"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ในหนังสือ “มายาคติของผู้นำเข้มแข็ง” (The Myth of the Strong Leader) โดย อาร์ชี บราวน์ (Archie Brown) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ผู้เขียนได้ท้าทายความเชื่อที่ว่า “ผู้นำที่แข็งแกร่ง” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจเด็ดขาดและควบคุมทุกอย่างด้วยตนเองเป็นรูปแบบผู้นำที่ดีที่สุด บราวน์ได้นำเสนอข้อโต้แย้งที่น่าสนใจว่าคุณลักษณะเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อการปกครองหรือการบริหารองค์การเสมอไป และวิเคราะห์ว่าผู้นำที่มีประสิทธิภาพแท้จริงมักเป็นผู้ที่มีความถ่อมตน รับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น และทำงานร่วมกับทีมอย่างใกล้ชิด
สังคมมักนิยมชมชอบผู้นำที่มีบุคลิกภาพที่เข้มแข็ง (strong personality) เช่น การพูดที่หนักแน่น การตัดสินใจที่รวดเร็ว และการแสดงออกถึงความมั่นใจอย่างสูง ผู้นำเหล่านี้มักถูกมองว่าเป็นบุคคลที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สังคมเผชิญกับวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางการเมือง หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในทางการเมือง สื่อมวลชนและประชาชนมักให้ความสำคัญกับ “ผู้นำที่แข็งแกร่ง” ที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เช่น วินสตัน เชอร์ชิลล์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หรือ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ที่ได้ชื่อว่าเป็น “สตรีเหล็ก” ผู้นำเหล่านี้มักได้รับการยกย่องในแง่ของความกล้าหาญและการยืนหยัดในจุดยืนของตน
บราวน์ชี้ให้เห็นว่าการมองหาผู้นำที่แสดงออกถึงความแข็งแกร่งอาจนำไปสู่ปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะในแง่ของการตัดสินใจที่ขาดการตรวจสอบและการรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น เขาได้แบ่งประเภทของผู้นำออกเป็น ผู้นำแบบเด็ดขาด (dominant leaders) และ ผู้นำแบบร่วมมือ (collaborative leaders) โดยระบุว่าผู้นำที่แท้จริงและมีประสิทธิภาพมักจะเป็นผู้ที่มีความถ่อมตน (humility) และสามารถทำงานร่วมกับทีมได้อย่างใกล้ชิด
ผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดมักทำ ารตัดสินใจโดยอิงจากมุมมองและประสบการณ์ของตนเอง โดยไม่รับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหรือทีมงานรอบข้าง ตัวอย่างเช่น ในช่วงสงครามเวียดนาม การตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลินดอน บี. จอห์นสัน ที่ไม่ฟังเสียงคัดค้านจากที่ปรึกษา ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
ผู้นำที่แข็งแกร่งอาจรู้สึกว่า การยอมรับความผิดพลาดเป็นการแสดงถึงความอ่อนแอ ซึ่งทำให้ขาดโอกาสในการปรับปรุงและเรียนรู้จากความล้มเหลว บราวน์ชี้ให้เห็นว่าผู้นำที่ดีควรมีความสามารถในการยอมรับข้อผิดพลาดและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางเมื่อพบว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น อดีตประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ สามารถปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจเมื่อเห็นว่านโยบายนิวดีล “New Deal” บางส่วนไม่ประสบความสำเร็จในช่วงแรก
บราวน์ให้ความสำคัญกับผู้นำที่มีความสามารถในการสร้างความร่วมมือ (collaboration) ภายในทีม เขายกตัวอย่างผู้นำอย่าง อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ที่มีลักษณะผู้นำแบบถ่อมตนและมุ่งเน้นการหาฉันทามติ (consensus-building) ซึ่งช่วยให้เยอรมนีสามารถรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บราวน์ยังได้ได้นำเสนอตัวอย่างการเปรียบเทียบระหว่างผู้นำที่ยึดมั่นในความแข็งแกร่งของตนเองกับผู้นำที่ใช้แนวทางการรับฟังและร่วมมือ ตัวอย่างเช่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาด ใช้วิธีการควบคุมข้อมูลและสั่งการแบบบนลงล่าง ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดความรอบคอบ เช่น การบุกโซเวียตในช่วงฤดูหนาว ซึ่งส่งผลให้กองทัพเยอรมันพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ขณะที่ เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้เป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับการฟังเสียงของทุกฝ่าย แม้จะเคยถูกคุมขัง แต่เมื่อได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ เขาเลือกใช้แนวทางการปรองดอง (reconciliation) และการร่วมมือระหว่างกลุ่มต่าง ๆ เพื่อสร้างความสามัคคีในชาติ
