ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งเมียวดี แม้จะมีการตัดไฟ ตัดน้ำมัน ตัดเน็ต แล้ว แต่ตัวแปรสำคัญอยู่ที่การ “ตัดส่วย” ซึ่งโยงใยกะเหรี่ยงเทา – จีนเทา – ไทยเทา สามเส้ากลุ่มผลประโยชน์ที่เกาะเกี่ยวกันแน่น
ในส่วนของ “ไทยเทา” นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กำลังไล่เช็กบิลบรรดาบิ๊กสีกากีหลายนายที่เข้าไปเกี่ยวพัน ขณะเดียวกัน ทางการไทย โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังขอออกหมายจับกลุ่ม “กะเหรี่ยงเทา” ที่เอื้ออำนวยประโยชน์ให้กลุ่ม “จีนเทา” ตั้ง “เมืองสแกมเมอร์” ค้ามนุษย์และก่ออาชญกรรมทางไซเบอร์ ซึ่งเรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตาเพราะเป็นยาแรงหลังจากรัฐบาลจีนกดดันหนัก
ตามหมายจับของดีเอสไอ เลขคดีพิเศษที่304/2565 ผู้ต้องหา ประกอบด้วย 1.พันเอก ซอชิตตู่ (Colonel Saw Chit Thu) หรือ พันเอก หม่อง ชิตตู (สื่อพม่าเรียกเขาว่า ซอชิตตู่) ผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยง BGF 2.พันโท โมเต โธน (Lieutenant Colonel Mote Thone) หรือ พ.ท.เมาะ โต่ง และ 3.พันตรี ทิน วิน Tin Win (Major Tin Win) หรือ พ.ต.เต่ง วิน รวมถึงยังมีในส่วนของเจ้าของบ่อนเฮงเชง โดยกลุ่มผู้ต้องหามีพฤติการณ์นำชาวอินเดียไปทำการค้ามนุษย์ บังคับทำแก๊งคอลเซนเตอร์ที่บ่อนเฮงเชง จ.เมียวดี ประเทศเมียนมา ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก โดยประเทศไทยถูกใช้เป็นทางผ่านคล้ายกรณีของนักแสดงชายชาวจีน “ซิง ซิง”
ทว่า หมายจับดังกล่าว ถูกอัยการสั่งเบรก เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ แนะให้ไปสอบหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเสียก่อน
ขณะที่ หม่อง ชิตตู ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว irrawaddy ว่า “ผมอยากถามว่า ผมไปทำอะไรให้กับประเทศไทย ถึงสมควรถูกจับกุม ผมก่อกบฏต่อประเทศไทยหรือไม่”
การตามล่า พันเอก หม่อง ชิตตู ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมียวดี ถือเป็นงานยาก แม้แต่รัฐบาลทหารเมียนมา นำโดย พล.อ.อาวุโส มิน อ่องหล่าย ประธานสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ยังไม่กล้าแตกหักกับ พันเอก ซอชิตตู่ และพี่ใหญ่จีนก็ไม่เลือกใช้ “เล้าก์ก่ายโมเดล” มาจัดการ พ.อ.ซอชิตตู่ แต่หันมากดดันและยืมมือรัฐบาลไทยจัดการกับกะเหรี่ยงเทาและจีนเทาเมืองเมียวดี แทนที่จะพี่ใหญ่จีนจะลงมือจัดการเองม้วนเดียวจบอย่างที่เล้าก์ก่าย
ทั้งนี้ เมื่อกลางปี 2566 จีนส่งทหารแฝงตัวเป็นสายลับ และเข้าไปเป็นทหารในกองกำลังโกก้างหรือกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชนชาติพม่า (Myanmar National Democratic Alliance Army-MNDAA) เพื่อสืบหาข้อมูลและร่วมปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังว้าแดง (United Wa State Army- UWSA) ในการกวาดล้างปราบทุนจีนสีเทา และคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเล้าก์ก่าย เขตปกครองพิเศษโกก้าง ทางตอนเหนือของรัฐฉาน และส่งตัวแก๊งจีนเทากลับไปดำเนินคดีและรับโทษในจีน
ครั้งนี้ หลายฝ่ายจึงมองว่าจีนอาจใช้โมเดลเล้าก์ก่าย มาปฏิบัติการในเมียวดี แต่ต้องไม่ลืมว่าเมืองเมียวดี ไม่ได้มีพรมแดนติดกับจีนเหมือนเล้าก์ก่ายซึ่งสะดวกในการส่งอาวุธและโดรนโจมตี อีกทั้งกองกำลังกะเหรี่ยงที่มีอิทธิพลอยู่ในเมียวดีมีหลายกลุ่มไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลของจีนโดยตรง บางกลุ่มมีความใกล้ชิดกับไทยและบางกลุ่มก็มีความโน้มเอียงไปทางสหรัฐฯ อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ที่แน่ ๆ ความเคลื่อนไหวของพี่ใหญ่จีนในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาคราวนี้ สะท้อนถึงอิทธิพลของจีนที่มีเหนือรัฐบาลไทยและกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เป็นอย่างดี ดูจากความเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทยผ่านทางดีเอสไอ ที่ขอออกหมายจับพันเอก ซอชิตตู่ และพวก
ขณะที่ผู้นำกองกำลังฯ ต่างออกมาปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นการดำรงอยู่ของกลุ่มจีนเทา พร้อมส่งตัวเหยื่อค้ามนุษย์กลับสู่ประเทศต้นทาง ซึ่งความสามารถในการแทรกแซงและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น หมายความว่า จีนกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางและกลายเป็นศูนย์กลางตัดสินใจทางการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคนี้ไปแล้ว
แกะรอย “ซอชิตตู่” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมียวดี
มาทำความรู้จักกับ พันเอก ซอชิตตู่ หรือที่รู้จักกันว่า หม่อง ชิตตู ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Army : KNA) ผู้ต้องหาหมายเลขหนึ่งของดีเอสไอ
หม่อง ชิตตู เกิดในหมู่บ้าน Kyar Inn ในเมือง Hlinebwe รัฐกะเหรี่ยง เดิมเป็นผู้บัญชาการกองพันที่ 999 ของกองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (Democratic Karen Buddhist Army : DKBA) ซึ่งแยกตัวมาจากสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union- KNU) เมื่อปี 2537 เพื่อเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกองทัพเมียนมา (ตัดมาดอว์)ในการบ่อนทำลาย KNU แลกกับการได้รับการสนับสนุนด้านการเงินและการทหาร
ต่อมาปี 2553 หม่อง ชิตตู รับข้อเสนอรัฐบาลพม่าเข้าร่วมเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Force-BGF) ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัดมาดอว์ รับเงินเดือนและสวัสดิการจากกองทัพพม่า ทำหน้าที่ควบคุมความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน อย่างไรก็ตามควรจะต้องกล่าวได้ด้วยว่า มีชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนหนึ่งไม่ต้องการเข้าเป็น BGF เต็มตัวจึงพยายามรักษาชื่อองค์กร DKBA ของตัวเองเอาไว้ใช้ในการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ
ประเมินกันว่า BGF มีกำลังพล 1 หมื่นนาย จัดวางโครงสร้างการบังคับบัญชาเป็น 13 กองพัน แบ่งพื้นที่ดูแลเป็น 4 กรม โดยผู้นำกองกำลัง BGF ที่ทรงอิทธิพลมีอยู่ 3 คน คือ ชิตตู่ , เมาะโต่ง และเต่งวิน ซึ่งต่างเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในเมืองสแกมเมอร์ของกลุ่มจีนเทา
สำหรับพ.อ.ซอชิตตู่ คุมกรม 3 หรือ ผบ.บก.ควบคุมพื้นที่ 3 เมืองเมียวดีฝั่งเหนือ และดูแลเมืองใหม่ชเวก๊กโก่ ซึ่งอยู่ตรงข้าม อ.แม่ระมาด และ อ.แม่สอด จ.ตาก
ส่วน พ.ท.ซอ เมาะ โต่ง คุมกรม 4 หรือ ผบ.บก.ควบคุมพื้นที่ 4 เมือง เมียวดีฝั่งใต้ และดูแลเมืองตงเหมย เมืองใหม่เมียวดี และจินเซียน พาร์ค ตั้งอยู่ตรงข้าม ต.แม่โกนเกน อ.แม่สอด จ.ตาก
ขณะที่ พ.ต.เต่ง วิน คุมกรม 2 หรือ ผบ.บก.ควบคุมพื้นที่ 2 เมืองเมียวดีฝั่งใต้ และดูแลเมืองใหม่เคเคพาร์ค อยู่ตรงข้ามกับ ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก
กองกำลังกะเหรี่ยง BGF มีอิทธิพลเหนือแนวชายแดนด้าน จ.เมียวดี ทั้งฝั่งเหนือและฝั่งใต้ ส่วนกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธที่ยังคงรักษาชื่อ DKBA คุมพื้นที่เมืองชูกลี เมืองเมียวดีฝั่งใต้ ไปจนถึงเมืองพญาตองชู ตรงข้ามด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี
ตลอดแนวชายแดนไทย-เมียนมา ดังกล่าว จึงอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐกระเหรี่ยงกลุ่ม DKBA และ BGF ซึ่งต่อมาภายหลังเมื่อเดือน ม.ค. 2567 BGF ประกาศแยกตัวจากรัฐบาลทหารเมียนมา และในเดือนมี.ค. ปีเดียวกัน ได้ประกาศตั้งชื่อกลุ่มใหม่ คือ KNA เป็นการแปลงร่างใหม่ แหล่งข่าวบางกระแสให้ข้อมูลว่า ตัดมาดอว์ยังไม่ได้อนุญาตให้ชิตตู่ลาออกจาก BGF แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและยังรักษาความเป็นพันธมิตรระหว่างกันเอาไว้อยู่
เมื่อชิตตู่หักหลังชาวกะเหรี่ยงด้วยกันไปเข้ากับกองทัพพม่าจึงได้รับการตกรางวัลด้วยสัมปทานทางธุรกิจหลายอย่างในพื้นที่รวมทั้งการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วย เขาจึงได้ก่อตั้งและทำหน้าที่ประธานบริษัท Chit Linn Myaing ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่เข้าร่วมทุนกับกลุ่มจีนเทาที่ย้ายฐานมาจากสีหนุวิลล์ หลังจากรัฐบาลกัมพูชากดดันกลุ่มทุนจีนเทาอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อปี 2560 หม่อง ชิตตู ร่วมลงทุนกับบริษัท Yatai International Holding Group ของ “ฉือ จื้อเจียง” เพื่อพัฒนาเมืองใหม่ Yatai New City ในพื้นที่ชเวโก๊กโก่ ซึ่งตามข้อมูลในรายงานของสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (USIP) ระบุว่า มีเนื้อที่ประมาณ 450,000 ไร่ เม็ดเงินลงทุนกว่า 525,000 ล้านบาท เป็นโครงการที่ทำให้ หม่อง ชิตตู ถูกทางการอังกฤษและสหภาพยุโรปคว่ำบาตรและห้ามการเดินทาง วันที่ 8 ธ.ค. 2566 เพราะให้การสนับสนุนหรือได้รับประโยชน์จากการค้ามนุษย์ในเขตพิเศษชเวโก๊กโก่
ขณะที่ ฉือ เจ้อเจียง ถูกตำรวจสากลออกหมายจับ เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2564 ข้อหาประกอบกิจการการพนันผิดกฎหมายและการฉ้อโกงผ่านการพนันออนไลน์ มูลค่าความเสียหายกว่า 5,000 ล้านบาท เขาถูกจับที่ประเทศไทย วันที่ 12 ส.ค. 2565 และถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ศาลอาญา มีคำสั่งเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2566 ให้ส่งตัวนายฉือไปจีน เพื่อดำเนินคดีความผิดฐานเปิดบ่อนกาสิโนผิดกฎหมาย ตามคำร้องขอของรัฐบาลจีน แต่นายฉืออุทธรณ์คำสั่งนี้ โดยคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ส่วน ฉือ เจ้อเจียง ถูกย้ายมาคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรม
นอกจากนั้น กลุ่ม BGF ยังร่วมลงทุนกับกลุ่มจีนเทาอื่น ๆ เช่น บริษัทตงเหมยกรุ๊ป (Dongmei Group) ซึ่งนำโดย หวัน ค็อก คอย ฉายา “ไอ้ฟันหลอ” อดีตหัวหน้ากลุ่ม14K ซึ่งเป็นกลุ่มอาชญากรระดับโลก สร้างเมือง “KKPark” เมื่อปี 2563 เมืองสแกมเมอร์ใหญ่อันดับสองทางฝั่งทิศใต้ของเมียวดี
โครงการนี้ นายหวัน เคยประกาศว่า จะทำให้เมืองเคเคปาร์ค เป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมียนมา และเป็นจุดผ่านแดนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเมียนมา โดยจะพัฒนาให้เป็นเมืองเซินเจิ้นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เลียนแบบเมืองเซินเจิ้นของจีน แต่ความเป็นจริงกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม เคเคปาร์ค กลายเป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติที่ล่อลวงคนจากทุกมุมโลกมาทำงานหลอกลวงทางออนไลน์ หากทำไม่เข้าเป้าจะถูกทุบตีทำร้าย
“โกซาย” เจ้าพ่อกะเหรี่ยง DKBA
ไม่ใช่มีแค่ พันเอก ซอชิตตู่ ที่เป็นกะเหรี่ยงเทาผู้มีอิทธิพลในเมืองสแกมเมอร์ของกลุ่มทุนเทา ยังมี พลจัตวา ซาย จอ หล่า (Sai Kyaw Hla) หรือ โกซาย หรือ โกไซ ผู้นำหมายเลข 3 ของกองกำลังกะเหรี่ยงใจบุญเพื่อประชาธิปไตย (Democratic Karen Benevolent Army – DKBA หรือกะเหรี่ยงพุทธแต่เดิมนั่นเอง) ซึ่งเวลานี้มีอิทธิพลอยู่เขตพิเศษไท่ฉาง โดยเขาร่วมมือกับจีนเทาสร้างเมืองสแกมเมอร์แห่งใหม่ ตรงข้ามกับ ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก
ปัจจุบัน DKBA มีฐานบัญชาการอยู่ที่บ้านโซ่งซินเหมี่ยง เทือกเขาดอร์นะ เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก โดยพื้นที่อิทธิพลของ DKBA อยู่ในฝั่งเมียวดีตอนใต้ ค่ายวาเลย์ ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก ยาวไปจนถึงเมืองพญาตองซู ตรงข้ามด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี
ปลายปี 2567 คณะกรรมการกลางกะเหรี่ยง DKBA มีมติแต่งตั้ง พล.ต.จ่อ ส่วยวะ เป็นรอง ผบ.ควบคุมกองทัพกลาง DKBA และพล.จ.ซานอ่อง เป็นเสนาธิการ DKBA ส่วน พล.จ.ไซ จ่อหล่า หรือโกไซ เป็นผู้บัญชาการกองพลน้อย ที่ 1 DKBA เป็นผู้ควบคุมเขตพิเศษไท่ฉาง ตรงข้าม ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก
จากรายงานของสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (USIP) เมื่อกลางปี 2567 ระบุว่า โกซาย หรือ ไซ จอหล่า ร่วมกับนักลงทุนจีนที่ย้ายฐานการลงทุนมาจากสีหนุวิลล์ ร่วมทุนกันก่อตั้งเมืองใหม่ไท่ฉาง ที่เมืองเจาคะ จ.เมียวดี อยู่ตรงข้าม วัดช่องแคบ ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก เมื่อปี 2566 และเมื่อมีการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมืองเล้าก์ก่าย เขตปกครองโกก้าง กลุ่มทุนจีนเทาก็แตกกระเจิงมาปักหลักก่ออาชญากรรมไซเบอร์ที่เมืองสแกมเมอร์เขตไท่ฉางเช่นกัน
สำนักข่าวชายขอบ อ้างอิงข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Pornsuk ‘Pim’ Koetsawang ที่เขียนถึงโกซาย ว่า โกซาย (Ko Sai) คือคำเรียกชายไทใหญ่แบบพม่า โก เป็นภาษาพม่า เอาไว้เรียกผู้ชาย ซายหรือจาย เป็นภาษาไทใหญ่ เอาไว้เรียกผู้ชายเหมือนกัน คนที่ใช้ภาษาพม่า ก็เลยชอบเรียกชายไทใหญ่ว่า โกซาย
