xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คุ้มมั้ย? รื้อกม.ขายเหล้า (คร่ำครึ) แลกเงินสะพัดพุ่ง “แสนล้าน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กลายเป็นประเด็นร้อนทันที หลังจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาข้อมูลการแก้กฎหมายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯ อาทิ การคุมเวลาขาย 14.00 – 17.00 น., ข้อห้ามขายวันพระใหญ่ และข้อห้ามขายผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อปรับเปลี่ยนตามบริบทสังคมหลังหลังมีการบังคับใช้มานาน 53 ปี รวมทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

นายกฯ แพทองธาร เปิดเผยว่า ได้รับข้อร้องเรียนจากภาคธุรกิจในหลายกลุ่มค่อนข้างเยอะในเรื่องข้อจำกัดทางกฎหมายในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และไม่สอดคล้องกับนโยบายที่ปีนี้รัฐบาลได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 จึงได้มีการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติม

ไม่ว่าจะเป็นกฎเรื่องการห้ามขายช่วงเวลา 14.00-17.00 น. หรือในช่วงของวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ว่าเรื่องนี้มีการกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง รวมทั้งการห้ามขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือกรณีที่อาจจะติดขัดในเรื่องข้อจำกัดด้านการควบคุมพื้นที่ที่เป็นโซนนิ่ง และกฎบางกฎออกมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 หรือตั้งแต่ช่วงปี 2515 เป็นต้น

ทั้งนี้ จะพิจารณาปรับปรุงแก้ไขในข้อกฎหมาย หรือข้อบังคับหรือประกาศใดๆ ที่ทำได้ก่อนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มีนาคม 2568 นี้ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก่อนเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 โดยจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและการป้องกันเยาวชนไม่ให้เข้าถึงแอลกอฮอล์ได้อย่างเหมาะสม และเป็นรูปธรรม สอดรับกับความเป็นจริงในประเทศไทย

กล่าวสำหรับการกำหนดเวลาขายเหล้าของคณะปฏิวัติเป็นมรดกตกทอดมาจนปัจจุบัน แม้จะมีเจตนาดัดนิสัยข้าราชการแต่กฎหมายฉบับนี้บังคับกับประชาชนด้วย

 นายกวี สระกวี  นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เปิดเผยมาตรการห้ามขายในช่วงเวลา 14.00 - 17.00 น. นั้นมีที่มาจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 พ.ศ.2515 ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร จุดเริ่มต้นของมาตรการนี้คือรัฐต้องการป้องกันไม่ให้ข้าราชการดื่มในเวลาทำงานราชการ ซึ่งปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปแล้ว และทุกวันนี้ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยว มาตรการ 14 - 17 จึงสร้างผลกระทบที่เห็นได้ชัด ถึงเวลาแล้วที่ต้องทบทวนเปลี่ยนแปลงมาตรการที่มีอายุมากว่า 50 ปี
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นสร้างรายได้จากการขายให้กับเศรษฐกิจไทยราว 6 แสนล้านบาท และภาครัฐมีรายได้จากภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปีละ 1.5 แสนล้านบาท

ด้าน  น.ส.ประภาวี เหมทัศน์  เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ (สมาคมคราฟท์เบียร์) และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผยถึงความกังวลที่ว่าการขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มโอกาสที่คนจะดื่มมากขึ้นไหมนั้น มีสมการพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เพราะทุกคนก็รู้ว่ามีร้านโชว์ห่วยที่เปิดทั้งวันหรือมีคนเข้าห้างไปซื้อตุนไว้

ที่สำคัญคือสามารถลองทำดูก่อนได้โดยขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 6 เดือน – 1 ปี แล้วดูว่ายอดขายโตขึ้นผิดหูผิดตาไหม ถ้ายอดดื่มโตขึ้นขนาดนั้นจริงๆ ก็มาปรับกันได้

ในส่วนของภาคธุรกิจสนับสนุนการทบทวนกฎหมายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเต็มที่  นายธนากร คุปตจิตต์  อดีตนายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้ความเห็นว่า กำหนดเวลาใหม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่รัฐบาลประกาศให้การท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ กล่าวคือภาคบริการและกิจกรรมบันเทิงที่อิงไปกับการท่องเที่ยวและพักผ่อนของคนต่างชาติ ก็จะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ในนั้น หากรวมกับทบทวนเรื่องโซนนิ่งห้ามขาย ขยายเวลาปิดเปิดให้เท่าเทียมกัน และผ่อนปรนการจำหน่ายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ จะเพิ่มเงินใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยผ่านการใช้บริการที่เกี่ยวข้อง ทันทีกว่า 5 หมื่นล้านบาท หากรวมกับช่วงเทศกาลจะเพิ่มเป็น 1 แสนล้านบาทได้ภายใน 1 ปี

อย่างไรก็ดี หากหลังผ่อนปรนแล้วผลปรากฎว่าไม่คุ้มกับประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ หรือสร้างความเสียหายต่อสาธารณะ รัฐก็สามารถบังคับใช้ได้เหมือนเดิม ซึ่งความวิตกในเรื่องความปลอดภัยนั้น ก็มีกฎหมายดูแลอยู่แล้ว ทั้งเมาแล้วขับ ซ่องสุม หรือเปิดสถานบันเทิงที่ผิดกฎหมายหรือไม่มีใบอนุญาต โดยผู้ประกอบการเห็นด้วยที่รัฐจะเข้มงวดและบังคับใช้กฎหมายในเรื่องดังกล่าว

