xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

‘ทรัมป์’ ขึ้นภาษีแคนาดา-เม็กซิโก-จีน อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกสะเทือน กำไรหายวับไปกับตา 1.1 ล้านล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังจาก “ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐอเมริกา ลงนามคำสั่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เพื่อจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่ม 25% จากแคนาดา-เม็กซิโก และจีนเพิ่มขึ้น 10% โดยจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 โลกก็ปั่นป่วนกันอย่างถ้วนหน้า

 โดยเฉพาะกับ “ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์” ที่ได้รับผลกระทบ “อย่างรุนแรง” และส่งผลให้หุ้นบริษัทรถยนต์ทั่วโลกลดลงแบบ “ทันตาเห็น” 


โดยหุ้นของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นร่วงหมดทุกราย นำโดยโตโยต้าและ นิสสัน ที่ร่วงลงมากกว่า 5% ในขณะที่ฮอนด้าร่วงลง 7.2% ส่วนมาสด้าลดลงกว่า 7.5% ในขณะที่เกียลดลงเกือบ 6%
ในฝั่งยุโรป แม้ว่าทางสหรัฐฯ จะไม่ได้ขึ้นภาษี แต่ทรัมป์เองก็เผยว่าจะ ขึ้นภาษีจากยุโรป ส่งผลให้บริษัทจากฝั่งยุโรปก็ไม่รอด โดยหุ้นของ Valeo ผู้จัดจําหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ของฝรั่งเศสและผู้ผลิตรถยนต์เรโนลด์ลดลง 6.8% และ 2% ตามลำดับ

ด้าน “สเตลลติส” เจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Chrysler, Dodge, Jeep และ Maserati ลดลง 6% ส่วนค่ายรถยนต์สัญชาติเยอรมันอย่างโฟล์คสวาเกนร่วงลง 5% นอกจากนี้ ปอร์เช่และบีเอ็มดับเบิลยู ก็ลดลง 3.5%

 เหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการผลิตในทวีปอเมริกาเหนือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะใน “เม็กซิโก” เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เกือบทุกแห่งที่ดำเนินงานในสหรัฐฯ มีโรงงานอย่างน้อย 1 แห่งในเม็กซิโก รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ 6 รายที่มียอดขายสูงสุด ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 70% ของยอดขายในสหรัฐฯในปี 2567 ส่วนในแคนาดา รถยนต์ถือเป็นสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้ามากเป็นอันดับ 2 รองจากน้ำมัน 

ฮอนด้าได้ออกแถลงการณ์อย่างกว้าง ๆ ว่า “การค้ารถยนต์ในอเมริกาเหนือ เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของฮอนด้าทั่วโลก และเราหวังว่าจะได้เห็นการแก้ไขปัญหาที่รวดเร็ว ซึ่งจะสร้างความชัดเจนและความมั่นคงในภูมิภาคนี้”

ตามข้อมูลจากกรมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ มีความเชื่อมโยงระหว่างประเทศกันอย่างแน่นแฟ้น กระทั่งกลายเป็นห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนทั่วโลก โดยเม็กซิโกนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์จากสหรัฐฯ ถึง 49.4% ของทั้งหมด ในทางกลับกัน เม็กซิโกส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตได้ถึง 86.9% ไปยังสหรัฐฯ






 ที่สำคัญการเสียภาษีไม่ได้จบแค่การนำเข้า เพราะการผลิตรถ 1 คัน ต้องส่งสินค้าข้ามพรมแดนหลายรอบ เช่น การส่งเหล็กจากแคนาดาไปผลิตชิ้นส่วนในสหรัฐฯ และค่อยส่งชิ้นส่วนมาประกอบในแคนาดา ซึ่งแปลว่าจะมีการเสียภาษี 2 เด้ง ดังนั้น ชาวชาวอเมริกันจะเจอภาษีนำเข้าถึง 3 เด้ง เพราะต้องนำเข้ามาอีกรอบ เช่นเดียวกันกับชาวแคนาดาที่จะต้องซื้อรถแพงขึ้น 

ทั้งนี้ ภาษีทรัมป์ที่กำหนดส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในเม็กซิโกมากที่สุด รองลงมาคือ แคนาดาและตามด้วยจีน

