ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เห็นรายชื่อ “3 กุนซือ” ที่ได้รับมอบหมายให้มาทะลายทุกข้อจำกัดทางกฎหมายเพื่อเป้าหมายในการเปิด “กาสิโน” หรือที่รัฐบาลใช้คำสวยหรูว่า “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” แล้ว บอกคำว่าเดียวว่า “งานนี้ฉลุย” แน่
กุนซือคนแรกคือ วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 (เกี่ยวกับบริหารราชการแผ่นดิน)
กุนซือคนที่สองคือ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 13 (เกี่ยวกับการบริหารจัดการภาครัฐ)
และกุนซือคนที่สามคือ ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
ทั้งนี้ แม้คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ “นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” จะมีมติเห็นชอบ “ร่างพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …” หรือที่เรียกกันว่า “เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่า มีปัญหาในเชิงกฎหมายค่อนข้างมาก
ในช่วงแรก “นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์” แถลงข่าวด้วยความมั่นใจว่า หลังครม.มีมติแล้วก็ส่งเข้าสู่การพิจารณาได้เลย แต่สุดท้ายรัฐบาลก็จำต้องส่งกฎหมายกาสิโนฉบับดังกล่าวกลับไปให้กฤษฎีกาจัดการให้เรียบร้อยตามที่ได้ตั้งข้อสังเกตและท้วงติงเอาไว้
กระทั่งเกิดความฮือฮาไปทั่วทั้งสยามประเทศเมื่อ “ปกรณ์ นิลประพันธ์” เลขาฯ กฤษฎีกาออกมาเปิดเผยว่า ได้มีการตั้ง “คณะกรรมการกฤษฎีกาพิเศษ” เพื่อมาจัดการร่างกฎหมายกาสิโนฉบับนี้ โดยมี “วิษณุ เครืองาม” เป็นประธาน ขณะที่คณะกรรมการก็ล้วนแล้วระดับเอกอุทั้งสิ้น เช่น “นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ นายธงทอง จันทรางศุ อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายไพโรจน์ วายุภาพ อดีตประธานศาลฎีกา” เป็นต้น
กล่าวสำหรับ“วิษณุ” ให้บริการทักษิณมาตั้งแต่สมัยเป็นนายกฯ ในยุคพรรคไทยรักไทย ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อปี 2545 และครั้งที่ 2 เมื่อปี 2548 หลังจากทักษิณกลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2
นอกจากนี้ ยังเคยได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของ “เศรษฐา ทวีสิน” ก่อนที่จะรับภารกิจใหญ่ในการทะลวงกฎหมายเพื่อเปิดกาสิโนของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร
ส่วนรายซึ่งเป็นที่จับตารองจากนายวิษณุก็คือ “นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ด้วยถือเป็น “เนติบริการ” ที่เก่งกาจระดับท็อปของประเทศคนหนึ่งเลยทีเดียว
“บวรศักดิ์” เคยเป็นอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาแล้วนั้น เคยเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล “ทักษิณ 1” เมื่อปี 2546 หลังจาก “วิษณุ เครืองาม” เจ้าของตำแหน่งเดิมถูกดันขึ้นไปเป็นรองนายกฯ และได้ทำหน้าที่นี้ต่อเนื่องถึงช่วงรัฐบาล “ทักษิณ 2” จนลาออกในเดือนมิถุนายน 2549
ส่วน “ธงทอง จันทรางศุ” เคยถูก “ทักษิณ” เรียกใช้งานตั้งแต่ตอนเป็นนายกฯ สมัยแรก จนมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้เป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เคยเป็นกรรมการ อสมท. โชว์ผลงานถอดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” พ้นจอช่อง 9 เมื่อปี 2548
หลังจากนั้น ก็รับใช้ “ระบอบทักษิณ” เสมอมา ได้เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปี 2551 เป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ช่วงปี 2554 แล้วได้กลับมามีตำแหน่งอีกครั้งในรัฐบาลเพื่อไทย ในฐานะปรึกษานายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” ต่อเนื่องด้วยการเป็นที่ปรึกษานโยบายฯ ในรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร”
ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ การที่เลขาฯ กฤษฎีกาอย่างปกรณ์หล่นถ้อยคำเด็ดออกมาด้วยว่า “สิ่งที่เราทำคือดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เราเป็นเหมือนพ่อครัวที่คอยปรุงและใส่วัตถุดิบตามที่ลูกค้าต้องการ แต่ถ้ามีบางอย่างที่เขาไม่ต้องการและเราทักท้วงแต่เขายืนยันจะเป็นแบบนั้นก็ต้องตามใจลูกค้า และเรื่องนี้ต้องถามสังคมจะว่าอย่างไร ถึงจะมาทำให้สอดคล้องกับความต้องการ แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เมื่อนโยบายมาแบบนี้ โดยแถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว สิ่งที่เราต้องทำให้สอดคล้องกับนโยบาย การทำความเข้าใจกับประชาชน เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องชี้แจงและดำเนินการอยู่”
ปกรณ์ยังบอกด้วยว่า “รัฐบาลบรรจุไว้ในแผนกฎหมายเร่งด่วน ที่ต้องดำเนินการภายใน 50 วัน และกฤษฎีกาพยายามทำให้ทัน”
ความเร่งด่วนที่ปกรณ์ว่าก็คือ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ต้องส่งร่าง พ.ร.บ.เข้าสภาให้ทันสมัยประชุมนี้ ที่จะหมดลงในวันที่ 10 เมษายน 2568
เห็นรายชื่อคณะกรรมการพิเศษและคำให้สัมภาษณ์ของเลขาฯ กฤษฎีกาแล้ว ก็ฟันธงได้ทันที่เลยว่า ถึงอย่างไรก็ฉลุยในทางกฎหมาย
คำถามก็คือ คณะกรรมการกฤษฎีกาพิเศษชุดนี้จะเข้ามาทำอะไรกับ “ร่างกฎหมายกาสิโน”
ก็คงต้องตอบว่า คือการจัดการกับ “6 ข้อท้วงติง” ที่กฤษฎีกาได้นำเสนอกับรัฐบาลไปก่อนหน้านี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายภาคหน้า อันประกอบด้วย
1.นโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภานั้น นโยบายเร่งด่วนที่ 7 ระบุว่า รัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่กระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากนโยบายดังกล่าวมุ่งหมายที่จะพัฒนาพื้นที่เป้าหมายให้เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นหลัก ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกับ Integrated Resort District ของประเทศญี่ปุ่น หรือรีสอร์ตขนาดใหญ่บางแห่งในเขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน Sunway Resort ในมาเลเซีย Marina Bay Sands ในสิงคโปร์ เป็นต้น ซึ่งประกอบด้วย โรงแรม ศูนย์การค้า ศูนย์การแสดงเพื่อความบันเทิง ศูนย์ประชุม โดยสถานบันเทิงครบวงจรเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นดังกล่าวเท่านั้น และอาจมีสถานที่ใดที่จัดให้มีการเล่นกาสิโนด้วยก็ได้ สำนักงานจึงเห็นว่าการที่ร่างกฎหมายดังกล่าวมุ่งหมายเฉพาะสถานบันเทิงครบวงจรนั้น ยังไม่สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล
2.หากร่างกฎหมายดังกล่าวมุ่งหมายที่จะจำกัดเฉพาะสถานบันเทิงครบวงจร ก็ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าสถานบันเทิงครบวงจรคือสิ่งใด เป็นโรงแรม เป็นสถานบริการ เป็นร้านอาหาร ฯลฯ เพราะแต่ละกิจกรรมดังกล่าวมีกฎหมายเฉพาะควบคุมอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายในเรื่องนี้อีก เพราะจะเป็นความซ้ำซ้อน หากควรใช้มาตรการทางบริหารในการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบกฎหมายเฉพาะแต่ละเรื่อง เพื่อให้การบังคับการตามกฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งลดระยะเวลาและขั้นตอนในการให้บริการแก่ประชาชน
3.รายงานผลการศึกษาเรื่อง ศึกษาการเปิดสถานบันเทิงหรือสันทนาการครบวงจรของสภาผู้แทนราษฎรนั้น มุ่งแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย แต่สถานบันเทิงครบวงจรในความเข้าใจของประชาชนทั่วไปนั้น หมายถึงสถานที่ที่ให้บริการกิจกรรมด้านความบันเทิงหรือสันทนาการแก่ผู้ใช้บริการได้อย่างหลากหลาย มิใช่สถานที่ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสถานที่เล่นการพนัน และสถานบันเทิงนั้นก็มีกฎหมายว่าด้วยสถานบริการควบคุมอยู่แล้ว ปัญหาการลักลอบเล่นพนันในสถานที่ดังกล่าวจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ และความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมายของผู้บังคับใช้กฎหมายนั้น ทั้งยังผิดกฎหมายว่าด้วยการพนัน กรณีจึงไม่ชัดเจนว่าร่างกฎหมายที่เสนอซึ่งเป็นหลักการเดียวกับผลการศึกษาดังกล่าว จะแก้ไขปัญหาการพนันผิดกฎหมายได้อย่างไร
4.หากรัฐบาลประสงค์จะแก้ไขปัญหาเรื่องการพนันผิดกฎหมายหรือมีนโยบายที่จะจัดให้มีการเล่นการพนันที่ชอบด้วยกฎหมายในสถานบริการหรือสถานที่อื่นใด ก็สามารถที่จะดำเนินการได้ตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน หรือแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการพนันที่ใช้บังคับมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2478 เพื่อให้ทันกับกาลสมัย ซึ่งจะแก้ไขปัญหานี้ให้ตรงจุดมากกว่าไปควบคุม การอนุญาตให้จัดตั้ง และการบริหารจัดการสถานบันเทิงครบวงจร
5.โดยที่ยังไม่ชัดเจนว่าร่างกฎหมายนี้มุ่งหมายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ใด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงให้ความเห็นข้างต้นตามหลักการทำ Requlatory Impact Assessment (RIA) หรือการวิเคราะห์ผลกระทบในการออกกฎหมายเท่านั้น และมีข้อเสนอแนะว่าหากจะเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลังต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าจะเป็นไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ใด เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นร่างกฎหมายที่ทำขึ้นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการจะผลักดันนโยบายแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นหลัก หรือจะเป็นไปตามข้อเสนอแนะของสภาผู้แทนราษฎรที่มุ่งแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย เพราะมีความแตกต่างกันมากในการออกแบบกลไกตามกฎหมายและโครงสร้าง และสมควรรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย และปรับปรุงร่างให้ตรงตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
6.มีข้อสังเกตว่า ปัจจุบันมีการวิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายนี้ในวงกว้างอย่างสับสนว่าจะเป็นไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ใดตามข้อ 5 กรณีจึงสมควรที่จะสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนเสียก่อนที่จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาด้วย
ส่วนกระแสคัดค้านที่เรียกร้องให้ทำ “ประชามติ” ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลมองเห็นเป็นเพียงเสียงนกเสียงกานั้น ก็เรียกว่า มี “พลังพอสมควร” กล่าวคือ เมื่อวันที่ เมื่อวันที่ 29 ม.ค. เครือข่ายภาคประชาสังคมและนักวิชาการ เปิดแถลงข่าว ‘ไม่เอากาสิโน ต้องทำประชามติ’ โดยเครือข่ายฯ ประกาศเดินหน้ารวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้ไม่น้อยกว่า 50,000 รายชื่อ เพื่อนำเสนอให้รัฐบาลจัดให้มีการทำประชามติว่า ประเทศไทยสมควรมีกาสิโนถูกกฎหมายหรือไม่ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ได้เปิดให้ประชาชนร่วมลงชื่อแสดงจุดยืนว่า ‘เราไม่เอากาสิโน’ โดยล่าสุดมีผู้ลงชื่อแสดงจุดยืนแล้ว 70,000 คน
“ณ ขณะนี้รัฐบาลเห็นว่า ไม่เป็นเรื่องใหญ่ ในขณะที่ประชาชนรู้สึกกังวลว่า เรื่องนี้ (กาสิโน) เป็นเรื่องใหญ่ มีผลกระทบถึงลูกถึงหลานในอนาคต เพราะกฎหมายฉบับนี้ (ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ....) ซึ่งกำลังจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาฯ ไม่ได้พูดถึงการเปิดกาสิโนเพียง 1-2 แห่ง แต่พูดถึงการเปิดโอกาสให้มีสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเปิดได้เรื่อยๆ ไม่จำกัด เพราะกฎหมายเปิดช่องไว้มหาศาล”
“ฉะนั้น เรื่องนี้ สำหรับเราแล้ว จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมันจะอยู่ไปอีกนาน และกฎหมายฉบับนี้ จะถูกรัฐบาลชุดใดก็ได้ในอนาคต หยิบเอามาใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเปิดแหล่งเล่นพนันขนาดใหญ่ไปได้เรื่อยๆ นี่คือประเด็นที่เราเห็นว่า น่ากังวล จึงต้องมีความรัดกุม รอบคอบ และต้องมีอะไรที่ชัดเจนมากกว่านี้ แต่เมื่อเขา (รัฐบาล) ไม่ฟัง เราก็ต้องหาช่องทางที่ทำให้รัฐบาลรับฟัง โดยอาศัยกระบวนการตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ”นายธนกร คมกฤส กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าว
ดังนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรที่อยากจะเปิดกาสิโนในประเทศไทยจะขาดจะสามารถฝ่ากระแสต้านไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะข้อติดขัดทางกฎหมายที่จำต้องอาศัย “เนติบริการระดับเอกอุ” เพื่อทะลวงทุกข้อจำกัดก่อนส่งเข้าสภาเพื่อพิจารณาและลงมติ