ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สาธารณสุขไทยเตรียมรับแรงกระแทกอันเป็นผลกระทบมาจากกรณี “ปิดบริการ รพ. ค่ายผู้ลี้ภัย แนวชายแดนไทย-เมียนมา” หลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เมื่อ 20 ม.ค. 2568 ให้ระงับการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาที่มอบให้แก่ต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน ลอยแพผู้ลี้ภัยมากกว่า 106,000 คน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นภาพสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในค่ายอพยพผู้ลี้ภัยจากเมียนมา ที่เข้ามาการตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณตามตะเข็บชายแดนไทย โดยทางการไทยเปิดให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่หนีภัยการสู้รบมากว่า 40 ปีแล้ว
ปัจจุบันค่ายอพยพมีทั้งหมด 9 แห่ง ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมาใน จ.แม่ฮ่องสอน, จ.ตาก, จ.กาญจนบุรี และ จ.ราชบุรี ซึ่งดูแลผู้ลี้ภัยรวมกันมากกว่า 106,000 คน
นายสุณัย ผาสุก ที่ปรึกษาฮิวแมนไรท์วอทช์ เปิดเผยหลังมีการสั่งระงับการสนับสนุนด้านสาธารณสุขขององค์กร International Rescue Committee (IRC) เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยจะไม่มีอีกต่อไปทั่วโลกเป็นเวลา 90 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ภายหลังมีคำสั่งจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
กลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ โรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัย 5 แห่ง จาก 9 แห่ง ถูกสั่งปิดทันที ได้แก่ โรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละ (ผู้ลี้ภัยจากเมียนมา 36,736 คน) ค่ายผู้ลี้ภัยอุ้มเปี้ยม (10,976 คน) และค่ายผูัลี้ภัยนุโพ (10,299 คน) จ.ตาก รวมถึงค่ายผู้ลี้ภัยบ้านใหม่ในสอย (8,805 คน) และบ้านแม่สุริน (3,009 คน) จ.แม่ฮ่องสอน โดยผู้ป่วยในค่ายผู้ลี้ภัยเคว้งถูกลอยแพ ทั้งสตรีมีครรภ์ สตรีมีลูกเล็ก ผู้ป่วยอาการหนัก ผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยวัณโรค ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ฯลฯ
ขณะที่โรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัย อีก 4 ค่าย คือค่ายลี้ภัยในบ้านต้นยาง และค่ายลี้ภัยถ้ำหิน ขณะนี้ยังเปิดให้บริการอยู่ เพราะบางส่วนรับเงินทุนช่วยเหลือจากองค์กรสุขภาพของ ARC นอกจากของสหรัฐฯ ส่วน 2 ค่ายในแม่ละอูน และแม่ลามาหลวง ยังไม่ได้รับผลกระทบอะไร เพราะรับเงินทุนช่วยเหลือจากองค์กรสุขภาพของเยอรมันนี
ขณะที่ น.ส.พรสุข เกิดสว่าง ภาคประชาสังคมที่ทำงานกับผู้ลี้ภัยชายแดนไทย เปิดเผยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบทั้งต่อผู้ป่วย หรือ หมอ พยาบาล อนามัยที่ทำงานในโรงพยาบาลของค่ายผู้ลี้ภัย แต่หากดำเนินต่อไปจะส่งผลให้เกิดปัญหาสาธารณสุขขนานใหญ่ขึ้นได้ นอกจากโรงพยาบาลแล้ว ยังมีงานสุขาภิบาลตลอดจนการจัดการขยะที่ได้รับการสนับสนุนทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยในค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะไหลทะลักเข้าสู่ระบบสาธารณสุขไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้องมองประเด็นเรื่องมนุษยธรรมมาก่อน แม้ระบบโครงสร้างสาธารณสุขของไทยมีข้อจำกัดอยู่แล้ว แต่เมื่อสาธารณสุขของผู้ลี้ภัยถูกตัดขาด ทางการไทยก็ต้องเร่งจัดสรรนโยบายเฉพาะหน้า เพื่อมนุษยธรรม และป้องกันโรคติดต่อ เพราะหากทางการไทยไม่ดูแลจะส่งผลกระทบต่อชุมชนสังคมคนไทยในพื้นที่
ฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุว่าทางการไทยต้องยอมรับว่ามันคือบูมเมอแรงที่ย้อนกลับมาหารัฐบาลไทย เพราะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาทางการไทยปล่อยให้การดูแลผู้ลี้ภัยตามตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา เป็นภาระของนานาชาติ โดยที่ไทยไม่ต้องควักกระเป๋าแม้แต่บาทเดียว เพราะเป็นเงินที่ได้รับการช่วยเหลือจากนานาชาติมาตลอด ซึ่งเจ้าภาพหลัก คือ รัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อสหรัฐฯ ตัดสินใจลอยแพ รัฐบาลไทยไม่ได้ตั้งตัว และไม่มีใครเตรียมตัวรับคำสั่งนี้ จึงเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนำไปสู่การทบทวนแก้ปัญหาภาพรวมหลังจากแก้ปัญหาเฉพาะเสร็จสิ้น
โดยประเมินการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ระยะสั้นรัฐบาลไทยต้องหางบประมาณและบุคลากรมารองรับ ระยะยาวทางการไทยต้องทบทวนนโยบายว่าจะมองหาแหล่งเงินทุนเข้ามาช่วยดูแลด้านสาธารณสุขให้กับผู้ลี้ภัย ทั้งนี้ ผู้ลี้ภัยอยู่ราวๆ 1 แสนคน ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต้องดำเนินการเรียกประชุมฉุกเฉินหน่วยงานในสังกัด ร่วมกับกระทรวงอื่นๆ เช่นกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงหน่วยงานมนุษยธรรมอื่นๆ ของไทย เพื่อหาทางออกร่วมกัน ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญคือเรื่องของ “มนุษยธรรม” และ “โรคติดต่อ”
ด้าน นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง เปิดเผยว่าสถานพยาบาลในอำเภอชายแดนทั้ง 5 โรงพยาบาลใน จ.ตาก ยืนยันในเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ดูแลเรื่องการแพทย์ฉุกเฉินที่เป็นอันตรายถึงชีวิตและการแพร่ระบาดของโรค เช่น วัณโรค จิตเวช ยืนยันว่าจะไม่เก็บเงิน ซึ่งโรงพยาบาลใน 5 อำเภอชายแดนจะแบ่งกันดูแลศูนย์พักพิงชั่วคราว รพ.อุ้มผาง ดูแลศูนย์พักพิงนุโพ รพ.พระพบ ดูแลศูนย์พักพิงอุ้มเปี้ยม รพ.ท่าสองยาง และรพ.แม่ระมาด ดูแลศูนย์พักพิงแม่หละ ส่วนรพ.แม่สอด จะเป็นฝ่ายสนับสนุนให้กับทุกโรงพยาบาล
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลกระทบจากนโยบายระดับโลก เป็นโจทย์ใหญ่ของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข อาจต้องพิจารณาดำเนินการตั้งกองทุนขอบริจาคระดับประเทศ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีคนไม่มีสัญชาติไทยอยู่ในสังคมไทยจำนวนมาก
ประเด็นที่ถูกจับตา ข้อเสนอของ นายกัณวีร์ สืบแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 12 ขอให้พิจารณารับรองผู้ลี้ภัยสามารถทำงานถูกกฎหมายในประเทศไทย เป็นแนวทางในแก้ปัญหาเปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง
“ขอให้นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนแปลงนโยบายในการดูแลผู้ลี้ภัย การดูแลค่ายผู้ลี้ภัยทั้งที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน 4 แห่ง จังหวัดตาก 3 แห่ง จังหวัดราชบุรี 1 แห่ง และขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 17 ให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานได้และอยู่ในไทยได้ชั่วคราว”
ต่อมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบโต้ข้อเสนอ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ว่าอยากให้มองความเป็นจริง ต้องถามว่าเรารับรองทั้งหมดจะแบกไหวไหม ถามประชาชนคนไทยว่าจะเอาหรือไม่เรื่องนี้เป็นการคิดดี แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำได้
พร้อมเปิดเผยว่ารัฐบาลได้รับผลกระทบในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะไทยเป็นประเทศหนึ่งในผู้ช่วยเหลือ ซึ่งองค์กร IRC และองค์การสหประชาชาติ (UN) เข้ามาเกี่ยวข้องในความรับผิดชอบของไทยจะช่วยเหลือตามศักยภาพที่จะช่วยได้
สำหรับในมุมมองของ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศและด้านความมั่นคง วิเคราะห์ว่าส่งผลต่อโครงการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องมนุษยธรรมบางเรื่องซึ่งจะต้องหยุดลงไปชั่วคราว แต่ข้อสังเกตจากการออกคำสั่งดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงต้องการดึงเงินออกจากระบบด้านสังคม สวัดิการ ความช่วยเหลือนานาชาติ โดยเป็นการปรับระบบใหม่และกลับมาเข้ามาให้ทุนใหม่ เพื่อให้สามารถควบคุมหรือลดงบประมาณได้ดีกว่า
รวมทั้งคำสั่งนี้ถือเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่รุนเเรงเเละไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในการกดดันนานาชาติ เพื่อเป้าหมายนโยบายผู้อพยพ
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ แถลงเกี่ยวกับการเพิ่มข้อยกเว้นสำหรับการบังคับใช้มาตรการระงับการให้ความช่วยเหลือแก่ต่างชาติตามคำสั่งของทรัมป์ ได้แก่ ความช่วยเหลือในการช่วยชีวิต หรือการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในการช่วยชีวิต ซึ่งได้กำหนดคำนิยามว่า หมายถึง การให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับยาหลักในการช่วยชีวิต การบริการทางการแพทย์ อาหาร ที่พัก การยังชีพ สิ่งของ และค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล แต่ไม่ครอบคลุมในเรื่องการทำแท้ง การประชุมวางแผนครอบครัว การผ่าตัดแปลงเพศ และการช่วยเหลืออื่นๆ ที่ไม่ใช่การช่วยชีวิต
ดังนั้น คงต้องติดตามว่าทางการไทยจะดำเนินการต่อไปอย่างไรเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้