ทรัมป์คงได้สรุปบทเรียนจากสมัยแรกที่เขาเข้าครองทำเนียบขาว และแม้ได้ทั้งสองสภาฯ เป็นฝ่ายรีพับลิกัน... แต่ความไม่พร้อมเข้ารับตำแหน่งในสมัยแรก ทำให้เขาเคลื่อนตามนโยบายที่หาเสียงไว้ค่อนข้างช้า
สำหรับสมัยที่สองนี้ นับเป็นปฏิบัติการที่ต้องการสร้างความสั่นสะเทือนอย่างรวดเร็วชนิดผู้คนในสหรัฐฯ ต้องอ้าปากค้าง นั่นคือ Shock and Awe ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับคนอเมริกัน 75 ล้านคน ที่ได้ลงคะแนนให้กับกมลา แฮร์ริส และอาจรวมถึงบางส่วนของ 77 ล้านคนที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์เข้ามา
อาการที่เห็นได้ชัดคือ สว.ถึง 3 คนที่ลงคะแนนโหวต “no” ในการยอมรับให้นายพีท เฮกเซธ เข้ารับตำแหน่งรมต.กลาโหม จนทำให้คะแนน “รับ” และ “ไม่รับ” ในสภาสูงออกมาเท่าๆ กันเป็น 50 : 50 จนต้องไปตามท่านรองปธน.แวนซ์ ในตำแหน่งประธานสภาสูงมาลงคะแนนให้ชนะเพียง 1 คะแนน เป็น 51 : 50 และทั้ง 3 สว.ที่ไม่ลงคะแนนให้นายพีท (ที่ปธน.ทรัมป์ภูมิใจนักหนาว่าเป็น Agent of Change จะนำการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนมาสู่กองทัพ…คือ เลิกนโยบาย D.E.I. และทหารหญิงต้องไม่อยู่หน่วยรบ) ก็เป็น สว.อาวุโสนำโดย อดีตผู้นำเสียงข้างมากหลายสมัยของวุฒิสภาคือ สว.มิตช์ แมคคอนเนลล์ และ สว.อาวุโสจากอลาสกา และ สว.หญิงจากรัฐเมน...ขณะนี้ปธน.ทรัมป์กำลังลุ้นว่า เหตุการณ์นี้จะเกิดกับผู้ที่ทรัมป์เสนอให้เป็น ผอ.เอฟบีไอ ผอ.สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และรมต.สาธารณสุขด้วยหรือไม่??
ไม่ว่าจะเป็นการเนรเทศใหญ่ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารเข้าเมืองถูกต้อง รวมทั้งไม่ให้สัญชาติแก่เด็กที่เกิดในสหรัฐฯ ทุกกรณี แล้วอ้างว่า สหรัฐฯ เป็นประเทศเดียว (ไม่เป็นความจริง) ในโลกที่ยอมให้สัญชาติแก่เด็กเกิดใหม่ (เรื่องนี้เรื่องใหญ่มาก ต้องถึงขนาดแก้รัฐธรรมนูญทีเดียว...ที่ สว.รีพับลิกันหลายคนไม่เห็นด้วยกับทรัมป์); การปลด (ไล่ออก) อัยการและเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมที่มีส่วนร่วมสอบสวนสืบสวน ทรัมป์กับการก่อกบฏ 6 มกราคม 2021 หรือการที่อีลอน มัสก์ ได้เสนอให้ทรัมป์ปลดด่วนเปลี่ยนตัวผอ.หน่วยงานอิสระด้านการบิน (FAA : Federal Aviation Admn) จนนำมาซึ่งความระส่ำระสายในหน่วยงานที่ดูแลด้านการบิน และเกิดเรื่องอุบัติเหตุเครื่องบินอเมริกันแอร์ไลน์ชนอย่างจังกับเครื่องบินเจ็ต Black Hawks ที่สนามบินที่พลุกพล่านเรแกนแอร์พอร์ต จนคนตายทั้งหมด 67 คน
รวมทั้งคำสั่งด่วนไม่ให้เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขติดต่อกันภายนอกทุกกรณี จนเกิดความระส่ำระสายกับโครงการทั้ง Medicaid และ Medicase ซึ่งมีประชาชนเป็นหลายล้านคนที่งงเป็นไก่ตาแตกกับความช่วยเหลือที่พวกเขาเคยได้รับอยู่แต่กลับถูกระงับอย่างฉับพลัน
ยังมีคำสั่งปิดสำนักงาน USAID ซึ่งไม่เพียงกระทบกับเจ้าหน้าที่เป็นแสนคนที่อยู่ใต้โครงการ (ที่เป็น Soft Power ที่สำคัญของสหรัฐฯ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปธน.เคนเนดี) แต่กระทบกับประชากรเป็นหลายล้านคนทั่วโลกที่เคยได้รับความช่วยเหลือผ่านโครงการนี้ โดยเฉพาะในโลกที่ 3 และดินแดนที่มีข้อพิพาททั่วโลก...เด็กเป็นล้านคนทั่วโลกย่อมได้รับผลกระทบจากการขอความช่วยเหลืออย่างกะทันหันเช่นนี้
