xs
xsm
sm
md
lg

การปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลผสม : กลยุทธ์ทางการเมืองและผลกระทบต่อการเลือกตั้ง / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

ในรัฐบาลผสม การปรับคณะรัฐมนตรีมีความซับซ้อนมากกว่ารัฐบาลพรรคเดียว เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาล ความสมดุลทางอำนาจ และความสามารถในการดำเนินนโยบายร่วมกัน นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่นำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี เช่น ความไม่พอใจของประชาชน ประสิทธิภาพการทำงานของรัฐมนตรี หรือข้อกล่าวหาทางจริยธรรมแล้ว ในบริบทของรัฐบาลผสม การเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในคณะรัฐมนตรียังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่พรรคการเมืองใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย การปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลผสมมีเหตุผลดังต่อไปนี้

 ประการแรก ความสมดุลอำนาจและการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลผสม


รัฐบาลผสมต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างพรรคการเมืองหลายพรรค ซึ่งแต่ละพรรคมักมีเป้าหมาย นโยบาย และฐานเสียงที่แตกต่างกันไป หากมีความขัดแย้งหรือความไม่พอใจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล การปรับคณะรัฐมนตรีสามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างสมดุลระหว่างพรรคและลดความขัดแย้งภายใน

พรรคแกนนำรัฐบาลอาจเลือกปรับคณะรัฐมนตรีโดยให้พรรคร่วมรัฐบาลได้รับตำแหน่งที่มีอำนาจมากขึ้น หรือในทางตรงกันข้าม อาจลดอิทธิพลของพรรคร่วมโดยลดสัดส่วนของรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเหล่านั้น การกระทำดังกล่าวอาจเป็นกลยุทธ์เพื่อดึงพรรคเล็กให้อยู่ในอิทธิพลของพรรคแกนนำ หรือเพื่อป้องกันไม่ให้พรรคร่วมบางพรรคมีอิทธิพลมากเกินไป และหากพรรคร่วมรัฐบาลมีความขัดแย้งกันในเรื่องนโยบาย การให้รัฐมนตรีจากพรรคที่เกี่ยวข้องถูกปรับออกและแทนที่ด้วยบุคคลที่มีแนวทางสอดคล้องกันมากขึ้น อาจช่วยให้รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 ประการที่สอง การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง รัฐบาลผสมมักใช้การปรับคณะรัฐมนตรีเป็นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มโอกาสในการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง หรือก่อนที่รัฐบาลจะตัดสินใจยุบสภา พรรคการเมืองจะพยายามใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อดึงดูดฐานเสียงของตนเองและลดความเสียหายทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น ในกรณีนี้พรรคการเมืองอาจเสนอชื่อบุคคลที่มีภาพลักษณ์ดี หรือเป็นที่ยอมรับของประชาชนในฐานะรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลดูน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสที่ประชาชนจะลงคะแนนให้พรรคของตนในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ในขณะเดียวกันก็ถือโอกาสกำจัดรัฐมนตรีที่อาจเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล โดยเฉพาะบุคคลมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีหรือมีข้อกล่าวหาทางจริยธรรม หรือถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพ พรรคการเมืองอาจกดดันให้รัฐบาลปลดรัฐมนตรีเหล่านั้นออก เพื่อให้พรรคสามารถนำเสนอตัวเองในฐานะพรรคที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรม

 ประการที่สาม การกระชับอำนาจด้วยการใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเครื่องมือหาเสียง  ในรัฐบาลผสม การครอบครองตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงที่มีบทบาทสำคัญสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างฐานอำนาจทางการเมือง และส่งเสริมยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองที่ต้องการเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรหรือให้บริการประชาชนโดยตรง เช่น* กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน หรือกระทรวงเกษตร  อาจใช้อำนาจของรัฐมนตรีในการออกนโยบายหรือดำเนินโครงการที่ช่วยดึงดูดคะแนนเสียงจากกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงใช้กลไกรัฐเพื่อสร้างและขยายความเข้มแข็งของเครือข่ายทางการเมือง