โกซายคนที่เป็นข่าว คือ ซาย จ่อละ (Kyaw Hla) อาณาจักรของโกซายตรงข้ามบ้านช่องแคบ อ.พบพระ ว่ากันว่าเป็นพื้นที่ค้ามนุษย์เข้าสู่งานอาชญากรรมที่โหดเหี้ยมที่สุด ตอนระเบิดลงเมืองเลเก้ก่อเมื่อปลายปี 2564 ผู้ลี้ภัยการเมืองจำนวนมากแตกกระเจิงจากเลเก้ก่อ และใช้เส้นทางช่องแคบหนีเข้าไทย พอถูกรัฐไทยผลักกลับ โกซายก็มีพื้นที่ให้พักอาศัย ซึ่งน่ากังวลกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า การที่ไทยไม่รับผู้ลี้ภัย คือการผลักพวกเขาให้ไปอยู่ในแวดวงไหน
โกซายเป็นผู้นำกองทัพกะเหรี่ยง DKBA ก็จริง แต่เจ้าตัวไม่ได้เป็นคนกะเหรี่ยง เพื่อนบอกว่า บ้านดั้งเดิมของเขาคือบ้านกองถั่วดินอยู่บนชายแดนจีน-รัฐฉาน เขาเคยร่วมงานกับ SSA/RCSS มาก่อน แต่ก็ลงใต้มาอยู่กับ “นะคะมวย” แห่ง DKBA ที่แยกออกมาจาก KNU เมื่อปี 2537 พร้อม ๆ กันกับพวกชิตตู่
ศึกเมียวดีในปีพ.ศ. 2553 ตอนนั้น ผู้ลี้ภัยนับหมื่นไหลเข้าประเทศไทย ซาย จอละ เป็นกำลังสำคัญของนะคะมวย นำ DKBA เข้าโจมตีเมียวดี เพื่อแสดงอำนาจต่อรองในการที่จะไม่ยอมแปลงสภาพไปเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดน BGF ในอาณัติกองทัพพม่า เหมือนกับกลุ่มของชิตตู่ (ซึ่งหลัง ๆ ชิตตู่ก็พิสูจน์ได้ว่า BGF สามารถสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารจนไม่ได้อยู่ในอาณัติทัพพม่าอะไรเลย)
หลังศึกเมียวดี ซาย จอละ ได้รับการเลื่อนยศ เขาเข้าเคลียร์พื้นที่และก่อตั้งอาณาจักรช่องแคบ ดำเนินธุรกิจจริงจังเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งธุรกิจของ DKBA นั้น คนชายแดนเข้าใจว่ามันคือการค้ายาเสพติด เมื่อเทรนด์มาถึงคาสิโน คอลเซ็นเตอร์ ออนไลน์สแกม กับค้ามนุษย์ ธุรกิจของโกซายก็สยายครบวงจร
เป็นเสียงสะท้อนที่คนในพื้นที่บอกว่า “กาสิโนโกซาย” (ซึ่งไม่ได้หมายถึงกาสิโนจริง ๆ) โหดเหี้ยมและน่ากลัวกว่าฉ่วยก๊กโก่หลายเท่า
สำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา หลังรัฐบาลไทยตัดไฟ ตัดน้ำมัน ตัดอินเตอร์เน็ต ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2568 ทางกองกำลัง DKBA ได้นำส่งเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 260 คน ที่ท่าขนส่งสินค้า 28 บ้านช่องแคบ หมู่11 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ ซึ่ง พ.อ.ณัฐกร เรือนติ๊๊บ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจราชมนู อ.แม่สอด ได้นำกำลังทหารพร้อมรถรับ-ส่งไปรอรับ
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยว่า จะมีการนำส่งเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาอีก 7,000 คน ในเร็ว ๆ นี้
มีรายงาน ว่ายังมีเหยื่อชาวต่างชาติอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฯลฯ อีกเพียบ เฉพาะชายจีนประมาณหมื่นคนและชาติอื่น ๆ อีกไม่ต่ำกว่า 5 พันคน
สะท้อนว่า ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนจีนเทากับกะเหรี่ยงเทาคือหนึ่งเดียวกัน และเมื่อคอนเนกชั่นที่โยงใยมายังกลุ่มไทยเทาถูกทุบขาดสะบั้น สามเส้ากลุ่มผลประโยชน์สีเทาคงหาที่ทางย้ายฐานใหม่อีกครั้ง