ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลายคนคงผิดสังเกตกับการออกมาเคลื่อนไหวถี่ๆ ของ “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงกับต้องร้องเอ๊ะว่า เกิดอะไรขึ้น ด้วยเป็นการเคลื่อนไหวที่สื่อออกไปในทำนองว่า เขาจะรอดพ้นจาก “คดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ ที่อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
หรือเขาจะเป็น “แมว 9 ชีวิต” จริงๆ
หรือเขาจะ “กลับมา” จริงๆ
จุดเริ่มต้นของเรื่องคือ มีการปล่อยข่าวแพร่สะพัดออกมาว่า อนุกรรมการ ป.ป.ช.ที่พิจารณาคดีความของเขามีมติออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า เขาไม่มีความผิดจากการที่ถูกกล่าวหาว่าไปเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์มินนี่ และกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่จะมีมติไปในทำนองเดียวกัน
พ้นความผิดด้วยการตัดจบที่ลูกน้องคือ “รองคริษฐ์-พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ” อดีตรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธร สำโรงเหนือ นายตำรวจเป็นที่ “พ่อบ้านของเขา” และตำรวจเด็กๆ เท่านั้น
เรื่องมีมูลแห่งความเป็นจริงมากขึ้นไปอีก เมื่อ “พ.ต.ท.สราวุธ บุตรดี” รอง ผกก.สน.สายไหม ในฐานะตัวแทนคณะพนักงานสอบสวนคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ เข้ายื่นหนังสือถึงกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้พิจารณาหลักฐานเพิ่มเติมในการไต่สวน พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ และ พวกรวม 8 คน เนื่องจากก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาให้ข้าราชการตำรวจบางนายไม่มีความผิด ทำให้คณะพนักงานสอบสวนมีความกังวล และตั้งข้อสงสัยถึงมาตรการในการชี้มูลของ ป.ป.ช .เนื่องจากในสำนวนเดียวกัน ที่มีผู้ถูกกล่าวหาเป็นอดีต ผบ.ตร.พบมีมูลความผิด แต่ รอง ผบ.ตร.คู่กรณี ป.ป.ช.กลับขอเอกสารเพิ่มเติม
ที่สำคัญคือ วันที่คณะพนักงานสอบสวนมาขอให้พิจารณาหลักฐานเพิ่ม ก็ตรงกับวันที่ กรรมการ ป.ป.ช.มีวาระชุมในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 พอดิบพอดี
ขณะที่ตัว “บิ๊กโจ๊ก” เองก็ให้สัมภาษณ์เฉไฉไปในทำนองว่า ไม่รู้เรื่องว่า ป.ป.ช.จะมีการประชุมพิจารณาความเห็นในวันดังกล่าว
ฉากจบของ “EP แรก” ก็พักการแสดงเป็นการชั่วคราวเมื่อ “นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ” เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยันยันว่า การประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในวันดังกล่าว ไม่มีวาระการดังกล่าว และยังไม่ทราบว่าจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อใด
กระนั้นก็ดี กระแสข่าวเรื่อง “บิ๊กโจ๊ก” จะรอด มิใช่ข่าวโคมลอย ไม่เช่นนั้นคณะพนักงานสอบสวนคงไม่มายื่นขอให้ ป.ป.ช.เรียกหลักฐานเพิ่มแบบปัจจุบันทันด่วนเช่นนั้น
สืบสวนทวนความแล้วก็ได้เรื่องว่า กระแสข่าวที่คดีความของ “บิ๊กโจ๊ก” จะตัดจบในชั้น ป.ป.ช.มิใช่เรื่องเกินจริง ด้วยมีความพยายามผลักดันคดีให้คณะกรรมการชุดใหญ่ “ตีตก” ว่า ไม่มีมูล แต่ปรากฏว่า “ผิดแผน” เพราะ “กรรมการ ป.ป.ช. 2 คนไม่เล่นด้วย” ทำให้การประชุม ป.ป.ช.ไม่สามารถดำเนินต่อไปตามกำหนดการเดิมที่วางไว้
จากนั้นในวันถัดมาคือ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 “บิ๊กโจ๊ก” ก็บุก สน.ปทุมวันไปแจ้งความดำเนินกับ “บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์” ผบ.ตร.กรณีสั่งพักราชการตนเองหรือออกจากราชการไว้ก่อน ทั้งๆ ที่ยังมิได้ถูกสั่งฟ้องหรือชี้มูลความผิดแต่ประการใด
เรื่องร้อนเรื่องนี้ ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะมีปฏิบัติการ “EP2” ออกมาเป็นลูกตาม โดยมีการปล่อย “คลิปการสนทนาระหว่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กับนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข” ซึ่ง ณ เวลานั้นมีตำแหน่งเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ออกมา นัยว่าเป็นการต่อรองเพื่อขอให้ยุติการดำเนินการตรวจสอบนายสุชาติที่มีผู้ยื่นเอาไว้ก่อนหน้านี้
คำถามคือทำไปถึงต้องปล่อยคลิปดังกล่าว?