พรรคที่ครอบครองกระทรวงมหาดไทยสามารถใช้อิทธิพลในกระบวนการจัดสรรงบประมาณให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์กับผู้นำชุมชนและขยายอิทธิพลของพรรคในพื้นที่นั้น ๆ

ด้านพรรคที่ควบคุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็สามารถออกนโยบายสนับสนุนเกษตรกร เช่น โครงการประกันราคาพืชผล โครงการแจกเงินอุดหนุนเกษตรกร หรือการจัดสรรที่ดินทำกิน สิ่งเหล่านี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อดึงดูดคะแนนเสียงจากเกษตรกรที่เป็นฐานเสียงหลักของพรรค

หรือหากควบคุมกระทรวงพลังงานก็สามารถออกนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนโดยตรง เช่น การลดราคาค่าไฟฟ้า น้ำมัน หรือการให้เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงแก่กลุ่มเปราะบาง นโยบายเหล่านี้สามารถช่วยสร้างความนิยมและกระตุ้นการสนับสนุนจากประชาชนในช่วงใกล้เลือกตั้งได้ทั้งสิ้น

นอกเหนือจากการออกนโยบายที่เป็นที่นิยมแล้ว พรรคที่ถือครองตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญยังสามารถใช้กลไกรัฐในการสร้างและขยายเครือข่ายทางการเมือง โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น ผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น  การแต่งตั้งข้าราชการหรือบุคคลที่ภักดีต่อพรรคเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญ  พรรคที่ครอบครองกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน หรือกระทรวงเกษตร สามารถใช้อำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการที่มีแนวโน้มสนับสนุนพรรคตนเองให้เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญในระดับจังหวัด อำเภอ หรือหมู่บ้าน ซึ่งจะช่วยให้พรรคสามารถควบคุมและมีอิทธิพลต่อการบริหารในพื้นที่เหล่านั้น

อีกทั้งยัง สามารถจัดสรรงบประมาณให้กับพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของพรรค ตนเอง หรือสนับสนุนโครงการที่ช่วยเพิ่มความนิยมของพรรค เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการแจกเงินช่วยเหลือ หรือการให้เงินสนับสนุนโครงการของชุมชน

รวมทั้ง การใช้โครงการของรัฐเป็นเครื่องมือสร้างเครือข่ายหัวคะแนน  ในหลายกรณี พรรคที่มีรัฐมนตรีควบคุมกระทรวงที่ดูแลโครงการช่วยเหลือประชาชน สามารถใช้โครงการเหล่านี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้นำชุมชนและหัวคะแนนในพื้นที่ต่าง ๆ หัวคะแนนเหล่านี้อาจได้รับผลประโยชน์จากโครงการของรัฐ และทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการระดมคะแนนเสียงให้กับพรรคในการเลือกตั้งครั้งต่อไป


 ประการที่สี่ การสร้างโอกาสในการปิดกั้นหรือการกลั่นแกล้งพรรคอื่น ๆ ในการเลือกตั้ง  ในบริบทของรัฐบาลผสมหรือรัฐบาลที่ต้องการรักษาอำนาจ การปรับคณะรัฐมนตรีไม่ได้เป็นเพียงการสร้างความสมดุลภายในรัฐบาลหรือการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารเท่านั้น แต่ยังสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความได้เปรียบทางการเมืองต่อพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นคู่แข่ง และที่สำคัญกว่านั้น คือ การจำกัดโอกาสของพรรคฝ่ายค้านในการแข่งขันทางการเมือง โดยอาศัยอำนาจของรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญเพื่อดำเนินกลยุทธ์ที่เอื้อต่อพรรคตนเองและกดดันคู่แข่งให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ในบางกรณี พรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาลอาจใช้อำนาจของรัฐมนตรีเพื่อจำกัดการเข้าถึงทรัพยากร หรือใช้กลไกของรัฐเพื่อขัดขวางกิจกรรมของพรรคฝ่ายค้าน โดยใช้ทั้งมาตรการทางกฎหมายและการบริหาร อาจใช้อำนาจในการควบคุมข้อมูลข่าวสาร เพื่อจำกัดโอกาสของพรรคฝ่ายค้านในการสื่อสารกับประชาชน เช่น การบล็อกหรือปิดกั้นช่องทางสื่อของฝ่ายค้านบนแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือใช้กฎหมายด้านสื่อเพื่อสกัดกั้นการประชาสัมพันธ์ของพรรคคู่แข่ง หรือการใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติเพื่อลดทอนศักยภาพของฝ่ายค้าน เช่น การดำเนินคดีกับนักการเมืองฝ่ายค้าน หรือสั่งระงับกิจกรรมทางการเมืองของพรรคที่เป็นคู่แข่ง