และกับการประกาศจะบังคับซื้อเกาะกรีนแลนด์ หรือกดดันให้แคนาดามาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ รวมทั้งจะยึดคลองปานามาคืนมา ทำให้รีพับลิกันสายกลางหลายคนถึงกับช็อก
แต่ที่ช็อกอ้าปากค้างมากที่สุดใน 3 อาทิตย์แรกที่ซีซ่าทรัมป์ เข้ามานั่งที่ทำเนียบขาวคือ การออกมาประกาศว่า กาซาจะมีการอพยพชาวปาเลสไตน์ออกไปให้พ้นจากแผ่นดินที่เขาอาศัยอยู่มาเป็นพันๆ ปี โดยประกาศร่วมกับนักเล่นกล (a magician) ที่ทั้งมือเปื้อนเลือดและซาดิสต์ นายกฯ เนทันยาฮูแห่งอิสราเอลว่า แผ่นดินกาซาไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยได้ ไม่มีน้ำ, ไม่มีไฟ, ไม่มีอาหาร เพราะมีสภาพเหมือนเพิ่งถูกทำลายรื้อถอน (Demolition) จนหมดสภาพที่จะอาศัยมีชีวิตอยู่ได้ (ซึ่งใครล่ะที่ทำให้สภาพกาซาเหมือนถูกลูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลายแบบฮิโรชิมานั่นเอง!)... เพราะต้องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะกวาดลูกระเบิดเหล่าเศษหินปรักหักพังออกจากพื้นที่ทั้งหมด และเริ่มก่อสร้างทั้งถนน, ระบบน้ำประปาและไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานที่ (อิสราเอลจงใจ) ถูกทำลายเพื่อไม่ให้เป็นที่พักอาศัยอีกต่อไปอีกนานแสนนาน
ปธน.ทรัมป์เน้นว่า จะต้องให้ชาวปาเลสไตน์มีชีวิตใหม่ที่เขาจะมีสาธารณูปโภคพร้อมในการดำเนินชีวิต...โดยได้ติดต่อกับผู้นำอียิปต์และจอร์แดนให้รับคนประมาณ 2 ล้านคนไปอยู่อย่างมีความสุข!!!
ขณะที่ผู้นำอียิปต์และจอร์แดนได้ออกมาปฏิเสธแล้วก่อนหน้านี้ว่า เขารับผู้อพยพจากกาซาไม่ได้อีกแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะเขารับเอาไว้มากมายตั้งแต่สงคราม 6 วัน (1967) และยังจะเพาะเชื้อเกิดความไม่สงบจากเหล่าผู้อพยพนี้ ซึ่งย่อมแค้นต่ออิสราเอลและก่อความไม่สงบขึ้นได้เสมอ และผู้นำประเทศอาหรับต้องการให้มีสองรัฐอยู่คู่กัน
ทรัมป์ได้พูดหลังเข้ารับตำแหน่งว่าดินแดนกาซา เป็นดินแดนที่น่าอยู่ตามธรรมชาติ เพราะมีอากาศดี (ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) และหนนี้เขาย้ำว่า ถ้าจำเป็น เขาจะต้องส่งทหารอเมริกันเข้าไปเคลียร์ให้ชาวปาเลสไตน์อพยพออก (อย่างถาวร) จากกาซา ไปอยู่ที่อื่นให้ได้...เขาก็พร้อมใช้กำลังทหาร...โดยจะทำให้กาซาเป็นแบบชายหาด (ทองคำ) ริเวียร่าทีเดียว
ลูกเขยทรัมป์นายจาเร็ด คุชเนอร์ ได้เคยเปรยเอาไว้เสมอว่า บริเวณกาซาเป็นที่ดินติดทะเล (Waterfront ที่น่าพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแบบหรูหรา)...
นี่คือการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ ที่เริ่มจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งอิสราเอลและสหรัฐฯ กำลังทำอยู่ และเมื่อยังปราบฮามาสไม่ชนะ...ก็จะหันมากวาดล้างเผ่าพันธุ์ (Ethnic Cleansing) คือ กวาดต้อนผู้คนที่ยังพอเหลืออยู่ออกไปเพื่อยึดครองดินแดน แบบที่เราเห็นในไทยมีการ “เผ่าไล่ที่” นั่นแหละ จนคนตายและบาดเจ็บเป็นแสนๆ คน...เพื่อให้สหรัฐฯ มาสร้างรีสอร์ตหรูริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเปิดทางให้อิสราเอลเข้ายึดครองเขตดินแดนกาซา และขยายไปยึดครองเวสต์แบงก์ ให้กลายเป็น Greater Israel อย่างสมบูรณ์ตามแผนที่เนทันยาฮูได้ทำเอาไว้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว