xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

มือถือแตงโม 1 เครื่องสะเทือนการเมืองไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังโทรศัพท์มือถือของ  “แตงโม” -น.ส.ภัทรธิดา หรือนิดา พัชรวีระพงษ์ ซึ่งเดิมตกอยู่ในความครองของ “บังแจ็ค-ซาคาเนียน ราชา ไฮเดอร์” ถูกส่งกลับมาถึงประเทศไทยภายใต้การประสานของ “ทีมงานภาคประชาชน” นำโดย “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์และพ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์” พร้อมถูกส่งต่อให้กับ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ “ดีเอสไอ” ก็สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทุกวงการ

ด้วยในมือถือของแตงโมนั้น เต็มไปด้วยข้อมูลจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นภาพกว่า 4 หมื่นภาพ ข้อความแชตที่ยังไม่ได้เปิดเผย แชตบางส่วนคุยกับนักการเมืองดัง วิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุ เบาะแสเกี่ยวกับบุคคลที่แตงโมติดต่อก่อนเสียชีวิต รวมถึงมีข้อมูลที่ผู้ใหญ่มีอิทธิพลสูง นักธุรกิจระดับประเทศเกี่ยวข้องด้วย

ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ หลังจากมือถือแตงโมมาถึงไทย ปรากฏว่า มีใครบางคนพยายามล็อกอินเข้า iCloud ของ “แตงโม” แต่เผอิญเข้าไม่ได้ ระบบเลยเด้งไปที่ “บังแจ็ค” ซึ่งได้เปลี่ยนพาสเวิร์ดใหม่ตอนที่ได้รับมือถือแตงโม ทำให้รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของไอแพดที่พยายามล็อกอินเข้ามา!

รวมไปถึงที่มีรายงานว่า ในมือถือมีข้อความถูกส่งระบุชื่อเป็นนักการเมืองใหญ่ที่ชอบถามว่า “รู้มั้ย กูลูกใคร” ขอให้ดาราสาวส่งภาพลับโป๊เปลือยส่วนตัวของตัวเองมาให้ชมอีกด้วย

ดังนั้น จึงไม่เกินเลยไปนักที่จะกล่าวว่า “มือถือแตงโม 1 เครื่องสะเทือนการเมืองไทย” เพราะสามารถนำข้อมูลที่ว่าข้างต้นไป “ดิสเครดิต เจรจาต่อรอง ตบทรัพย์หรือแสวงหาผลประโยชน์” ในทางที่มิชอบได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็มี “ใครบางคน” ที่ได้รับข้อมูลบางส่วนในเรื่องนี้ไปดำเนินการอย่างที่ว่าจริงๆ

 “ขบวนการปกปิดคดีมีมากกว่า 200 คน พนันออนไลน์ นักการเมือง รัฐมนตรี สื่อมวลชน พิธีกร นักแสดง ตำรวจ คนบนเรือ คนนอกเรือ และคนในกระบวนการยุติธรรม รู้แล้วอย่าบอกใครนะครับ ตอนนี้เริ่มมีคนสารภาพแล้ว” ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้นำในการไขปริศนาคดีแตงโมในรอบใหม่นี้เปิดเผย พร้อมระบุด้วยว่า “ตอนนี้เริ่มมีข้าราชการมาวิ่งเต้น นักการเมืองพยายามจะเข้าหา คนที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ถ้าไม่อยากเป็นจำเลย คุณต้องมาเป็นพยานตอนนี้นะครับ มีพยานปากสำคัญเปลี่ยนใจแล้วนะครับ เป็นพยานที่อยู่ในคดีหลักนี่แหละครับ” 

ข้อความนี้สร้างกระแสในโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากมีบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องจริง ย่อมหมายความว่า คดีแตงโม มีการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจบางกลุ่ม และอาจมีความพยายามในการปกปิดหลักฐานบางอย่าง

ที่สำคัญคือการกล่าวอ้างถึง   “ขบวนการปกปิดคดี”  และจำนวนบุคคลที่เกี่ยวข้องมากมาย ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมคดีนี้ถึงดูเหมือนซับซ้อนจนสังคมไม่เชื่อว่าแตงโมเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุอย่างที่ผู้ร่วมขบวนการปกปิดคดีต้องการให้เป็น