บราวน์เน้นย้ำถึง ความสำคัญของการทำงานร่วมกันในการนำองค์การหรือประเทศชาติให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผู้นำที่ดีไม่ควรเป็นเพียงผู้สั่งการจากเบื้องบนเท่านั้น แต่ควรทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุน (facilitator) และผู้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ทีมงานสามารถนำเสนอความคิดเห็นและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้นำที่เปิดโอกาสให้ทีมงานเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ จะสามารถเข้าถึงมุมมองที่หลากหลายและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งช่วยให้การตัดสินใจมีความรอบคอบและลดความเสี่ยงจากการมองโลกในแง่เดียวเมื่อทีมงานรู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางหรือเป้าหมายขององค์การ จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน และทำให้ทุกคนมุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวกัน
ผู้นำที่ทำงานร่วมกับทีมจะไม่แบกรับภาระทั้งหมดไว้คนเดียว แต่จะกระจายความรับผิดชอบไปยังสมาชิกในทีม ซึ่งช่วยลดความกดดันในการตัดสินใจและเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหาร บรรยากาศการทำงานที่เน้นความร่วมมือจะเปิดโอกาสให้สมาชิกในทีมกล้าแสดงความคิดเห็นและนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างนวัตกรรม
เช่น บารัค โอบามา ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มักจัดให้มีการประชุมร่วมกับที่ปรึกษาหลายฝ่าย และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ก่อนที่จะตัดสินใจในประเด็นสำคัญ เช่น นโยบายด้านการดูแลสุขภาพ (Affordable Care Act)
หรือ จาซินดา อาร์เดิร์น อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ โดดเด่นในเรื่องของการรับฟังและทำงานร่วมกับคณะรัฐมนตรีและประชาชน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต COVID-19 ซึ่งเธอให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและชุมชน
ในหนังสือเล่มนี้ บราวน์ยังกล่าวถึง ข้อจำกัดของอำนาจในระบบประชาธิปไตย โดยอธิบายถึงลักษณะสำคัญของระบบประชาธิปไตยที่แตกต่างจากระบบการปกครองแบบเผด็จการหรือระบบอำนาจนิยม กล่าวคือ อำนาจของผู้นำในระบบประชาธิปไตยถูกจำกัดอย่างชัดเจน ผ่านกลไกและสถาบันต่าง ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยระบบประชาธิปไตยนี้เน้นความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้อำนาจของผู้นำเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ ไม่ใช่เพื่อตนเองหรือกลุ่มบุคคลใดกลุ่มหนึ่ง
ในระบบประชาธิปไตย ผู้นำไม่สามารถตัดสินใจโดยลำพังได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมาย การใช้งบประมาณ และการดำเนินนโยบายสาธารณะ อำนาจในการตัดสินใจมักต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบจากหลายฝ่าย ทั้งในระดับรัฐสภา ศาล และการมีส่วนร่วมของประชาชน กระบวนการเหล่านี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าการตัดสินใจของผู้นำจะไม่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
หนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยจำกัดอำนาจของผู้นำ คือ การแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) ซึ่งประกอบด้วย ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ โดยแต่ละฝ่ายมีหน้าที่และอำนาจที่แตกต่างกัน และสามารถถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันได้ ระบบนี้ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้นำหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป และทำให้การตัดสินใจทางการเมืองมีความรอบคอบและสมดุลมากขึ้น
นอกจากการแบ่งแยกอำนาจแล้ว ระบบประชาธิปไตยยังใช้กลไก การตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ (Checks and Balances) ที่ออกแบบมาเพื่อให้สถาบันต่าง ๆ สามารถตรวจสอบและควบคุมการใช้อำนาจของผู้นำได้ เช่น รัฐสภาสามารถตั้งคำถามและตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาลผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ (Vote of No Confidence) ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลสูงสุดสามารถยับยั้งหรือเพิกถอนกฎหมายหรือนโยบายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และองค์การอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (Ombudsman) สามารถตรวจสอบและรายงานการทำงานของรัฐบาลได้
