xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“นายใหญ่” เลิก “ตบจูบ”? เดินเกมตัดจบ “หนู-เน”! หลังคิวเชือด 44 ส้มแก้ 112

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อนุทิน ชาญวีรกูล และ ทักษิณ ชินวัตร  ขณะร่วมก๊วนกอล์ฟที่ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์คันทรีคลับ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ล่มตั้งแต่ยังไม่เริ่ม สำหรับญัติพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ที่ประชุมร่วมรัฐสภาไม่สามารถเดินหน้าเริ่มประชุมได้ เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบทั้ง 2 วัน เมื่อวันที่ 13-14 ก.พ.68 ที่ผ่านมา

เดิมทีเข้าใจกันว่าเป็นเพราะ “ขั้วสีน้ำเงิน” ทั้ง สส.ในนามพรรคภูมิใจไทย และ สว.ที่ว่ากันว่าอิงแอบ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” ที่ผนึกกำลังกันขวางกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนทำให้การประชุมร่วมรัฐสภาเดินหน้าไม่ได้เท่านั้น แต่ทำไปทำมาเจ้าของญัตติร่วมอย่าง “ค่ายสีแดง” พรรคเพื่อไทย ก็ออกลูก “งอแง” จนถูกจับได้ไล่ทันว่า ไม่ได้ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามวาระที่เสนอเช่นกัน

เพราะแม้ พรรคเพื่อไทย จะแสดง “จุดยืน” ที่ชัดเจนและหนักแน่นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 มาตั้งแต่ยังเป็นพรรคฝ่ายค้านในรัฐบาลที่แล้ว กระทั่งประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาลแถลงไว้ต่อรัฐสภา ตั้งแต่สมัย เศรษฐา ทวีสิน และจนมาถึง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

โดยมีแนวทางคือการเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 ที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์วิธีการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนได้ รวมถึงผลักดันร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติเพื่อเปิดทางให้มีการหยั่งเสียงประชาชนก่อนและหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่ในแง่การกระทำกลับไม่ได้หนักแน่นดังคำประกาศ โดยเฉพาะล่าสุดที่ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของมาตรา 256 ประกบกับร่างของ “ค่ายสีส้ม” พรรคประชาชน ที่ยื่นไปก่อน จนวางคิวเป็นอีเวนท์ใหญ่เปิดการประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อวันที่ 13-14 ก.พ.68 ที่ผ่านมา

ที่สุดองค์ประชุมไม่ครบไม่สามารถเปิดประชุมได้ทั้ง 2 วัน โดยที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะ 1 ในเจ้าของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไม่ร่วมแสดงตนเป็นองค์ประชุม และมายอมรับภายหลังว่า “จงใจ” ไม่แสดงตนเป็นองค์ประชุม เพื่อรักษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้ให้อยู่ในระเบียบวาระได้ ไม่ให้ถูกตีตกไป และยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องทำประชามติกี่ครั้งแน่เสียก่อน

เป็นเหตุให้ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้ง 2 ฉบับ ยังไม่ตกไป และคงค้างอยู่ในระเบียบวาระการประชุม แต่ก็ไม่สามารถคะเนได้ว่า จะมีโอกาสหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีกเมื่อใด หรืออาจยาวไปจนครบเทอมสภา 4 ปีก็เป็นได้

ทำให้พรรคประชาชนที่พยายามผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกมาโจมตีว่า พรรคเพื่อไทยรวมถึงรัฐบาล ไม่มีความจริงใจในเรื่องนี้ พร้อมเรียกร้องให้ยุบสภาเลยทีเดียว

เดิมทีเกม “ล่ม” แก้ไขรัฐธรรมนูญหนนี้ ถูกวิพากษ์ว่า เป็นสัญญาณ “เกาเหลา” ในพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจากพรรคภูมิใจไทย ออกตัวแต่ต้นด้วยมติพรรคว่าจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากสุ่มเสี่ยงกับการขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีต ทั้งที่มีร่างของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนนำรัฐบาลอยู่ในวาระประชุม