ขณะที่  “บุคคล” ที่ปรากฏอยู่ในโทรศัพทของแตงโมก็ล้วนแล้วแต่หนาวๆ ร้อนๆ เพราะเกรงว่า เรื่องราวในทางลบของตนเองจะถูกเปิดเผยออกมา ดังนั้น จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้คดีของแตงโมตัดจบไปโดยเร็ว ด้วยการให้ความช่วยเหลือในทางคดีไปโดยปริยาย

เมื่อสถานการณ์เป็นเยี่ยงนั้น จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมจึงมีความพยายามที่จะดิสเครดิต “บังแจ็ค” ด้วยต้องการเบี่ยงเบนประเด็น และให้สังคมไม่ต้องมาสนใจในเรื่องราว รวมทั้งก่อกำเนิด “ขบวนการปกปิดคดี” เพื่อทำให้คดีแตงโมจบลงเพื่อที่จะมิให้ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในโทรศัพท์เปิดเผย

ขณะที่   “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเอาไว้เช่นกันว่า มีผู้ใหญ่ดีเอสไอคนหนึ่งข่มขู่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เป็นลูกน้องของนพ.วรวีร์ วัยวุฒิ รองผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทำนองว่าจะตั้งกรรมการสอบสวนคนที่ไปรับโทรศัพท์ของแตงโม เหมือนกับไม่อยากให้เปิดเผยข้อมูลในโทรศัพท์แตงโม

นอกจากนั้น ตอนที่นายปานเทพไปยื่นหนังสือร้องเรียนดีเอสไอ มีที่ปรึกษาของ รมว.ยุติธรรม คนหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตอัยการและเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของภาคเอกชนรายใหญ่ พูดในเชิงว่า “ไม่ต้องร้องเรียน มาร้องเรียนทำไม มันจบไปแล้ว” เหมือนกับไม่อยากให้ดีเอสไอรับเรื่อง

 ไม่เข้าใจว่าคนที่เป็นอดีตอัยการ ทำงานให้ภาคเอกชน และมาเป็นที่ปรึกษาของรมว.ยุติธรรม ทำไมไม่เดินหน้า และไปทำความจริงให้ปรากฏ มันเป็นชื่อเสียงของดีเอสไอ ที่คุณเป็นที่ปรึกษาอยู่ หรือว่าอดีตอัยการคนนี้ กลัวว่าถ้าเปิดเผยเรื่องนี้แล้วอัยการจะเสียหาย เพราะอัยการที่ทำคดีนี้ อาจจะต้องทำอย่างไม่ถูกต้อง หรือมีช่องโหว่ ท่านก็เลยอยากปกป้องกลุ่มอัยการด้วยกันขึ้นมา

“แสดงว่าทุกเรื่องในประเทศไทยหรือในโลกนี้ ถ้ามันจบด้วยเจ้าหน้าที่จัดการไปแล้ว เราไม่ต้องตั้งคำถามถามเลยแม้แต่นิดเดียว เท่ากับว่านี่คือการยื่นดาบให้กับข้าราชการชั่วๆ ที่อาศัยตำแหน่งหน้าที่กฎหมายที่ตัวเองถืออยู่แล้วไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เมื่อทำจบแล้วก็ถือว่าจบแล้ว อย่ามาถามในเรื่องนี้ ผมขอฝาก นพ.วรวีร์ ช่วยเช็กให้หน่อยได้หรือไม่ว่า คนนี้คือใคร ไปข่มขู่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอว่าจะตั้งกรรมการสอบ ถ้าท่านไม่รู้เดี๋ยวผมจะเช็กให้ แล้วถ้าเช็กออกมาแล้วเป็นใครก็ตาม สาบานได้เลย ผมจะเปิดมัน ผมไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น”

ที่สำคัญคือ นายสนธิยังได้เปิดเผยด้วยว่า หนึ่งในคนที่  “ปอ-ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์” โทรศัพท์ถึงก็คือ  “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน” 

“มีพยานบางคนกลับคำ และให้ข้อมูลอ้างว่า วันที่ 24 ก.พ. วันที่น้องแตงโมเสียชีวิตนั้น ต่อมาวันที่ 25 ก.พ. คุณปอได้โทรศัพท์ไปที่คนๆ หนึ่ง อ้างว่าคือนาย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ตนไม่รู้ว่าโทรไปคุยเรื่องอะไร แต่วันที่ 25 ก.พ. เป็นวันต่อเนื่องจากที่น้องแตงโมตาย คงไม่โทรไปสวัสดี หรือถามว่าสบายดีไหมแน่นอน เพราะจิตใจคงไม่เป็นปกติ คงจะกังวล แต่ที่สำคัญคือมีการอ้างว่า นายพีระพันธุ์โทรกลับมาหาคุณปอ ผมก็ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไร”

