เปิดศักราช 2568 มาได้ร่วมเดือน “รถยนต์ไฟฟ้า” ก็กลับมาเป็นหัวข้อที่น่าสนใจในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์โลกอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ยอดขายทั่วโลกรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ(EV) และแบบปลั๊ก-อินไฮบริด(PHEV) จะเพิ่มอีกอย่างน้อย 17 % หรือเกิน 20 ล้านคันในปีนี้
โดยผู้ผลิตยานยนต์มองว่าปี 2568 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากยุโรปจะกำหนดเป้าหมายใหม่เพื่อส่งเสริมการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ และการขยายการอุดหนุนการซื้อรถยนต์ใหม่ของรัฐบาลจีน ในขณะที่สหรัฐยกเลิกเป้าหมายด้านการใช้รถยนต์ไฟฟ้าภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ รอยเตอร์ (Reuters) รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจาก “โลลา ฮิวจ์ส (Iola Hughes)W หัวหน้าฝ่ายวิจัยของโรโมชั่น(Rho Motion) ว่า “ยุโรป” ซึ่งเป็นตลาดอีวีที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกจะหวนมาเติบโตด้านยอดขายอีกครั้ง เนื่องจากเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีผลบังคับใช้และมีการวางจำหน่ายรถรุ่นที่ราคาถูกกว่า แต่อัตราการเติบโตจะยังคงช้ากว่าในปี 2566
กล่าวคือยอดขายโดยรวมจะเติบโตขึ้น 15% จากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 3 ล้านคันในปีที่แล้ว ผู้ผลิตรถยนต์ยังคงเสี่ยงต่อการถูกปรับราว 10,000 ล้านยูโร (ราว 350,000 ล้านบาท) จากการไม่สามารถทำตามเป้าหมายการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรป (อียู) แม้จะซื้อเครดิตจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าผ่านกลุ่มก็ตาม
เมื่อเทียบกับ 15,000 ล้านยูโร (520,000 ล้านบาท) ตามประมาณการยอดปรับครั้งก่อน ซึ่งไม่รวมการพัฒนาอุตสาหกรรมและกลุ่มการปล่อยมลพิษใหม่
สำหรับตลาด “จีน” บริษัทวิจัยฯ คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยจะเติบโต 17% ในปี 2568 และยิ่งไปหนุนการครองตลาดด้วยการขยายการอุดหนุนการซื้อรถยนต์ ซึ่งในปี 2567 ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ 40% เป็น 11 ล้านคัน
ส่วนใน “ภูมิภาคละตินอเมริกา” ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนจะยืนยันแนวโน้มยอดขายของปี 2567 ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 80% และจะยังคงเพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและตลาดเกิดใหม่
ขณะที่ใน “สหรัฐอเมริกา” โร โมชั่นคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโต 16% ในปี 2568 โดยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของทรัมป์เพียงเล็กน้อย แต่คาดว่าจะส่งผลในระยะยาว เช่น ในกรณีเลวร้ายฯ ที่สุด ความต้องการแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะลดลง 47% ภายในปี 2583
หัวหน้าฝ่ายวิจัยของโรโมชั่น เปิดเผยผ่านรอยเตอร์ด้วยว่า ในตลาดสหรัฐมีความไม่แน่นอนอยู่มากส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างชัดเจนในช่วงปีที่ผ่านมา และจึงคาดว่าตัวเลขคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะลดลง
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังคงเกิดขึ้นอยู่มาก และจะยังคงเห็นการเติบโตในทศวรรษหน้า
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีน ทำสถิติใหม่รายเดือนเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายรวมอยู่ที่ 4.25 ล้านคันในปี 2567
BYD เผยว่า ยอดขายรถยนต์นั่งแบบปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าในเดือนธันวาคม อยู่ที่ 509,440 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าประเภท PEV (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว) อยู่ที่ 207,734 คัน ส่งผลให้ยอดขายรวมรถยนต์ PEV ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.76 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายรถยนต์รวมตลอดทั้งปี ยังทำสถิติใหม่แตะที่ 4.25 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 41% จากปีก่อน
การผงาดขึ้นมาของ BYD ในฐานะแบรนด์รถยนต์ขายดีต่างไปจากสถานการณ์ของค่ายผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Nissan, Volkswagen และ Stellantis ขณะที่ค่ายรถยนต์ฝั่งตะวันตกยังเผชิญกับยอดขายที่ลดลงในจีน และยังตามหลังในแง่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้า
ในแง่ของรายได้ ยอดขายที่เพิ่มขึ้นยังเพิ่มโอกาสที่ BYD จะมีรายได้ประจำปีทะลุหลัก 100,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้นได้แรงหนุนจากตลาดในบ้านเกิด รวมไปถึงมาตรการเงินอุดหนุนที่เพิ่มขึ้นจากจีนในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 เพื่อจูงใจให้คนหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถน้ำมัน
ส่วนเทสลา (Tesla) บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐพบยอดขายลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 กว่าปี โดยทำยอดขายรวมทั่วโลกได้ 1,789,226 คัน ในปี 2567 ซึ่งน้อยกว่าค่าประมาณการฉันทามติของนักวิเคราะห์ และถึงแม้ว่าจะมีความพยายามผลักดันยอดขายในช่วงปลายปีจนทำให้ยอดขายรายไตรมาสของไตรมาส 4 สูงทำลายสถิติที่ 495,570 คัน แต่ก็ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 512,277 คัน และไม่เพียงพอที่จะทำให้ยอดขายรายปีสูงกว่ายอดของปีก่อนหน้าที่ทำไว้ 1,808,581 คัน
รอยเตอร์ระบุว่า การลดเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป และการที่ผู้บริโภคในสหรัฐหันไปใช้รถยนต์ไฮบริดที่ราคาย่อมเยากว่า และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในระดับโลก โดยเฉพาะจากบีวายดี (BYD) รถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ล้วนเป็นปัจจัยที่ฉุดยอดขายของเทสลา
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่ายอดขายทั่วโลกของเทสลาจะลดลง 1.1% (YOY) ขณะที่บีวายดีทำยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 12.1% (YOY) แต่เทสลายังคงเป็นผู้นำตลาดอยู่เล็กน้อย
นอกจากนั้น ยังมีการเปิดเผยข้อมูลรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือที่สุดในการจัดอันดับของ Consumer Reports คือ BMW i4 ซึ่งวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2565 รถยนต์พลังไฟฟ้าอื่นๆ อีกหลายรุ่นมีความน่าเชื่อถือในระดับปานกลาง รวมถึง Ford Mustang Mach-E, Genesis GV60, Hyundai Ioniq 6, Kia EV9 และ Niro Electric, Nissan Ariya และ Leaf และ Tesla Model 3 และ Model Y
ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ที่อยู่ในตลาดมานานหลายค่ายยังคงประสบปัญหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีรถยนต์พลังไฟฟ้า เช่น Chevrolet Blazer EV และ Cadillac Lyriq ซึ่งใช้แพลตฟอร์มรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ทั้งหมดจาก GM ซึ่งรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นมีปัญหาเมื่อเปิดตัวครั้งแรก รวมถึงปัญหาบางอย่างที่ Consumer Reports พบในรถยนต์ที่ทดสอบ และเจ้าของรถยนต์หลายรายยังบ่นเกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ และระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ อันสะท้อนให้เห็นได้จากคะแนนความน่าเชื่อถือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
นอกจากนั้น Volkswagen ID.4 และ Ford F-150 Lightning ก็ยังมีชื่ออยู่ในรถยนต์ใหม่ที่เชื่อถือได้น้อยที่สุดของ Consumer Reports อีกด้วย