คำตอบก็คือ มีความเกี่ยวพันกับเรื่องตัดจบคดีของบิ๊กโจ๊ก และเมื่อไม่เป็นไปตามข้อตกลงที่คุยกันไว้ เรื่องจึงออกมาอย่างที่เห็น
คำถามถัดมาก็คือแล้วนายสุชาติ ประธาน ป.ป.ช.คนปัจจุบันไปเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ และทำไมถึงได้ไปปรากฏกายในคลิปสนทนากับประธานวันนอร์
คำตอบก็คือ “บิ๊กโจ๊ก” ได้รวบรวมรายชื่อประชาชน 20,000 รายชื่อต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอให้ถอดถอนนายสุชาติออกจากตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.โดยอ้างว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
แปลไทยเป็นไทยก็คือ “บิ๊กโจ๊ก” นั้น หมายหัว “นายสุชาติ” เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากไม่ใช่พวกของตนเอง
คลิปดังกล่าวทำเอาท่านประธานวันนอร์เสียศูนย์ไปในช่วงแรกๆ ทำได้แต่เพียงอธิบายถึงขั้นตอนการตรวจสอบว่าฝ่ายกฎหมายได้ส่งรายงานมาเกือบ 20 หน้า ตรวจสอบทุกประเด็น ปรากฏว่าไม่มีข้อมูลว่าได้ประพฤติผิดตามคำร้อง จึงได้แจ้งให้ผู้ร้องได้ทราบแล้ว
พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า “ผมไม่แน่ใจว่าเป็นคลิปเสียงของผมหรือไม่ ผมไม่น่าจะไปพูดในเรื่องต่อรองเพราะได้ตอบหนังสือไปแล้ว” กระทั่งในวันถัดมาถึงได้ยอมรับว่า เป็นเสียงของตนเอง
ประธานวันนอร์ให้สัมภาษณ์เอาไว้ชัดเจนว่าคลิปดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์เป็นคนแอบถ่ายและนำมาเผยแพร่ เพราะในการพูดคุยดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็อยู่ด้วย
ทั้งนี้ ประธานวันนอร์สาธยายขยายความเอาไว้ด้วยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงหลังปีใหม่ โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ติดต่อมา แจ้งว่าจะขอเข้าพบเพื่ออวยพรปีใหม่ พร้อมกับหารือเรื่องสมาคมปักษ์ใต้ แต่ครั้งแรกตนเองไม่ว่าง ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขอนัดครั้งที่ 2 สุดท้าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มาพบถึงบ้าน
“ตอนนั้นมาเกือบ 1 ทุ่มแล้ว แค่พอมาถึง ไม่ได้มาคนเดียว พาอีกคนมาด้วย บอกว่าอยากให้รู้จักท่านสุชาติ ผมยังถามว่าเป็นอย่างไรกัน ตกลงกันได้แล้วหรือ เพราะทราบดีว่า มีเรื่องที่บิ๊กโจ๊กยื่นถอดถอนคุณสุชาติเอาไว้ ปรากฏว่าทางบิ๊กโจ๊กบอกว่ามาขอถอนเรื่อง ผมบอกว่าถอนลำบาก เพราะตรวจสอบรายชื่อประชาชนที่เข้าชื่อเรียบร้อยแล้ว แต่ผมดูแล้วรู้สึกเรื่องมันไม่มีมูล ทางบิ๊กโจ๊กยังบอกว่าดีๆ ส่วนทางท่านสุชาติก็นั่งเฉยๆ”