สำหรับความคืบหน้าของคดีนั้น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ศาลจังหวัดนนทบุรี มีการนัดสืบพยานฝ่ายจำเลยครั้งสุดท้ายของนายภีม ธรรมธีรศรี หรือกุนซือเอ็ม โดย  “นางพนิดา ศิริยุทธโยธิน”  มารดาของแตงโมได้เดินทางเพื่อเข้ารับฟังด้วย

ทั้งนี้ แม่แตงโมให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางไปที่ดีเอสไอ โดยยืนยันว่า “ไม่เกี่ยวกับบังแจ๊คโดยสิ้นเชิง แต่เวลามันประจวบเหมาะที่คุณหมอธวัชชัยไปรับโทรศัพท์จากบังแจ๊คพอดี ซึ่งที่ตัวเองตัดสินเข้าพบดีเอสไอ เพราะเชื่อมั่นกระบวนการการทำงานของดีเอสไอ ส่วนรายละเอียดการให้ข้อมูลนั้น เหมือนเดิมทุกอย่าง โดยสิ่งที่ตนคาดหวัง คือ แตงโมจะต้องได้รับความยุติธรรม และต้องไม่ตายฟรี ผลจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับศาล”

ส่วน  “ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์”  ที่เดินทางมาพร้อมกันให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องโทรศัพท์แตงโมที่บังแจ๊คนำมาให้เจ้าหน้าที่ว่า ข้อมูลในโทรศัพท์กับสำนวนเป็นชุดเดียวกัน ข้อมูลเหมือนกันทุกอย่าง อยู่ในสำนวนของศาลจังหวัดนนทบุรีแล้ว

นอกจากนี้อีกหนึ่งความน่าสนใจอยู่ตรงการที่ “เอกพันธ์ บันลือฤทธิ์”  ซึ่งเดินทางเข้าพบดีเอสไอในฐานะพยานคดี เปิดเผยข้อมูลว่า จุดที่น่าสงสัยว่าอาจไม่ได้โดนใบพัดเรือคือ ช่วงโคนขาขวา เพราะมีรอยยาวและลึกมากจนเห็นเนื้อยุ่ย ซึ่งตรงนี้น่าจะทำให้เสียชีวิต เพราะพอตกลงน้ำก็ว่ายน้ำไม่ไหวเพราะบาดแผลนี้ได้ อีกทั้งยังมีเรื่องรอยขีดข่วนลักษณะเป็นรอยก้างปลาที่ก็ไม่ลึกพอ และยังมีจุดข้างน่องขาขวามีเหมือนของแหลมแทงเข้าไป มีไขมันออกมากับเนื้อ จึงเรียกได้ว่ามีจุดพิรุธ 2 จุดนี้ที่ใหญ่สุดคือ โคนขาขวาด้านใน และข้างน่องขาขวา

“ยอมรับว่าเราขับวนหากันหลายวัน มีทั้งเรืออาสาสมัคร เรือมูลนิธิกว่า 50 ลำ ค้นกันนานก็ไม่เจอ แต่เรือลำใหญ่มาไม่นาน วน 2-3 รอบ เขากลับเจอ ซึ่งพอเรือลำใหญ่เจอ เรืออื่นทุกลำก็มุ่งหน้าไปที่ตรงเรือลำใหญ่กันว่าเจอร่างหรืออะไร พอไปถึงจึงเห็นว่าเป็นร่างน้องแตงโม ทั้งนี้ ต่อให้เล่ากี่ครั้งมันก็ยังเหมือนเดิมตามสิ่งที่ได้เห็นได้เจอ นอกจากนี้ ในเรื่องเจ้าหน้าที่ได้รับโทรศัพท์มือถือแตงโมกลับมา มองว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้กระจ่างได้บ้าง หากนำไปเทียบกับคำให้การของคนบนเรือ”

 …ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า สถานการณ์งวดเข้ามาทุกที และความจริงกำลังปรากฏว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของแตงโม และใครสมรู้ร่วมคิดอยู่ในขบวนการปกปิดคดีบ้าง. 


กำลังโหลดความคิดเห็น