จนพรรคเพื่อไทย “ออกลาย” อย่างที่ว่าไปข้างต้น ก็เลยเป็นการเฉลยว่า จริงๆ แล้ว พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ไม่เพียงแต่ไม่ได้ขัดแย้งกันในประเด็นนี้เท่านั้น แต่ “ซูเอี้ย” รู้กันด้วยซ้ำ ตามประสาฝ่ายการเมืองที่มีประโยชน์ร่วมกัน

แม้ว่าตามเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ค่ายสีแดง-ค่ายสีน้ำเงิน” จะดู “เข้าขา” กันเป็นอย่างดี หลังจากที่ก่อนหน้านี้ พรรคภูมิใจไทยก็สกัดร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ จนต้อง “แขวน” ไว้ 180 วัน และทำท่าจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จในสมัยรัฐบาลชุดนี้มาแล้ว

แต่ลึกๆ แล้วก็ยังมีเครื่องหมายคำถามในความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ค่ายที่เป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ไม่น้อย

ตามคิวที่จู่ๆ ธนดล สุวัณณะฤทธิ์ คณะที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนตรวจสอบการใช้ที่ดินปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เปิดเกมตรวจสอบการออกโฉนดโดยไม่ชอบในพื้นที่กว่า 4 หมื่นไร่ ทับพื้นที่ ส.ป.ก. ในพื้นที่ 8 ตำบล ประกอบด้วย ต.หนองสาหร่าย, ขนงพระ, หนองน้ำแดง, ปากช่อง, กลางดง, หมูสี, โป่งตาลอง, วังกะทะ และ คลองม่วง ใน อ.ปากช่อง หรือ “เขาใหญ่” จ.นครราชสีมา

ที่ 1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญมี “แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ต แอนด์คันทรีคลับ” ที่ใครก็รู้ว่าเป็นของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รวมอยู่ด้วย

ขณะเดียวกันใครก็รู้อีกเช่นกันว่า ปัจจุบัน “ธนดล” เป็นมือทำงานของ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ที่เป็นอดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ตอนนี้ “จารย์แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผลัดขึ้นมาเป็นเจ้ากระทรวง

เป็น “ธนดล” ที่เคยสร้างชื่อกับการกระทุ้ง “กล่องดวงใจ” ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตามท้องเรื่อง “ภูนับดาว” จน “ทีมผู้กอง” ได้เป็นไทมาแล้ว

พอเป็นประเด็นขึ้นมาทำเอา “อนุทิน” ถึงกับหัวฟัดหัวเหวี่ยง และตราหน้าว่า 500 ล้านเปอร์เซ็นต์เป็น “เกมการเมือง” และด่าแรงถึง “หน้าตัวเมีย” ที่ตั้งใจส่งไปถึงใครบางคนที่อยู่เบื้องหลัง

แม้ว่าเป็นแอ็กชันของพรรคกล้าธรรม ภายใต้ร่มเงาของ “ธรรมนัส” ที่ออกอาวุธใส่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็จริง แต่ในวงการก็รู้ดีว่า แม้ “ทีมผู้กอง” จะเปิดหัวแบรนด์ใหม่ หลังถูกขับออกจาก “บ้านป่าฯ” พรรคพลังประชารัฐ ไม่เข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย ตามที่คาดการณ์ แต่ “ธรรมนัส” ก็ถือเป็นมืองานเบอร์ต้นของ “บ้านจันทร์ส่องหล้า”

การที่ “เด็กผู้กอง” มาหาเรื่องหาราวกับ “สนามกอล์ฟเสี่ยหนู” ที่ไม่กี่เดือนก่อน “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร เพิ่งไปพักผ่อนตีกอล์ฟตาม “ดีลเขาใหญ่” โดยมี “เสี่ยหนู” ให้การต้อนรับ ที่ย่อมมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ในรัฐบาล

มีหรือที่จะไม่มีไฟเขียวจาก “บ้านจันทร์ส่องหล้า”

พรรคภูมิใจไทยเองก็รู้ถึงสัญญาณแปร่งๆ และออกมาดักคอว่าเป็นปฏิบัติ “เผานา ฆ่าหนู” คล้ายกับแคมเปญ “ไล่หนู ตีงูเห่า” ที่ พรรคเพื่อไทย เคยใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งมาแล้วนั่นเอง