การรับผิดชอบต่อประชาชน (Accountability) เป็นอีกหนึ่งหลักการสำคัญของระบบประชาธิปไตย ผู้นำต้องรับผิดชอบต่อประชาชน เนื่องจากอำนาจของพวกเขามาจากการเลือกตั้ง หากผู้นำไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือเกิดการทุจริต ประชาชนสามารถใช้อำนาจผ่านการเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนผู้นำได้ นอกจากนี้ ระบบประชาธิปไตยยังเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบายผ่านการทำประชาพิจารณ์ (Referendum) หรือการเข้าร่วมในกระบวนการนโยบายต่าง ๆ เช่น การประชุมชุมชน (Town Hall Meetings)
ตัวอย่างที่ชัดเจนของการจำกัดอำนาจผู้นำในระบบประชาธิปไตย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ที่ประธานาธิบดีมีอำนาจในการออกคำสั่งบริหาร (Executive Orders) แต่การออกกฎหมายใหม่ การจัดสรรงบประมาณ และการประกาศสงครามต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา นอกจากนี้ ศาลสูงสุดสามารถตีความกฎหมายและยับยั้งการกระทำของประธานาธิบดีได้ เช่น กรณีของคำสั่งห้ามการเดินทาง (Travel Ban) ของ Donald Trump ที่ถูกศาลตีความว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ใน เยอรมนี นายกรัฐมนตรีต้องทำงานร่วมกับรัฐสภา (Bundestag) และการออกกฎหมายต้องผ่านการอภิปรายและการลงคะแนนเสียง นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนี (Federal Constitutional Court) มีอำนาจในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายและนโยบายของรัฐบาล
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่สำคัญเกี่ยวกับ “มายาคติของผู้นำที่แข็งแกร่ง” ในระบบการปกครองแบบรัฐสภา คือการมองว่าผู้นำเพียงคนเดียวควรมีอำนาจในการตัดสินใจทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งรัฐมนตรีหรือการกำหนดนโยบายสำคัญ ซึ่งในความเป็นจริง หน้าที่เหล่านี้ควรเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีแต่ละคนตามขอบเขตงานของตน และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น กระบวนการตัดสินใจควรเป็นการพิจารณาร่วมกันของ คณะรัฐมนตรี เพื่อให้ได้มุมมองที่หลากหลายและตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
ในประเทศที่มีวุฒิภาวะทางการเมือง กระบวนการเหล่านี้มักดำเนินไปอย่างโปร่งใสและยึดหลักการทำงานร่วมกัน มากกว่าการปล่อยให้เกิดการแข่งขันชิงอำนาจภายในรัฐบาลหรือภายในพรรคการเมือง ซึ่งไม่เพียงช่วยให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในความเป็นธรรมและความชอบธรรมของการปกครองอีกด้วย
บราวน์ยังย้ำว่า ชัยชนะในการเลือกตั้งระดับชาติ มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นความสำเร็จของหัวหน้าพรรคโดยตรง แต่ในความเป็นจริง ผู้นำมีบทบาทชี้ขาดระหว่างชัยชนะและความพ่ายแพ้เพียงไม่บ่อยนัก และผู้นำในระบอบประชาธิปไตยที่ประสบความสำเร็จไม่ควรถูกวัดจากความสามารถในการใช้อำนาจส่วนบุคคลหรือการแสดงออกถึงอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจอย่างไม่มีขอบเขต แตกต่างจากระบบเผด็จการที่คำพูดของผู้นำมักเป็นผู้ตัดสินใจชี้ขาดคนสุดท้าย
ทว่า ในระบอบประชาธิปไตย ผู้นำควรให้ความเคารพต่อกระบวนการที่รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นและการพิจารณาจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายกลุ่ม ซึ่งหมายถึงการยอมรับบทบาทและความเชี่ยวชาญของรัฐมนตรี คณะกรรมการ และตัวแทนอื่น ๆ แทนที่จะรวมอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดไว้ที่ตัวเองเพียงผู้เดียว
กล่าวโดยสรุป แม้ว่า ข้อจำกัดของอำนาจในระบบประชาธิปไตย จะทำให้ผู้นำไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาดในบางครั้ง แต่การออกแบบระบบเช่นนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความสมดุลของอำนาจและป้องกันการใช้อำนาจโดยมิชอบ ผู้นำที่มีประสิทธิภาพในระบบประชาธิปไตยจึงต้องมีทักษะในการเจรจา สร้างความร่วมมือ และทำงานภายใต้กรอบของกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้มั่นใจว่าการตัดสินใจที่เกิดขึ้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติโดยรวม (ยังมีต่อ)