ขณะเดียวกัน เกิดเสียงคัดค้านทักท้วงการทบทวนการแก้กฎหมายดังกล่าว เพราะมองว่ากระทบกับสังคม โดย  ผศ.ดร.สุรศักดิ์ ไชยสงค์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ระบุว่าหากมองเป้าหมายนโยบายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าเป็นนโยบายที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดที่แล้วที่อนุญาตให้ขยายเวลาเปิดผับได้จนถึงตี 4 โดยมองว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากระตุ้นเศรษฐกิจรายได้มากขึ้น

แต่ต้องยอมรับว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่สินค้าปกติ ดื่มแล้วเมาทำให้ขาดสติ เป็นสาเหตุของปัญหาสังคม การดื่มแล้วขับ การทำร้ายร่างกายทะเลาะวิวาท ซึ่งจะเห็นว่ามีเยอะมากในสังคมปัจจุบัน และแอลกอฮอล์ยังนำไปสู่การใช้สารเสพติดชนิดอื่น รวมถึงเรื่องการพนันด้วย ซึ่งแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินบอกว่า เคสที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์จะมาที่ห้องฉุกเฉินเยอะโดยเฉพาะช่วงหลัง ปิดสถานบันเทิง ทำให้เกิดภาระงานเพิ่มขึ้น และเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ทำให้มีการจำกัดเวลาขายเพื่อป้องกันปัญหาจากการดื่มแอลกอฮอล์ในบางช่วงเวลา

อีกทั้งมีรายงานมาตรการเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในต่างประเทศ โดยมีทั้งประเทศที่เคยขายดื่มได้ตลอดเวลา สุดท้ายต้องออกมาตรการจำกัดการขาย กับประเทศที่เคยมีการจำกัดการขาย ต่อมาขอเปิดขายแล้วสุดท้ายก็ต้องกลับมาใช้มาตรการควบคุม เช่น ฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกาในบางรัฐห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันอาทิตย์ เพราะถือเป็นวันครอบครัวที่จะอยู่และทำกิจกรรมร่วมกันในพื้นที่ที่มีความปลอดภัย

ประเทศสวีเดนห้ามขายในวันเสาร์ ซึ่งถ้านับแล้ว 1 ปี มี 52 สัปดาห์ เท่ากับว่าประเทศเหล่านี้ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 52 วัน ซึ่งบางประเทศห้ามขายในวันชาติ หรือกระทั่งห้ามขายในวันคริสมาสต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก นอกจากนี้บางประเทศจะห้ามขายหลังเที่ยงคืน หรือตี 1 ตี 2 เพราะเห็นว่าเป็นช่วงที่คนพักผ่อน การสัญจรควรปลอดภับ

หรือประเทศบราซิล มีเมืองอุตสาหกรรม จากเดิมที่ขายตลอดเวลาไม่ห้ามเลย เกิดเคสทำร้ายร่างกาย อาชญากรรมสูงจึงมีการทบทวน ต่อมาการจำกัดเวลาห้ามขายหลัง 23:00 น. ทำให้เคสอาชญากรรมลดลงการทะเลาะวิวาทลดลง หรือประเทศรัฐเซีย เมืองที่มีการดื่มแอลกอฮอล์ ต่อหัวประชากรเยอะมาก ปัญหาที่เกิดขึ้นช่วงหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 อายุไขเฉลี่ยของประชากรสั้นลง เสียชีวิตเร็วขึ้นจากหลายปัจจัยหนึ่งในนั้นคือการดื่มแอลกอฮอล์มาก จากนั้นรัฐสภารัสเซียก็ควบคุมเวลาการขายเฉลี่ย 8 – 10 ชั่วโมงแตกต่างกันแต่ละพื้นที่ เป็นต้น

ดังนั้น รัฐบาลไทยต้องไม่รีบร้อนในการพิจารณาและต้องมีการศึกษาอย่างรอบด้าน เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจมีหลายแบบควรทำคือนโยบายที่สร้างผลกระทบน้อยที่สุด และไม่ใช่แบบที่เอาตัวเลขรายได้ที่ได้มาลบจากผลกระทบสุขภาพในด้านต่างๆ แล้วเห็นว่ายังพอมีกำไรก็เลือกทำ แต่สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือต้องทำนโยบายที่มีผลกระทบกับสุขภาพน้อยที่สุด

อย่างไรก็ดี คนต่างชาติมาเที่ยวไทยเพราะต้องการดูบ้านเมือง วัฒนธรรมไทย ไม่ใช่หวังเข้ามาดื่มแอลกอฮอล์ แล้วที่จริงวันพระใหญ่ก็มีแค่ 4 วันใน 356 วัน เมื่อเทียบกับบางประเทศเขาห้ามขายถึง 52 วันใน 1 ปี ถ้ามองในมุมนี้ ถือว่าประเทศไทยมีวัน เวลาที่ขายได้ สร้างเศรษฐกิจได้ หลายวันอยู่แล้ว แล้วการส่งเสริมงดขายเหล้าในวันพระก็เป็นวัฒนธรรมพื้นฐาน

 ประเด็นการทบทวนกฎหมายการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีทั้งเสียง “สนับสนุน” และ “คัดค้าน” ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลอันสมควร นับเป็นโจทย์ข้อใหญ่ของรัฐบาลในการพิจารณาอย่างรอบคอบ การปลดล็อกขายเหล้า – เบียร์ เป็นอีกประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด 


กำลังโหลดความคิดเห็น