ด้วยตามมารยาทการเมืองในอดีต กรณีอย่างสนามกอล์ฟของ “เสี่ยหนู” ที่เป็นประเด็นจะถูกจะผิด แต่ก็ไม่เคยมีการเปิดแผลจากภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน เพราะเป็นบทบาทการตรวจสอบของฝ่ายค้านมากกว่า

และถึงจะมีการเปิดเผยว่า “ธนดล” เข้าไปไหว้ขอโทษ “อนุทิน” และออกตัวว่าเป็นการทำตามหน้าที่ และฟังว่าคงเคลียร์ที่มาที่ไปของสนามกอล์ฟเขาใหญ่ได้ไม่ยากก็ตาม แต่เรื่องแบบนี้ถือว่า “กินใจ” ยากจะลืมไปแล้ว

และก่อนหน้านี้เองก็มีเหตุให้ขุ่นเคืองกันมาพอสมควรแล้วภายใต้ความสัมพันธ์ “ตบ-จูบ” กันตลอดทาง ทั้งมหากาพย์ “เขากระโดง-สนามกอล์ฟอัลไพน์” ที่แม้ว่ากรณีหลัง “ครอบครัวนายใหญ่” อาจได้ประโยชน์ในตอนท้ายก็ตาม

สิ่งที่เกิดขึ้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะอ่านว่า การจุดพลุตรวจสอบสนามกอล์ฟเขาใหญ่ เป็นการส่งสัญญาณสั่งสอน “ค่ายน้ำเงิน” ที่หลายครั้งมัก “เล่นคนละคีย์” กับ “ค่ายสีแดง” จน “นายใหญ่” ยังเคยออกมาปรามว่า “หล่อช้าๆ หน่อย”

และแม้ว่าคู่หู “เน-หนู” ทั้ง เนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่ค่ายสีน้ำเงิน กับ “อนุทิน” เองจะเป็นแขกประจำของ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” แต่ก็เป็นเพียง “แขก” หรือ “คนนอก” ที่ต่างก็ไม่ไว้ใจกันและกัน อีกทั้งคำทิ่มแทง “มันจบแล้วครับนาย” ก็ยังไม่เลือนไปจากใจ “ทักษิณ” เป็นแน่

รับกับคิว “ศึกซักฟอก” การยื่นญัตติอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล ที่เป็น “ไฟต์บังคับ” ของ พรรคประชาชน ที่จะเปิดวิกกันในเดือน มี.ค.68 นี้ โดยมีชื่อ “เสี่ยหนู-อนุทิน” ที่คงไม่พ้นต้องขึ้นเขียงไปพร้อมกับ “นายกฯ อิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร

แล้วก็ไม่ต้องเป็นหมอดูมีศาสตร์พยากรณ์ให้วุ่น ก็รู้กันอีกว่า มหากาพย์ “เขากระโดง” จะเป็นไฮไลท์ของศึกซักฟอกที่กำลังจะมีขึ้น โดยพุ่งเป้าไปที่ “มท.หนู” ผู้มีชื่ออยู่ในสำมะโนครัวพื้นที่เขากระโดง และการทำหน้าที่ที่ดูพิลึกพิลั่นของกรมที่ดิน ภายใต้การกำกับดูแล

ที่ต้องถามว่า พรรคเพื่อไทยจะลงมติไว้วางใจ “อนุทิน” ได้หรือ เพราะสมัยเป็นแกนนำฝ่ายค้านก็เคยใช้เรื่องนี้ถล่มมากับมือ อีกทั้งชุดข้อมูลที่อยู่ในมือ “ยะยิ้ม” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม กำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในฐานะผู้เสียประโยชน์จากการถูกยึดที่ดินเขากระโดง รวมทั้งคนเปิดประเด็น และเกาะติดเรื่องนี้มาตลอดอย่าง “เฮียวี” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ก็เป็นข้อมูลคนละชุดกับที่ “ค่ายสีน้ำเงิน” พยายามต่อสู้