ตัวอย่างเช่น การใช้กฎหมายความมั่นคงภายใน หรือกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งเพื่อยุบพรรคการเมืองที่เป็นภัยต่ออำนาจของรัฐบาล รวมทั้งการขัดขวางการหาเสียงและการจัดกิจกรรมของพรรคฝ่ายค้าน เช่นการสั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือหน่วยงานในระดับท้องถิ่นขัดขวางการจัดเวทีปราศรัย หรือการจัดกิจกรรมรณรงค์ของพรรคฝ่ายค้าน โดยอ้างเรื่องความปลอดภัยหรือการขัดกับกฎหมาย

ยิ่งกว่านั้นพรรคที่มีอิทธิพลต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็อาจใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิ์ของพรรคฝ่ายค้าน เช่น การตั้งข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตเลือกตั้งเพื่อตัดสิทธิ์ผู้สมัครของพรรคฝ่ายค้าน หรือการใช้กลยุทธ์การแบ่งเขตเลือกตั้งให้เอื้อต่อพรรคที่ตนเองสนับสนุน

 ประการที่ห้า การใช้อำนาจรัฐเพื่อกลั่นแกล้งพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นคู่แข่ง  แม้ว่าในรัฐบาลผสม พรรคการเมืองจะต้องร่วมมือกันบริหารประเทศ แต่พรรคการเมืองที่มีอิทธิพลมากกว่ามักพยายามใช้การปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อกดดันพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นคู่แข่งทางการเมือง หรือเพื่อกำจัดพรรคที่อาจเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจในอนาคต

พรรคแกนนำอาจลดจำนวนกระทรวงที่พรรคร่วมได้รับ หรือโยกตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรคร่วมไปอยู่ในกระทรวงที่มีอำนาจน้อยลง เพื่อควบคุมทิศทางของรัฐบาลและลดอิทธิพลของพรรคร่วมรัฐบาลที่อาจเป็นภัยต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป และมีความเป็นไปได้ที่พรรคแกนนำอาจสั่งย้ายข้าราชการระดับสูง หรือใช้อำนาจของรัฐมนตรีกระทรวงอื่น ๆ ในการขัดขวางโครงการหรือแผนงานของรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้พรรคร่วมนั้นดูไม่มีประสิทธิภาพในสายตาประชาชน

รวมทั้งหากรัฐบาลเผชิญกับปัญหาที่อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ หรือปัญหาการทุจริต พรรคแกนนำอาจปล่อยให้รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบหลัก และอาจใช้เป็นข้ออ้างในการลดบทบาทของพรรคร่วม หรือแม้แต่ผลักดันให้พรรคร่วมนั้นต้องออกจากรัฐบาล

 ประการที่หก การปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อสร้างพันธมิตรทางการเมืองสำหรับการเลือกตั้ง  การปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลผสม ยังเป็นกลยุทธ์ในการสร้างพันธมิตรเพื่อการเลือกตั้งล่วงหน้า พรรคการเมืองสามารถใช้การเปลี่ยนแปลงในคณะรัฐมนตรีเพื่อดึงพรรคการเมืองอื่น ๆ เข้ามาสนับสนุนหรือเพื่อป้องกันการแตกแยกของพรรคร่วมรัฐบาล พรรคแกนนำอาจเสนอเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับพรรคเล็กเพื่อดึงพวกเขาเข้ามาสนับสนุนรัฐบาลในช่วงเวลาที่คะแนนเสียงในสภามีความเปราะบาง หรือเพื่อขยายแนวร่วมสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป


 ในบางกรณี พรรคการเมืองที่มีแนวโน้มจะร่วมมือกันในการเลือกตั้งครั้งต่อไปอาจมีการแลกเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น พรรคแกนนำอาจเลือกแต่งตั้งบุคคลจากพรรคพันธมิตรที่มีแนวโน้มจะร่วมรัฐบาลในอนาคต เพื่อสร้างความมั่นคงของแนวร่วมทางการเมือง

 ประการที่เจ็ด การควบคุมกระแสทางการเมืองผ่านการปรับคณะรัฐมนตรี  ในช่วงที่รัฐบาลผสมต้องเผชิญกับกระแสต่อต้านจากประชาชนหรือแรงกดดันจากฝ่ายค้าน การปรับคณะรัฐมนตรีสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงกระแสทางการเมืองให้เป็นบวก โดยใช้เป็นกลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจ
หากรัฐบาลกำลังเผชิญกับวิกฤติศรัทธาหรือข้อกล่าวหาในบางประเด็น

การปรับคณะรัฐมนตรีสามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาหลัก โดยทำให้สื่อและประชาชนให้ความสนใจกับบุคคลที่เข้ามาใหม่แทน และอาจใช้การเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการปฏิรูป พรรคแกนนำอาจใช้การปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อแสดงให้เห็นถึง  “ความเปลี่ยนแปลง” และ “การปฏิรูป”  ของรัฐบาล แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบริหารจริง ๆ มากนัก แต่ก็สามารถช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล

 กล่าวได้ว่า การปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลผสมไม่ได้เป็นเพียงแค่กลไกในการเพิ่มประสิทธิภาพของฝ่ายบริหารหรือแก้ไขปัญหาภายในรัฐบาล แต่กลับเป็นเวทีแห่งการต่อรองและแข่งขันทางอำนาจที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในคณะรัฐมนตรีมักสะท้อนถึงการจัดสมดุลอำนาจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล การสร้างภาพลักษณ์ของรัฐบาลให้เอื้อต่อการเลือกตั้ง และการใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพลทางการเมือง

พรรคการเมืองที่ครอบครองกระทรวงสำคัญสามารถใช้อำนาจของตนออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อฐานเสียงของพรรค ขยายเครือข่ายหัวคะแนน และใช้งบประมาณภาครัฐเป็นเครื่องมือในการสร้างความนิยม นอกจากนี้ พรรคแกนนำรัฐบาลยังสามารถใช้การปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อจำกัดอำนาจของพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นคู่แข่ง ขัดขวางพรรคฝ่ายค้าน รวมถึงใช้กลไกรัฐเพื่อปิดกั้นการหาเสียงและลดทอนโอกาสของฝ่ายตรงข้ามในการเลือกตั้ง

ที่สำคัญที่สุด การปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลผสมไม่ได้เป็นเพียงกลไกเชิงเทคนิคของการบริหารประเทศ แต่เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ถูกใช้เพื่อรักษาอำนาจ สร้างความได้เปรียบ และกำหนดทิศทางของการแข่งขันทางการเมืองในอนาคต พรรคการเมืองที่มีความสามารถในการใช้กลยุทธ์นี้อย่างแยบยลมักสามารถรักษาอำนาจได้ยาวนาน ขณะที่พรรคที่ไม่สามารถตอบโต้หรือปรับตัวให้ทันกับเกมอำนาจนี้ มักจะถูกลดบทบาทหรือแม้กระทั่งถูกกำจัดออกจากสมการทางการเมือง

ดังนั้น การปรับคณะรัฐมนตรีจึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงรายชื่อรัฐมนตรี แต่เป็นหมากตัวสำคัญบนกระดานอำนาจทางการเมือง ที่สะท้อนถึงความเป็นไปของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ การต่อรอง และการควบคุมทรัพยากรของรัฐ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ล้วนมีเป้าหมายเพื่อรักษาความได้เปรียบและขยายอำนาจของพรรคการเมืองที่ครองอำนาจอยู่ในขณะนั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น