ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังเปิด “ปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์” อย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทยภายใต้การกดดันของรัฐบาลจีนที่ส่ง “หลิว จงอี้” ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีนมากำกับการด้วยตัวเองถึงในประเทศไทย ก็ปรากฏชื่อตัวละครสำคัญ 4 คนโผล่ขึ้นมา
คนแรกก็คือ “ผู้การต๊ะ- “พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ” ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 ซึ่ง “บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์” ผบ.ตร. ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 63/2568 ย้ายขาดไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568
การย้ายดังกล่าวเกิดขึ้นหลังมีข้อมูลกล่าวหา พล.ต.ต.เอกราษฎร์ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายในเมียวดีคอมเพล็กซ์ ริมชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นแหล่งฟอกเงิน บ่อนกาสิโน และสถานบันเทิงผิดกฎหมายขนาดใหญ่
คนที่สองก็คือ “พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล” ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก ที่ “บิ๊กต่าย” ก็ได้ลงนามในคำสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในวันเดียวกัน
หลังจากก่อนหน้านี้มีคำสั่งเด้ง 3 ผู้กำกับการที่ดูแลโรงพักชายแดนไทย-เมียนมาออกจากพื้นที่พร้อมกันไปแล้ว ประกอบด้วย พ.ต.อ.พิทยากร เพชรรัตน์ ผกก.แม่สอด จ.ตาก พ.ต.อ.ฐมณ์พงศ์ เพ็ชร์พิรุณ ผกก.สภ.แม่ระมาด จ.ตาก และ พ.ต.อ.ฉัตรชัย คำยิ่ง ผกก.สภ.พบพระ จ.ตาก
แน่นอนว่า การย้ายนายตำรวจระดับสูงในจังหวัดตากพ้นพื้นที่ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียวดี
คนที่สามก็คือ “พ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเรขา ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก” ที่ถูกเด้งพ้นพื้นที่ให้ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อสอบข้อเท็จจริงว่ามีเอี่ยวหรือบกพร่องกับการที่ต่างชาติถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลวงข้ามแดนหรือไม่
และคนที่สี่ก็คือ “หม่อง ชิตตู่” เลขาธิการกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ BGF ทหารของกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย หรือ DKBA ก่อนแยกตัวออกมาเป็นพันธมิตรกับกองทัพเมียนมา และก่อตั้งกองกำลัง BGF ขึ้นในพื้นที่ จ.เมียวดี ทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ในเขตอิทธิพลของตัวเองให้กับรัฐบาลเมียนมา
และขณะนี้มีคำยืนยันว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ ภายใต้การนำทัพของ “ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีความพยายามที่จะออก “หมายจับ” หม่องชิตตู่และพวก
ประเด็นที่ต้องค้นหาคำถามก็คือ “เมียวดีคอนเนกชัน” มี “ใคร” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอีก เพราะบรรดาเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลากหลายสัญชาตินับหมื่นคนก็ล้วนแล้วแต่ข้ามแดนเข้าประเทศเมียนมาจากฝั่งประเทศไทยทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากฝั่งไทย คงไม่มีการหลอกลวงข้ามแดนกันได้มโหฬารขนาดนี้
**กำเนิดเมียวดีคอนเนกชัน**
เมียวดีเป็นเมืองชายแดนที่อยู่ตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ถูกระบุว่าเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งขบวนการค้ามนุษย์ การพนันออนไลน์ ไปจนถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีศูนย์ใหญ่กว่า 30 แห่งกระจายตามจุดต่างๆ ในบริเวณชายแดนพม่า
เป็นศูนย์รวมของทุกสรรพสิ่ง” ที่ทำ “ไม่ได้ในประเทศไทย”เป็นที่ตั้งของ “เซิร์ฟเวอร์บ่อนพนันออนไลน์” กลายเป็นศูนย์รวมของ “กาสิโน” ซึ่งเรียงรายเป็นตับริมฝั่งแม่น้ำเมย และกาสิโนที่ขึ้นชื่อที่สุดเห็นทีจะหนีไม่พ้น “บ่อนเมียวดี คอมเพล็กซ์”กลายเป็นแหล่ง “ฟอกเงิน” กลายเป็นเส้นทางลำเลียง “ยาเสพติดและของผิดกฎหมาย” ฯลฯ
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่ในแต่ละวันจะเห็นกองทัพมดขนอะไรต่อมิอะไรข้ามแม่น้ำเมย ไปๆ มาๆ จนชินตา เพราะสะดวกสบาย ไม่ต้องแสดง “หนังสือเดินทาง” หรืออะไรทั้งสิ้น และขอประทานโทษน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ต้องใช้ขับรถยนต์ขนข้ามพรมแดนให้เสียเวลา..เพราะที่นี่เขาต่อท่อตรงจากฝั่งประเทศไทยข้ามไปยังประเทศเมียนมาอย่างหน้าตาเฉย
ทว่า กว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีการปะทะห้ำหั่นกันอย่างหนักของกองกำลังต่างๆ ที่อยู่บริเวณตะเข็บชายแดน กระทั่งเมื่อ “หม่องชิตตู” เลขาธิการกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ BGF เปิดศึกกับกองกำลังกระเหรี่ยงคริสต์ หรือ KNU และสามารถควบคุมพื้นที่ได้ ก็เริ่มมีการพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยว
มีการเปิด “เมียวดีคอมเพล็กซ์” ซึ่งมีทั้งบ่อนพนันทุกชนิดกับสินค้าปลอดภาษีภายใต้การกำกับของ “หม่อง ชิดตู่” โดยการรู้เห็นเป็นใจของรัฐบาลเมียนมา กระทั่งกลายเป็นเครือข่ายที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในพื้นที่นี้
ประเด็นก็คือ ความยิ่งใหญ่ของ “หม่อง ชิตตู” จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าหากไม่ได้รับความร่วมมือจาก “รัฐไทย” โดยเฉพาะบรรดา “เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่อยู่ในพื้นที่แถบนั้น ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร ศุลกากร ฯลฯ
จุดนี้นี่เอง จึงเป็นที่มาของการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งย้าย “ผู้การต๊ะ-พล.ต.ต.เอกราษฎร์” เข้ามาช่วยราชการ เนื่องเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาคือผู้กว้างขวางและรู้จักกันดีตลอดแนวชายแดนไทย-เมียนมา
และว่ากันว่า เขาน่าจะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของ “เมียวดีคอนเนกชัน” เลยก็ว่าได้
ถ้าไล่เรียงเส้นทางของ “ผู้การต๊ะ” ก็จะพบว่า เขาคือนายตำรวจระดับมหาเศรษฐี มีคฤหาสน์ระดับร้อยล้านตั้งอยู่บนเนื้อที่ 5 ไร่ที่ด้านหลังมี “น้ำตก” ที่จำลองมาจาก “น้ำตกทีลอซู” พร้อมกับสนามไดร์ฟกอล์ฟ ในบริเวณบ้านซึ่งตั้งอยู่ที่แม่สอด จังหวัดตาก พร้อมมีเส้นสายระดับที่ต้องใช้คำว่า “ซูเปอร์คอนเนกชัน” ไม่เช่นนั้นคงไม่ยืนยงมาได้จนถึงปัจจุบันนี้
เป็น “ซูเปอร์คอนเนกชัน” ที่เชื่อมโยงขึ้นไปถึง “ระดับบิ๊กๆ” ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติและเหนือยิ่งไปกว่านั้น
“ผู้การต๊ะ” เริ่มต้นเข้าสู่ยุทธจักรอำนาจหลังจากเป็นตำรวจติดตาม “นาย ยงยุทธ ติยะไพรัช” อดีต ส.ส.เชียงราย อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และรัฐสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากนั้นขยับขึ้นเป็นผู้กำกับการ สภ.แม่สอด เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรแม่สอด คนที่ 36 อยู่เป็นผู้กำกับการ สภ.แม่สอด ยาวนานถึง 4 ปีเต็ม จึงขึ้นเป็นรองผู้การจังหวัด
เรียกว่า ไม่มีใครในภาค 6 ที่ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง คือ พิษณุโลก, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์, กำแพงเพชร, พิจิตร, อุตรดิตถ์, อุทัยธานี, สุโขทัย และตาก ไม่รู้จักนายตำรวจรายนี้กันเลยทีเดียว
ขณะเดียวกันด้วยความที่อยู่ในพื้นที่มานาน ทำให้ “ผู้การต๊ะ” มีเครือข่ายที่กว้างขวางทั้งในฝั่งไทยและฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะฝั่งเมียนมานั้น เป็นที่ร่ำลือกันหนาหูว่า เขาคุ้นเคยเป็นพิเศษกับ “หม่องชิตตู”
“ผู้การต๊ะ” ไม่ได้เป็นแค่ตำรวจหากแต่มีธุรกิจใหญ่โตในประเทศเมียนมาด้วย ซึ่งเขาก็ยอมรับในการให้สัมภาษณ์กับ “พีพีทีวี” เอาไว้ว่า “เคยมีแต่ขายไปแล้ว เป็นธุรกิจที่ขายไปแล้ว นานแล้ว ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว หรือสมมุติถ้ามีจริงก็ไม่ได้ผิดกฎหมายไทย มีโรงแรม กาสิโน ดิวตี้ฟรี ก็เหมือนเราทำธุรกิจที่ลาสเวกัส สิงคโปร์ มาเก๊า มันเคลื่อนมาแค่ตะเข็บแต่มันก็นอกราชอาณาจักรไทย มันผิดอะไร พี่ไปทำธุรกิจที่มาเก๊าผิดไหมก็ไม่ผิด เอาตรงๆ คือว่า มันผิดกฎหมายไหม มีใบอนุญาตเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่ไปลงทุนในนั้น”
มีแหล่งข่าวระดับสูงเล่าให้ฟังว่า เคยมีนายทุนจีนจากกวางเจามาเจรจาขอซื้อบ่อน Myawaddy Complex กับ นายตำรวจเจ้าของบ่อนว่าขายเท่าไหร่ ... เขาตอบว่า 500 ล้าน ... แต่ไม่ใช่ 500 ล้านบาท แต่เป็น 500 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 15,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
เจ้าของบ่อนที่ว่าจะเป็น “ผู้การต๊ะ” หรือไม่ ไม่ทราบได้
ทว่า การออกมาเปิดหน้าให้ข้อมูลของ “ผู้การต๊ะ” ก็ไม่เป็นผลอันใด เพราะ “ผบ.ต่าย” สั่งเด้งเข้ากรุมาสอบสวนทวนความเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วน “ผู้การตากและคณะ” รวมถึง “ผกก.ตม.ตาก” ที่ถูกเด้งเช่นกัน ก็หนีไม่พ้นต้องถูกตั้งคำถามว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “เมียวดีคอนเนกชัน” หรือไม่อย่างไร เพราะการปล่อยให้จังหวัดที่อยู่ภายใต้การปกครองตัวเองตกอยู่ในสภาพดังกล่าว ย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้
ที่แน่ๆ คือ พื้นที่นี้ถ้าไม่แข็งจริงหรือมีคอนเนกชันดีจริงก็ไม่ใช่พื้นที่ที่ใครจะสามารถย้ายเข้ามาประจำการได้ง่ายๆ
ทว่า สุดท้ายคงต้องรอผลสอบที่ สตช.ตั้งขึ้นมาสอบสวนทวนความว่า นายตำรวจทั้งหมดกระทำความผิดหรือไม่ อย่างไร
**หมวดนพ จิ๊กซอว์คนสำคัญ**
อย่างไรก็ดี นอกจาก “ผู้การตาก 3 ผู้กำกับและผกก.ตม.ตาก” แล้ว ยังมีอีกหนึ่งตัวละครที่น่าสนใจ นั่นก็คือ “หมวดนพ” หรือ ร.ต.ท.มานพ ศิวาดำรงค์ รองสารวัตร (ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม) สภ.แม่สอด พ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าชุดเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ภาค 6 และ ชุดปฏิบัติการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดและแรงงานข้ามชาติ ที่มีคำสั่งให้ขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เนื่องจากต้องสงสัยว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบหลบหนี เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและมีฐานะความเป็นอยู่ที่ร่ำรวยผิดปกติ อาจได้ทรัพย์สินมาโดยผิดกฎหมาย
ความน่าสนใจของ “หมวดนพ” อยู่ตรงที่ว่า เขามีบ้านอยู่ 2 หลัง