ซึ่งหากพรรคเพื่อไทย ไม่ลงมติไว้วางใจให้ “อนุทิน” ก็จะเป็นการสร้างประวัติการณ์ที่มีรัฐมนตรีตกเก้าอี้เพราะเสียงโหวตในสภา กลับกันหากพรรคเพื่อไทยลงมติไว้วางใจให้ ก็คงไม่พ้น “คนนินทา-คนดูถูก”

จนว่ากันว่า “ศึกซักฟอก” หนนี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ “ตบ-จูบ” ของ “ค่ายแดง-น้ำเงิน” อาจจบเร็วกว่าที่คิด

ยิ่งสถานการณ์ “ค่ายส้ม” ชักไม่ค่อยสู้ดี เมื่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สับเกียร์ห้าเดินหน้าส่งเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาผิดจริยธรรมร้ายแรง และเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหากรณีร่วมเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กับ “44 อดีต สส.ก้าวไกล” ที่ผู้สันทัดกรณีฟันธงกันว่า “ไม่น่ารอด”
ในจำนวน 44 อดีต สส.นี้ ปัจจุบันยังเป็น สส.ในนามพรรคประชาชนอยู่ 25 คน เป็น สส.ระบบเขต 8 คน และ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ 17 คน

หากถูก “ลง” ตามข่าวจริง ก็เป็นไปได้สูงว่า 25 สส.ก็คงต้องหลุดออกจากตำแหน่ง และตามแนวทางของ “ค่ายส้ม” ที่ผ่านการถูกยุบพรรค และตัดสิทธิ์ สส.มาแล้ว 2 หน ก็จะไม่ให้ 17 สส.บัญชีรายชื่อ ลาออกก่อนเพื่อให้เลื่อนผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ลำดับถัดไปขึ้นมาทำหน้าที่แทน ส่วน 8 สส.เขต ก็จะต้องมีการจัดเลือกตั้งซ่อม

หากเสียงของ สส.ฝ่ายค้าน จะขาดหายไป 17-25 คนนี้ ก็ยิ่งจะทำให้เสถียรภาพรัฐบาลแข็งแกร่งขึ้น โดยมีส่วนต่างของเสียงข้างมากที่มากขึ้น จากปัจจุบันที่ถือว่า “เซฟโซน” พอสมควรอยู่แล้ว

กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกันที่ วิกฤต “ค่ายส้ม” อาจกระทบชิ่งมาลดความสำคัญของ ”ค่ายน้ำเงิน” ที่มี 71 เสียง สส. อาจไม่จำเป็นต้องเก็บไว้เป็น “หอกข้างแคร่“ ก็เป็นได้.

ในจังหวะที่ พรรคฝ่ายค้านนำโดย “พรรคเด็ก-ประชาชน”จะยื่นญัตติซักฟอกรัฐมนตรีรายบุคคล 27 ก.พ.ที่ “นายกอิ๊งค์” แม้จะบอกว่ามั่นใจทีมงานรัฐบาลว่าทุกคนจะตอบตามระบบ ตามกระบวนการ ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ก็ยอมรับว่ามีการ “เก็งข้อสอบ” ไว้ล่วงหน้าแบบไม่ยอมเข้าไปให้ซักฟอกตัวเปล่าเพราะจะตกใจ ส่วนจะเก็งเป็นเรื่องอะไรนั้น ไม่ขอบอก จะไม่เฉลยข้อสอบก่อน

ในขณะที่เกมในภาพใหญ่ ก่อนศึกซักฟอกก็ถูกจับตาในฝั่งของฝ่ายค้าน “พรรคเด็ก” เช่นกัน ที่จู่ๆ ในห้วงนี้ปปช.มีการเรียก44ส.ส.ก้าวไกลที่ส่วนใหญ่อยู่ใน พรรคประชาชน (ปชน.) ที่กำลังจะซักฟอกรัฐบาลไปรับทราบข้อหาคดีเสนอให้แก้ไข ม.112 แม้จะเป็นไทม์มิ่งตามขั้นตอนแต่ก็ถูกมองว่าอาจส่งผลกระทบการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน.


กำลังโหลดความคิดเห็น