"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนถึงจิตสำนึกทางการเมืองของประชาชนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ค่านิยม หรือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการปกครองและการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐ วัฒนธรรมทางการเมืองไม่ได้หยุดนิ่ง แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายใน เช่น การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร หรือปัจจัยภายนอก เช่น ผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ
การเปลี่ยนผ่านของวัฒนธรรมทางการเมือง (Political Culture Shift) จึงหมายถึงกระบวนการที่รูปแบบความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมทางการเมืองของประชากรในสังคมแปรเปลี่ยนไป อาจเป็นการปรับเปลี่ยนจากวัฒนธรรมการเมืองแบบดั้งเดิมที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม ไปสู่การตื่นตัวและเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการกำหนดทิศทางของสังคม การเปลี่ยนผ่านนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพและพัฒนาการของระบอบการปกครองในแต่ละประเทศ
กาเบรียล อัลมอนด์ (Gabriel Almond) และ ซิดนีย์ เวอร์บา (Sidney Verba) นักรัฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง ได้จำแนกประเภทของวัฒนธรรมทางการเมืองออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
ประเภทแรก วัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิม (Parochial Political Culture) ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมประเภทนี้คือประชาชนไม่มีความสนใจหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง พวกเขามองว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัวและเป็นหน้าที่ของผู้นำหรือชนชั้นปกครองมากกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะต้องเข้ามามีบทบาท วัฒนธรรมแบบนี้มักพบในสังคมที่ระบบการเมืองยังไม่ได้พัฒนาเต็มที่ เช่น สังคมชนเผ่าหรือสังคมที่ยังคงใช้ระบอบศักดินา ซึ่งอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองกระจุกตัวอยู่ในมือของกลุ่มคนเพียงไม่กี่กลุ่ม
ประเภทที่สอง วัฒนธรรมทางการเมืองแบบผู้ใต้ปกครอง (Subject Political Culture) ในวัฒนธรรมทางการเมืองประเภทนี้ ประชาชนมีความตระหนักรู้ทางการเมืองมากขึ้น พวกเขาเข้าใจว่าการเมืองมีผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขา แต่ยังคงมีบทบาทแบบเฉื่อยชา กล่าวคือพวกเขาอาจรับรู้และยอมรับกฎระเบียบของรัฐโดยไม่ตั้งคำถามหรือพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นวัฒนธรรมลักษณะนี้มักพบในระบอบอำนาจนิยม ซึ่งรัฐมีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางทางการเมือง โดยที่ประชาชนทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามเท่านั้น
ประเภทที่สาม วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม (Participant Political Culture) เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแข็งขัน พวกเขาไม่เพียงแต่ตระหนักถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเอง แต่ยังแสดงออกผ่านการลงคะแนนเสียง การเคลื่อนไหวทางสังคม หรือแม้กระทั่งการประท้วงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม วัฒนธรรมนี้มักพบในสังคมประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีระบบการศึกษาและกลไกทางการเมืองที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน
เมื่อสังคมมีการพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้นการเปลี่ยนผ่านของวัฒนธรรมทางการเมืองเป็นสิ่งที่มักเกิดขึ้นเสมอ และเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดเสถียรภาพและพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย หากประชาชนมีความตื่นตัวและมีส่วนร่วมในการเมืองมากขึ้น จะทำให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารงานของรัฐและช่วยป้องกันการใช้อำนาจโดยมิชอบ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่ต้องการรักษาสถานะเดิมกับกลุ่มที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเมืองได้
การเปลี่ยนผ่านของวัฒนธรรมทางการเมืองจึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมทางการเมืองของประชากรในสังคม ปัจจัยเหล่านี้มีทั้งปัจจัยภายในที่เกิดจากโครงสร้างสังคมเอง และปัจจัยภายนอกที่เป็นผลมาจากกระแสโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยี และเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน สังคมเปรียบได้กับต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกในอดีต แต่ก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับแสงแดดและพายุของยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เมื่อเศรษฐกิจของประเทศเติบโตและประชากรมีรายได้สูงขึ้น พวกเขามักเริ่มให้ความสำคัญกับสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองมากขึ้น ความเจริญทางเศรษฐกิจยังช่วยส่งเสริมระบบการศึกษา ทำให้ประชาชนมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของตนเองในฐานะพลเมืองของรัฐมากขึ้น ประเทศที่พัฒนาทางเศรษฐกิจมักเปลี่ยนจากวัฒนธรรมการเมืองแบบผู้ใต้ปกครองไปสู่การมีส่วนร่วมมากขึ้น เหมือนกับสายน้ำที่ไหลลงสู่พื้นที่ราบที่กว้างขวางและอุดมสมบูรณ์
สำหรับสังคมไทย การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาได้สร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญต่อวัฒนธรรมทางการเมือง โดยเฉพาะในเขตเมืองและชนชั้นกลาง การเข้าถึงการศึกษาที่สูงขึ้นและรายได้ที่เพิ่มขึ้นทำให้ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีอยู่สูงส่งผลให้เกิดความแตกต่างของวัฒนธรรมทางการเมืองระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม โดยกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีมักมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบที่หลากหลายมากกว่า
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เมื่อสังคมมีการเปลี่ยนแปลงทางประชากร เช่น การเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางและคนรุ่นใหม่ ความต้องการทางการเมืองก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน คนรุ่นใหม่มักมองเห็นโลกผ่านมุมมองของยุคสมัยของตนเอง ซึ่งอาจแตกต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวและแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลง การเลือกตั้งหลายครั้งในประวัติศาสตร์โลกแสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมที่พลิกโฉมการเมืองของประเทศได้ เช่น การเปลี่ยนผ่านจากระบอบอำนาจนิยมไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในหลายประเทศซึ่งเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวของประชาชนที่โหยหาการเปลี่ยนแปลงดั่งต้นกล้าที่พยายามทะลุพื้นดินขึ้นมาสู่แสงแดด
ในปัจจุบันไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรที่สำคัญ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของประชากร Gen Y และ Gen Z ที่มีแนวคิดทางการเมืองแตกต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปี 2563-2564 ที่คนรุ่นใหม่แสดงออกถึงความต้องการการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองและสังคมอย่างถึงราก นอกจากนี้ การขยายตัวของชนชั้นกลางในเมืองยังนำมาซึ่งการเรียกร้องธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มากขึ้น
ความขัดแย้งทางสังคมและการเคลื่อนไหวของประชาชน เมื่อความขัดแย้งทางสังคมเพิ่มขึ้น เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การกดขี่ทางเชื้อชาติ หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน ประชาชนมักรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ทำให้รัฐไม่อาจเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของพวกเขาได้ การชุมนุมประท้วงและขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น ขบวนการสิทธิมนุษยชน หรือขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย เป็นเสมือนคลื่นที่โหมซัดชายฝั่งอย่างต่อเนื่องจนก้อนหินที่ดูมั่นคงที่สุดยังต้องสึกกร่อน
สังคมไทยในปัจจุบันมีความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองที่ชัดเจน โดยเฉพาะระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนแนวคิดอนุรักษ์นิยมกับกลุ่มที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งนี้แสดงออกผ่านการชุมนุมและการเคลื่อนไหวทางสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดการตื่นตัวทางการเมืองในวงกว้างและการพัฒนาของภาคประชาสังคม
การพัฒนาทางเทคโนโลยีและสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ได้เปลี่ยนแปลงวิถีการรับรู้และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ง่ายและรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองและตระหนักถึงสิทธิของตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการระดมพลังมวลชนและจัดตั้งขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง
สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางการเมืองไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ แพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Twitter, Facebook และ TikTok กลายเป็นพื้นที่สำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง การระดมมวลชน และการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ทำให้เกิดวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองที่เปิดกว้างและตรงไปตรงมามากขึ้น
กระแสโลกาภิวัตน์ ได้ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนและผสมผสานทางวัฒนธรรมการเมืองระหว่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติและสหภาพยุโรปมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมค่านิยมประชาธิปไตยและหลักการสิทธิมนุษยชนในระดับสากล การที่ประเทศต่าง ๆ ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุน ได้ผลักดันให้รัฐบาลต้องปรับปรุงระบบการบริหารจัดการให้มีความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาลมากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาคมระหว่างประเทศ
การเชื่อมโยงกับประชาคมโลกผ่านการค้า การศึกษา และวัฒนธรรม ทำให้สังคมไทยได้รับอิทธิพลจากแนวคิดประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสากลมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าร่วมในประชาคมอาเซียนและความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ ทำให้ประเทศไทยต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากขึ้น
ประการสุดท้าย เหตุการณ์ทางการเมืองระดับโลก ที่สำคัญได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ได้นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองครั้งใหญ่ในยุโรปตะวันออก จากระบอบคอมมิวนิสต์สู่ระบอบประชาธิปไตย ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในต่างประเทศ เช่น การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในฮ่องกง หรือขบวนการ Black Lives Matter ในสหรัฐอเมริกา มีอิทธิพลต่อรูปแบบการเคลื่อนไหวและแนวคิดทางการเมืองของคนไทย โดยเฉพาะการนำเอายุทธวิธีและแนวคิดมาปรับใช้ในบริบทของไทย
การเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้ใน 2 รูปแบบหลักที่มีลักษณะและผลลัพธ์แตกต่างกัน คือ การเปลี่ยนแปลงแบบวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติ
การเปลี่ยนแปลงแบบวิวัฒนาการ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปผ่านช่วงเวลาที่ยาวนาน โดยมักพบในสังคมที่มีเสถียรภาพทางการเมืองและมีพื้นฐานประชาธิปไตยที่มั่นคง การเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้เกิดจากการเรียนรู้และปรับตัวของประชาชนผ่านประสบการณ์ทางการเมืองที่สั่งสมมา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการพัฒนาจากวัฒนธรรมแบบผู้ใต้ปกครอง ที่ประชาชนเป็นเพียงผู้รับนโยบายอย่างเดียว ไปสู่วัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม ที่ประชาชนมีความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
ในทางตรงกันข้าม การเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและมักมีความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบนี้มักเกิดในสังคมที่มีความขัดแย้งสะสมและความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูง จนนำไปสู่การระเบิดของความไม่พอใจของประชาชน การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติ ที่นำไปสู่การล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสร้างรากฐานของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ เช่นเดียวกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันจากระบอบคอมมิวนิสต์สู่ระบอบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการเปลี่ยนแปลงทั้งสองรูปแบบไม่ได้อยู่เพียงแค่ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความลึกซึ้งและความยั่งยืนของการเปลี่ยนแปลงด้วย การเปลี่ยนแปลงแบบวิวัฒนาการมักจะมีความยั่งยืนมากกว่าเพราะเกิดจากการเรียนรู้และปรับตัวของสังคมอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วแต่อาจเผชิญกับความท้าทายในการสร้างเสถียรภาพในระยะยาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอาจไม่สอดคล้องกับความพร้อมของประชาชนและโครงสร้างทางสังคมที่มีอยู่
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง การเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมทางการเมืองมักจะเป็นการผสมผสานระหว่างสองรูปแบบนี้ โดยอาจเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติและตามมาด้วยการพัฒนาแบบวิวัฒนาการ หรือการเปลี่ยนแปลงแบบวิวัฒนาการอาจถูกเร่งให้เร็วขึ้นด้วยเหตุการณ์สำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
ในการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมทางการเมือง สังคมมักเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสำเร็จและความยั่งยืนของการเปลี่ยนแปลง
ประการแรก ความขัดแย้งระหว่างรุ่น (Generational Conflict) เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ในหลายสังคม โดยคนรุ่นเก่ามักยึดมั่นในค่านิยมและวิถีปฏิบัติทางการเมืองแบบดั้งเดิม ซึ่งอาจรวมถึงการยอมรับระบบอำนาจนิยมหรือการให้ความเคารพต่อผู้นำแบบปิตาธิปไตย ในขณะที่คนรุ่นใหม่ซึ่งเติบโตมาในยุคโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีดิจิทัล มักมีแนวคิดที่เป็นสากลมากกว่าและเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ความแตกต่างทางความคิดนี้อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในครอบครัวและสังคม รวมถึงการแบ่งขั้วทางการเมืองที่รุนแรง
ประการที่สอง การต่อต้านจากกลุ่มผู้มีอำนาจเดิม เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง ชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจมักพยายามรักษาสถานะและผลประโยชน์ของตนไว้ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น การใช้อำนาจรัฐ การควบคุมสื่อ หรือการสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ การต่อต้านนี้อาจแสดงออกทั้งในรูปแบบที่เปิดเผย เช่น การใช้กำลังปราบปรามการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือในรูปแบบที่แยบยล เช่น การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือการสร้างวาทกรรมต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
ประการที่สาม การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางการเมืองและสังคม โดยเฉพาะในกรณีที่การเปลี่ยนแปลงนั้นขาดการเตรียมความพร้อมหรือไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง ความไม่มั่นคงนี้อาจแสดงออกในรูปของวิกฤติทางการเมือง ความวุ่นวายทางสังคม หรือแม้แต่การเกิดรัฐประหาร ซึ่งอาจนำไปสู่การถดถอยของกระบวนการประชาธิปไตยและการกลับไปสู่ระบอบเผด็จการ
ความท้าทายที่สำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่างการเปลี่ยนแปลงและการรักษาเสถียรภาพทางการเมือง รวมถึงการลดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
กล่าวโดยสรุป การเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมทางการเมืองเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลากหลายมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการเมือง ความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านขึ้นอยู่กับการจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและการตอบสนองต่อความต้องการเปลี่ยนแปลงของสังคม การเข้าใจพลวัตของการเปลี่ยนแปลงและปัจจัยที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้สามารถคาดการณ์และเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการวางแผนเพื่อนำพาสังคมไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยที่มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละประเทศ