อาทิตย์แรกที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งผู้นำทำเนียบขาว เขาเริ่มแสดงศักดาอำนาจอำมหิตด้วยการเร่งรีบทำตามนโยบายสุดขั้วที่เขาได้หาเสียงมาตลอด 1 ปี และได้รับคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตมาถึง 77 ล้านเสียง (กมลา แฮร์ริส ได้ 75 ล้านเสียง)...เขาจะต้องเร่งรีบแสดงผลงานตามที่ผู้คน 77 ล้านได้ตั้งความหวังและคล้อยตามนโยบายเหล่านี้ ดังที่เขาย้ำเสมอว่า Promises made, promises kept…และเขามีเวลาอีกแค่ 1 ปีครึ่งก็จะถึงเวลาเลือกตั้งกลางเทอม (เลือกตั้งทุกๆ 2 ปี) ซึ่งขณะนี้เขาได้ครอบครองอำนาจทั้ง 3 ฝ่ายเบ็ดเสร็จคือ 2 สภา, ทำเนียบขาว และฝ่ายตุลาการ
แต่คะแนนเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันในสภาล่างนั้น เฉียดฉิวมากคือ 219 เสียง ขณะที่ฝ่ายเดโมแครตได้ถึง 215 เสียง นับว่าเสี้ยวไส้มากถ้า สส.รีพับลิกันเพียง 2 คนไม่ลงคะแนนให้กับข้อเสนอของฝ่ายรีพับลิกัน จะทำให้สภามีเสียงเท่ากันทันทีคือ 217 ต่อ 217 และกฎหมายที่ทรัมป์หวังให้ผ่านสภาก็จะติดขัดขึ้นมาได้
เขาจึงหวังอย่างยิ่งว่า ถ้าเขาสร้างผลงานตามคำสัญญาได้รวดเร็ว จะทำให้ฝ่ายรีพับลิกันน่าจะได้ สส.ในการเลือกตั้งอีกเพียง 1 ปีครึ่ง มากกว่า 219 เสียง ทำให้การบริหารที่ทำเนียบขาวจะคล่องตัวได้ดียิ่งขึ้นจนยาวไปครบรอบ 4 ปีเต็ม
เพราะในสมัยแรกของทรัมป์ สภาล่างก็ได้คะแนนฝ่ายรีพับลิกันเป็นเสียงข้างมากแบบครั้งนี้ แต่พอมีเลือกตั้งกลางเทอม ฝ่ายเดโมแครตกลับได้ สส.เป็นเสียงข้างมาก และทำให้ทรัมป์ไม่สามารถทำงานได้สะดวกในช่วงครึ่งหลังที่ทำเนียบขาว
สัญญาแรกที่เขาเริ่มทำในวันแรกๆ คือออกคำสั่งปธน.ให้ยุติการเปิดรับผู้อพยพเข้าเมือง เรียกว่า ปิดพรมแดนทันทีคือ มีนโยบายตรงข้ามกับไบเดน ที่ยังให้มีการพิจารณาคัดเลือกรับผู้อพยพเข้าเมืองที่มีความจำเป็นต้องหนีภาวะอันตรายที่บ้านเมืองเกิดของตน และงานที่เสี่ยงและสกปรกที่คนอเมริกันไม่ชอบทำ ก็จะมีผู้อพยพใหม่มารับทำงานนี้ให้
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้ออกคำสั่งปธน.ให้นำกองกำลังทหารไปประจำที่เขตแดนตอนใต้ เพื่อให้ดำเนินการเด็ดขาดห้ามไม่ให้มีการข้ามพรมแดนเข้ามา
และให้เจ้าหน้าที่จาก ตม. (ตรวจคนเข้าเมืองคือ หน่วย ICE : Immigration and Customs Enforcement) เข้าไปตรวจค้นหาผู้อพยพตามเมืองใหญ่ ที่มีการหลบซ่อนตัวของเหล่าผู้แอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย
อาทิตย์แรกนี้ สามารถไปรวบตัวมาได้ประมาณเกือบ 1 พันคน จากแคลิฟอร์เนีย และชิคาโก เป็นต้น
ทรัมป์พยายามให้มีการเผยแพร่ภาพสดการจับกุมคนงานไม่มีเอกสารเข้าเมืองเหล่านี้เพื่อแสดงผลงานของตน และได้สร้างอาคารเป็นกระโจมยักษ์ที่บริเวณชายแดน เพื่อควบคุมกักตัวผู้อพยพผิดกฎหมายเหล่านี้ ขณะรอการส่งตัวกลับยังประเทศต้นกำเนิดของตน
ในวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคมที่เพิ่งผ่านมานี้ ได้มีการทยอยนำผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย ด้วยการมัดมือไพล่หลัง และบางคนมีสวมอุปกรณ์มัดข้อเท้าเพื่อกันหนี จับพวกเขานั่งเครื่องบินไปส่งยังประเทศบ้านเกิดของเขา
มีบางเที่ยวที่ใช้เครื่องบินพาณิชย์เช่น ที่ไปยังประเทศบราซิล ซึ่งปธน.ลูลาได้ขอให้เครื่องบินจากสหรัฐฯ จอดที่สนามบินทันทีที่เข้ามาในอาณาเขตของบราซิล และขอให้นำคนบราซิลเหล่านี้ลงมาจากเครื่องบินสหรัฐฯ โดยให้ถอดเครื่องจองจำทั้งหมดแล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องบินของบราซิลเอง เพื่อนำคนบราซิลเหล่านี้มายังเมืองหลวง เพราะปธน.ลูลามองว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากรที่จะต้องจองจำด้วยโซ่ตรวน... เขาเป็นแค่คนงานที่เหมือนนักรบด้านเศรษฐกิจที่ไปหางานทำที่สหรัฐฯ และส่งเงินกลับมาที่บ้านมากมาย ก็เช่นเดียวกับคนงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศ ทั้งเกาหลี, ญี่ปุ่น, ตะวันออกกลาง ที่ส่งเงินกลับมาประเทศไทย โดยหลายคนก็ไปแบบลักลอบเข้าเมือง
วันอาทิตย์ที่ 26 นี้ มีเครื่องบินทหาร 2 ลำได้นำชาวโคลอมเบียที่อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย (ที่สหรัฐฯ) จำนวนลำละประมาณ 20 คน กำลังบินบ่ายหน้ามายังเมืองหลวงของโคลอมเบีย
ขณะที่เครื่องบินยังอยู่กลางอากาศ ปธน.กุสตาโว เปโตร ของโคลอมเบีย ได้ประกาศห้ามเครื่องบินทหารของสหรัฐฯ ทั้งสองลำไม่ให้ลงจอด แล้วให้หันหลังบินกลับไปสหรัฐฯ
รมต.ต่างประเทศแกะกล่องของสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ โมโหสุดขีด บอกว่า เป็นการผิดคำพูดของปธน.เปโตรของโคลอมเบีย ที่ได้อนุญาตให้นำคนงานโคลอมเบียเหล่านี้กลับบ้านได้
ปธน.ทรัมป์กำลังตีกอล์ฟก็เกิดอาการโกรธจัด บอกว่าโคลอมเบียกำลังแข็งข้อกับสหรัฐฯ ประกาศทันทีจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากโคลอมเบีย 25% ทุกรายการ และประกาศปิดพรมแดนห้ามคนโคลอมเบียเดินทางเข้าสหรัฐฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของโคลอมเบียทุกระดับ และห้ามเครื่องบินจากโคลอมเบียเข้าจอดในสหรัฐฯ คือปิดการเดินทางทั้งหมด
ยังขู่ต่อว่า ในปลายอาทิตย์นี้ ภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดจากโคลอมเบียจะเขยิบสูงขึ้นเป็น 2 เท่าคือ 50% ทีเดียว
ดังที่ทั้งโลกได้รับรู้เตรียมการ สำหรับรัฐบาลทรัมป์ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นทันที สำหรับประเทศใดๆ ที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อใช้ภาษีนำเข้าตัวนี้เป็นเครื่องต่อรอง ให้ประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ จะต้องหาทางลดการได้เปรียบดุลการค้าของสหรัฐฯ โดยหันไปซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร (ฐานเสียงของพรรครีพับลิกัน...โดยเฉพาะทรัมป์...เช่นที่เขาจะกดดันให้ไทยซื้อหมูเนื้อแดงหรือเครื่องในสัตว์) หรืออาวุธยุทโธปกรณ์และเครื่องบิน (โบอิ้ง) หรือเครื่องจักรกลอเมริกัน รวมทั้งพลังงานพวกน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ตลอดจนพวกเซมิคอนต่างๆ
แต่สำหรับโคลอมเบียปรากฏว่า สหรัฐฯ เกินดุลการค้ากับโคลอมเบียอยู่แล้ว (ต่างกับเม็กซิโก, แคนาดา, จีน, อินเดีย เป็นต้น ที่ประเทศเหล่านี้ได้เปรียบดุลการค้ามากมายกับสหรัฐฯ) เพราะโคลอมเบียต้องซื้อน้ำมัน (กลั่นแล้ว) และพวกยานยนต์, เครื่องจักร, แร่ธาตุต่างๆ จากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับสินค้าโคลอมเบียที่ส่งไปสหรัฐฯ คือ น้ำมันดิบ, ทองคำ, ทองแดง, กาแฟ, อโวคาโด, ดอกไม้ตัดดอกเช่น ดอกกุหลาบ (ใกล้วันวาเลนไทน์พอดี) และกล้วย เป็นต้น
การกดดันด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อใช้โคลอมเบียซื้อของจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น จะใช้ไม่ได้กับโคลอมเบีย...ยิ่งกาแฟโคลอมเบียเป็นกาแฟชนิดดีเลิศ มีราคาสูงมากในสหรัฐฯ
ประกอบกับโคลอมเบียได้เพิ่มการติดต่อสัมพันธ์กับจีนในทุกระดับ โดยเฉพาะด้านการค้าขาย โดยโคลอมเบียก็เป็นเช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ที่เพิ่มความสัมพันธ์กับจีนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่น ปานามาตัดสัมพันธ์การทูตกับไต้หวันแล้วหันมารับการลงทุนจากจีน เป็นต้น แม้แต่อเมริกาเหนือเช่น เม็กซิโกก็เพิ่มการค้า การลงทุนจากจีนอย่างไม่เคยมีมาก่อน
นี่คือสวนหลังบ้านของทรัมป์ ที่จีนกำลังเพิ่มอิทธิพลด้านการค้า การลงทุน รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น (บราซิลเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งของ BRICS)
ปธน.โคลอมเบียบอกว่า ในหลักการเขาพร้อมรับคนโคลอมเบียที่เข้าเมืองผิดกฎหมายของสหรัฐฯ เพื่อกลับบ้านอย่างสมเกียรติ เพราะพวกเขาเป็นผู้นำเงินกลับมาสู่โคลอมเบีย พวกเขาไม่ใช่อาชญากร ต้องไม่ทำกับเขาเยี่ยงนักโทษ ปธน.เปโตรพร้อมส่งเครื่องบินของโคลอมเบียไปรับพวกเขากลับมา...โดยปธน.เปโตรย้ำว่า เขาต่อต้านการกระทำแบบนาซี!!! (น่าจะหมายถึงทรัมป์)...เขาเสริมใน X ว่า คนโคลอมเบียมีศักดิ์ศรี, มีความเป็นมนุษย์ และเราไม่ใช่ต่ำต้อยกว่าคนอเมริกัน... เราเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์เช่นคนอเมริกันเช่นกัน!
เขาส่งรมต.ต่างประเทศจากโคลอมเบียไปเจรจากับรมต.ต่างประเทศมาโก รูบิโอ เพื่อจัดตารางร่วมกันในการเดินทางกลับบ้านของชาวโคลอมเบียเหล่านี้
แม้ทรัมป์จะยังข่มขู่ดุดันก้าวร้าวว่า เขาได้เขียนคำสั่งปธน.ค้างไว้แล้วเรื่องขึ้นภาษี 25% นำเข้าสินค้าจากโคลอมเบีย และพร้อมจะลงนามทันที ถ้าปธน.เปโตรไม่ยอมรับผู้อพยพผิดกฎหมายเหล่านี้
และนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า โคลอมเบียโดยปธน.เปโตร...ในที่สุดก็ยอมคุกเข่าให้จักรพรรดิทรัมป์ เพื่อไม่โดนลงโทษภาษีนำเข้า 25% ของสหรัฐฯ
แต่สำหรับปธน.เปโตร ยังไม่เคยมีประเทศในอเมริกากลาง, อเมริกาใต้ใดๆ ที่กล้าปะทะกับสหรัฐฯ เช่นนี้มาก่อน (นอกจากคิวบา, เวเนซุเอลา, โบลิเวีย ที่มีรัฐบาลเป็นฝ่ายซ้าย) และเขากล้าหาญพอที่จะปะทะตัวต่อตัวกับจักรพรรดิทรัมป์ เพื่อเป็นตัวแทนสำหรับชาวอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ที่กล้าแสดงศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมต่ำต้อยกว่าชาวอเมริกัน
โดยยังมีมิตรผู้มั่งคั่งคนใหม่คือ จีนยืนทะมึนคอยพร้อมช่วยเหลือต่อไป