หลังแรกเป็นบ้านเดี่ยว เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ได้ อยู่ที่ ต.แม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประตูหน้าบ้าน ทำสัญลักษณ์เป็น ตราโล่ห์ตำรวจ อันใหญ่มาก ติดประตูหน้าบ้าน ว่ากันตามตรง “บ้านหมวดนพ” หลังใหญ่กว่า “บ้านพักข้าราชการ ระดับผู้กำกับโรงพักแม่สอด” เสียอีก
ส่วนหลังที่สอง มีขนาดใหญ่โตกว่าหลังแรกมาก โดยมีเนื้อที่ประมาณเกือบ 10 ไร่เห็นจะได้ ตัวบ้านตั้งอยู่บนยอดภูเล็ก ๆ บ้านหลังนี้ อยู่ที่ ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ที่ดินกับตัวบ้านน่าจะมูลค่าเกินกว่าหลักสิบล้านบาทไปไกล
แถมในงานขึ้นฉลองคฤหาสน์หลังใหม่กับบ้านบนยอดภูเล็ก ๆ เมื่อต้นปี 2567 วันที่ 19 มกราคม 2567 ของ “หมวดนพ” มีการจัดงานใหญ่โต มีการจัดเวทีคอนเสิร์ต จ้างวงดนตรีมาเล่น พร้อมแขกเพียบ ยิ่งกว่างานวันเกิด “ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก” ถึงขนาดที่สื่อท้องถิ่นยังต้องมาทำข่าว และลงข่าวด้วยโดยบรรดา ผู้พิพากษา, ตำรวจ, สจ., อบต., อบจ. ต่างเดินทางมาแสดงความยินดีกับ “หมวดนพ” กันพร้อมหน้า รวมไปถึงนักร้องชื่อดังอย่าง “เสก โลโซ” เสกสรรค์ ศุขพิมาย
ที่น่าสนใจคือในซอยบ้าน “หมวดนพ” อาจจะเรียกเป็น “อาณาจักรของครอบครัวศิวาดำรงค์” ก็ว่าได้ เพราะแทบจะครองซอยทั้งซอย กล่าวคือ
1. บ้านหลังแรกต้นซอย
2. ถัดมากลางซอยเป็น “อรพิน รีสอร์ท” ธุรกิจอีกอย่างของครอบครัว
3. ถัดมาอีกหน่อย “อู่ซ่อมรถมานพ”
4. สุดซอยเป็น “คฤหาสน์น้อยๆ” ของ “หมวดนพ” ที่บอกได้เลยว่าตำรวจระดับ “ผู้กำกับโรงพัก” หรือ “ผู้การจังหวัด” ทั่ว ๆ ไปก็คงยังไม่มีปัญญาครอบครองทรัพย์สินขนาดนี้
คำถามก็คืออาชีพตำรวจซึ่งเป็นอาชีพหลัก กับอาชีพเสริมที่เปิดอู่ซ่อมรถจะทำให้ “หมวดนพ” มีรายได้ก้อนงามจนสามารถสร้างบ้านใหญ่โตขนาดนี้เชียวหรือ
ส่วนจะเกี่ยวข้องกับ “ขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ” หรือไม่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติคงต้องไปตรวจสอบดู แต่ที่แน่ๆ คือ “หมวดนพ” มีนามสกุลเดียวกับ “พล.อ.สำเริง ศิวาดำรงค์” อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ในช่วงปี 2550-2551 พอเกษียณอายุราชการ พล.อ.สำเริง ก็ได้ปูนบำเหน็จไปเป็น “สว.” ในยุครัฐบาลลุงตู่
...ถึงตรงนี้ ต้องบอกว่า เรื่องราวของอำนาจและผลประโยชน์ตามรอยตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมาภายใต้ “เมียวดีคอนเนกชัน” นั้น “ลึกลับซับซ่อนกว่าที่คิด” เป็น “ เครือข่ายโคตรใหญ่เบื้องประจิมทิศ” ซึ่งมี “อำนาจเหนือรัฐ” ตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา
ถ้าจะกล่าวว่า “เมียวดี คอนเนกชัน” ควบคุม “ระบบอุปถัมภ์”และ “ระบบความมั่นคง” ที่ทรงพลานุภาพองค์กรหนึ่งของประเทศ ก็คงจะไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
ที่สำคัญคือยังมี “ตัวละคร” อีกหลายตัวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะบรรดาหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่แค่ตำรวจ หากยังมีฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร เป็นต้น ไม่เช่นนั้น บรรดาเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลากหลายสัญชาตินับหมื่นคนจะข้ามแดนจากไทยไปเมียนมากันได้อย่างไร
ขึ้นอยู่กับว่า รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรจะกล้าดำเนินการอย่างเด็ดขาดถึงตัวการใหญ่ที่อยู่ใต้ยอดภูเขาน้ำแข็งที่ปรากฏหรือไม่ ก็เท่านั้น