อภิปรายอย่างไรก็ล้มรัฐบาลไม่ได้
ดังนั้น จึงมองว่าการตัดสินของ “ค่ายสีส้ม” ดูจะ “เสียของ” ตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่ศึกซักฟอกด้วยซ้ำ ด้วยมองกันว่าพรรคประชาชนน่าจะฉวยจังหวะเวทีซักฟอกครั้งนี้ “เสี้ยม” ขยายรอยร้าวภายในรัฐบาลให้ไปถึงขั้นแตกหักได้ไม่ยาก กับความสัมพันธ์ “ตบ-จูบ” ระหว่าง “พรรคเพื่อไทย-ภูมิใจไทย” ที่นับวันจะยิ่ง “เขม็งเกลียว” มากขึ้นตามลำดับ
อย่างกรณี “ที่ดินเขากระโดง” ที่น่าจะหยิบมาถล่ม “เสี่ยหนู” ก็น่ารักน่าลุ้นว่า เสียงโหวตในสภาฯ จะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งในส่วนของพรรคเพื่อไทย ที่อาจมีแตกแถวหากต้องโหวตปมปัญหาเขากระโดงที่แนวทางกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในกำกับของกระทรวงคมนาคม ซึ่งถือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบริเวณเขากระโดง 5,083 ไร่ดังกล่าว ตามคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลปกครองกลาง
หรือโดยเฉพาะ พรรคประชาชาติ ที่มี 10 เสียงและอยู่ร่วมรัฐบาลคงไม่สามารถไว้วางใจ “เสี่ยหนู” ได้เช่นกัน ด้วยทั้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หัวหน้าพรรค เป็นหนึ่งในผู้จุดประเด็นเรื่องนี้มาตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ รวมไปถึงมี “งาน” ของ “ผู้สนับสนุนพรรค” ที่แสดงตัวเป็นคู่อาฆาตกับ “ค่ายสีน้ำเงิน”
จะเรียกว่า พรรคส้มอ่อนหัดในทางการเมืองอย่างเสมอต้นเสมอปลายก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
ส่วนถามว่า เมื่อไหร่จะถึง “ฉากจบ” เสียที เพราะเท่าที่เห็นยังเป็น “ละครตบจูบ” ในเกมต่อรองอำนาจทางการเมืองเท่านั้น ก็ตอบว่า หลังจบศึกซักฟอกก็จะเข้าสู่การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในโอกาสที่ “รัฐบาลอิ๊งค์ 1” ทำงานเกินกว่า 6 เดือน ที่ต้องมีการปรับจูนคนทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และใช้โอกาสนี้ยึดคืน 7 เก้าอี้รัฐมนตรีในโควตาของพรรคภูมิใจไทยกลับมาทั้งหมด ซึ่งก็เป็นการขับพ้นพรรคร่วมรัฐบาลนั่นเอง
ว่ากันอีกว่า การปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เพียงแค่สั่งสอนบทบาท “จอมขวาง” ที่ผ่านมาเท่านั้น ยังเป็นการตัดกำลังคู่แข่งในทางการเมืองที่มีพื้นที่ทับซ้อนกันในหลายจังหวัดอีกทางด้วย
และลึกๆ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือร่างกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ “ค่ายสีน้ำเงิน” ค้านเต็มสูบ แต่ก็พยายามล็อบบี้ให้กระทรวงมหาดไทย กลไกสำคัญในทางปกครอง เข้าร่วมเป็นซูเปอร์บอร์ด เพื่อหวังดัน “เสี่ยหนู-อนุทิน” ขึ้นเป็นหัวโต๊ะเพื่อจัดสรรแบ่งเค้กด้วย กลายเป็นเหตุสำคัญที่จะต้องตัดไฟต้นลม อัปเปหิพรรคภูมิใจไทยออกไปให้พ้นทาง
ขณะที่นายอนุทินก็ให้สัมภาษณ์เหมือนรู้ชะตากรรมของตัวเองว่า “สุดท้ายต่อให้อยากอยู่แค่ไหน ก็อยู่ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้น ควรคุยกับใครล่ะ จบ ไม่มีรัฐมนตรีคนไหน หัวหน้าคนไหน หัวหน้าพรรคคนไทย ผู้นำจิตวิญญาณคนไหน จะเสนอให้รัฐมนตรีพ้นตำแหน่งได้ มีนายกฯ คนเดียว ในโหมดของผมต้องคุยกับนายกฯ คนเดียว”
สำคัญต้องไม่ลืมว่าคนจำแม่นอย่าง “ทักษิณ” นั้น “แค้นฝังหุ่น” ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะกับวลี “มันจบแล้วครับนาย” และรอเวลาเพื่อสวนกลับบ้างว่า “มันจบแล้วครับ…เน”