สำหรับใน  “ฝั่งยุโรป”  แม้ว่าทรัมป์จะแค่เปรย ๆ ว่าจะขึ้นภาษี แต่ทางสหภาพยุโรปที่มีสมาชิก 27 ประเทศ ได้สัญญาว่าจะตอบโต้การเรียกเก็บภาษีของสหรัฐฯ โดยที่ผ่านมา การค้ารถยนต์ระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปนั้นเคยเป็นเสาหลักของความสำเร็จของอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปมาโดยตลอด การเก็บภาษีสินค้านำเข้ารถยนต์จากสหภาพยุโรปน่าจะทำให้ราคาของรถยนต์ยุโรปในตลาดสหรัฐฯ สูงขึ้นตามการวิเคราะห์จาก Oxford Economics และการดำเนินการนี้จะทำให้การส่งออกรถยนต์จากสหภาพยุโรปไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญอย่างยิ่งลดลงอย่างรุนแรง

 อย่างไรก็ดี หลังจากสร้างความปั่นป่วนและโกลาหลไปทั้งโลก สถานการณ์ก็คลี่คลายลงไป “เปลาะหนึ่ง” เมื่อ “ทรัมป์เปลี่ยนใจ” โดยตัดสินใจชะลอการขึ้นภาษี “เม็กซิโกและแคนาดา” ออกไปออกไปอีก 1 เดือน หลังการข่มขู่ของทรัมป์ได้ผล เมื่อทั้ง “เม็กซิโกและแคนาดา” ไม่อาจแข็งขืนได้โดยยินยอมทำตามเงื่อนไขของผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่เกี่ยวกับปัญหาพรหมแดน ทั้งเรื่องการอพยพและยาเสพติด

กระนั้นก็ดี ก็ต้องจับตาต่อไปว่า หลังครบกำหนด 1 เดือน ทรัมป์จะตัดสินใจอย่างไรต่อไป เพราะถ้าตัดสินใจเดินหน้า ผลกระทบจะไม่ได้มีเฉพาะแค่ราคาหุ้นของบรรดาบริษัทรถยนต์ในกระดานซื้อขายเท่านั้น หากจะส่งผลกระทบต่อรายได้ในกระเป๋าของบรรดาบริษัทรถยนต์ทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ

นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า มาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ อาจมีกำไรลดลงถึง 33,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.1 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบรรดาผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์ ขยายกิจการไปยังเม็กซิโก เนื่องจากมีปัจจัยหนุนคือต้นทุนที่ลดลง และเงื่อนไขการค้าที่เอื้ออำนวยภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA)

 ยกตัวอย่างเช่น นิสสัน มอเตอร์ส่งออกรถยนต์ของบริษัทประมาณ 27% จากเม็กซิโกไปขายสหรัฐฯ ขณะที่ฮอนด้า มอเตอร์ส่งออกจากเม็กซิโกไปขายสหรัฐฯ 13% และโตโยต้า มอเตอร์ส่งออกจากเม็กซิโกไปขายสหรัฐฯ 8% 

ขณะที่สื่อเยอรมนีก็รายงานเช่นกันว่า บริษัทต่าง ๆ กำลังประเมินห่วงโซ่อุปทานของตนใหม่ท่ามกลางภัยคุกคามจากภาษีศุลกากร ดังที่บริษัทโฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ซึ่งส่งออกรถยนต์จากเม็กซิโกกว่า 40% ของบริษัทไปขายในสหรัฐกำลังพิจารณาย้ายการผลิตรถอาวดี้ (Audi) และปอร์เช่ (Porsche) ไปยังสหรัฐฯ เป็นต้น

 ดังนั้น จึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “พลานุภาพของทรัมป์” นั้น ส่งผลกระทบอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกจริงๆ ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า บทสรุปของมาตรการทางภาษีของผู้นำสหรัฐฯ จะลงเอยอย่างไร และจะเป็นไปอย่างที่มีการประเมินกันว่า เป็นแค่ “คำขู่” และหยุดลงแค่นี้ หรือจะเดินหน้าต่อไปตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ 




กำลังโหลดความคิดเห็น