“เรื่องมีแค่นี้ นั่งกันอยู่มี 3 คน ไม่รู้ใครอัดเทป นั่งกันที่ห้องรับแขก มี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ท่านสุชาติ และผม ท่านสุชาติคงไม่ได้อัด และหน้าตาท่านก็ไม่ได้อยากมาเท่าไหร่ ดังนั้นคนที่อัดเทปก็ต้องเป็น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่น่าจะเสียมารยาทลูกผู้ชายไปอัดเทป ผมคิดว่าใช้ไม่ได้ ตรงที่มาอัดเทป แล้วตัดคลิปไปส่งไปให้สื่อ วันนั้นนั่งกันอยู่ 3 คน จะมีใครที่ทำ ผมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รู้จักกันมา แต่ทำเรื่องแบบนี้ไม่ถูกต้อง มาขอพบแล้วอัดเทป แอบส่งเทปให้สื่อมวลชน ไม่น่ากระทำ”ประธานวันนอร์กล่าว
ขณะที่ “บิ๊กโจ๊ก” ก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อโดยยืนยันเสียงแข็งว่า “พี่ไม่ได้เป็นคนถ่าย เอางี้ แล้วพี่ไม่ได้ไปด้วย สั้นๆจบ ถามว่าพี่จะไปถ่ายทำไม เพราะว่าพี่เป็นคนยื่นร้องถอดถอนนายสุชาติ แต่ถามว่ามีผู้ใหญ่ขอพี่ไหม มี แต่ว่าพี่ก็บอกผู้ใหญ่ไปแล้วว่าพี่ถอนไม่ได้ คนยื่นมา 20,000 กว่า ส่วนอาจารย์วันนอร์จะไปพิจารณาอย่างไรก็แล้วแต่ แต่พี่ไม่ได้เป็นคนพานายสุชาติไป ยืนยันว่าไม่ได้ซ่อนกล้อง ไม่ได้เป็นคนถ่าย เราไม่ใช่คนอย่างนั้นอยู่แล้ว”
เมื่อ “บิ๊กโจ๊ก” ปฏิเสธ แต่ “ประธานวันนอร์” ยืนยันว่า ใช่
ดังนั้น เรื่องนี้ต้องมีใครสักคน “โกหก” อย่างแน่นอน ซึ่งสังคมก็คงต้องตัดสินใจกันเอาเองว่า จะเชื่อใครมากกว่ากัน เพราะเรื่องนี้ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
สำหรับคลิปที่ปล่อยออกมา ก็ไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นว่า ต้องการด้อยค่า “สุชาติ” ที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นประธาน ป.ป.ช. หลังไม่ตกหลุมพรางหลงเข้าไปในเกมเกี้ยเซียะ และตั้งใจจะเดินหน้าคดีให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง
ที่สำคัญคือ แผนของ “บิ๊กโจ๊ก” ก็เหลวไม่เป็นท่า เพราะเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข” เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คนใหม่ออกมาเป็นที่เรียบร้อย โดยมี “นายมงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภาเป็นคนลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
งานนี้ ชะตากรรมของ “บิ๊กโจ๊ก” คงใกล้จะถึงจุดจบอีกในอีกไม่ช้า ยิ่งเมื่อ “วางแผนผิด” ก็ยิ่งตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวชนิดมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยทีเดียว