ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ออกอาการคลุ้มคลั่งในพาวเวอร์ตัวเองมากขึ้นทุกวัน “พ่อนายกฯ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อาศัยอีเวนท์เดินสายเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งองค์การลริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่สร้างวาทกรรมออกไปทางหยาบคาย และเอาแต่พร่ำเพ้อพรั่งพรูแต่เรื่องตัวเอง
ทั้ง “อวดตัว” โชว์บารมีเหนือ “รัฐบาลลูกสาว” พูดไปทางไหน รัฐบาลก็ต้องพงกหัวเดินตาม ทั้งที่ธุระไม่ใช่ ไต่เส้นคนนอกครอบงำ เพราะเป็นผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต จากการที่เป็นผู้ต้องโทษเด็ดขาดในคดีที่เป็นที่สุดแล้ว
สำคัญกว่านั้น “ทักษิณ” ยังใช้การปราศรัยในฐานะผู้ช่วยหาเสียงที่ได้ค่าตอบแทนแค่ 300 บาทต่อวัน เพื่อ “ฟอกตัว” พยายามแก้ต่างข้อกล่าวหาที่แล้วๆ และดิสเครดิตฝ่ายต่อต้านเป็นหมาบ้าง เป็นควายบ้างโดยตลอด
เอาว่า การหาเสียง อบจ.ให้พรรคเพื่อไทยกลายเป็นประเด็นรอง เพราะหลักใหญ่ใจความมีแต่เรื่องตัว “ทักษิณ” เอง ประหนึ่งโลกหมุนรอบตัวเอง ไม่ก้าวข้ามไปไหน
ล่าสุดปิดท้ายทีทัวร์อีสานที่เวทีหาเสียง จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 20 ม.ค.68 จู่ๆ “พ่อนายกฯ” ก็ของขึ้น ขึ้นกูขึ้นมึง แก้ต่างข้อความที่ถูกตราหน้าว่า “โกง” มาตลอดที่อยู่ในเส้นทางการเมือง
“มีคนบอกว่า ผมโกง โกงพ่อมึงสิ ผมเข้ามาการเมืองเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้น ...ผมประกาศมีทรัพย์สินกว่า 60,000 ล้าน เพราะทำธุรกิจ วันนี้โดนยึดไป 46,000 ล้าน ยังไม่ร้องสักคำ... คำก็โกง สองคำก็โกง ก็มึงตั้งคณะกรรมการเฮงซวยมาสอบกู … ตอนที่กูรวย มึงยังเพิ่งขอตังค์พ่อใช้อยู่เลย”
อย่างไรก็ดี วาทกรรม “โกงพ่อมึงสิ” กลับไม่ได้ทำให้สังคมคลายสงสัยในครหา “แกงโฮะ-โกงแฮะ” ที่เป็นเสมือนโลโก้แปะหน้าผาก “นายใหญ่เพื่อไทย” แต่ทำให้เกิดความเป็นห่วงถึง “สามัญสำนึก” ของ “พ่อนายกฯ” ที่หลงผิดหลอกตัวทั้งๆ ที่รู้ตัวเองว่า “ผิด”
ไม่ต้องอื่นไกล 3 คดีที่ศาลตัดสินถึงที่สุดอันมีโทษจำคุกรวม 8 ปี ที่ทำให้ “ทักษิณ” ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ต่างแดนนานถึง 17 ปี ก่อนตัดสินใจกลับประเทศมาติดสถานะนักโทษเด็ดขาดชาย (น.ช.) และเป็นสถานะติดตัวจนไม่สามารถดำรงตำแหน่งการเมืองได้ตลอดชีว้ตนั้น ก็ล้วนแต่เป็น “คดีโกง” ทั้งสิ้น
3 คดีที่ว่า ประกอบด้วย คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ตัดสิน ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 ปี, คดีหวยบนดิน ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี และคดีแก้สัมปทานเอื้อประโยชน์ให้ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ชินคอร์ป) ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 5 ปี
แม้ภายหลัง “ทักษิณ” จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยลดโทษเหลือเพียง 1 ปี แต่ใน “ฎีกา“ ขอพระราชทานอภัยโทษ ก็มีการระบุถ้อยคำไว้ว่า “ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด” ซึ่งก็ย่อมตีความเป็นอื่นไม่ได้ นอกเสียจากว่าเจ้าตัวยอมรับในการกระทำผิดใน 3 คดีซึ่งเป็น “คดีทุจริต” ที่ว่า
ไม่เพียงเท่านั้น ในความเป็นจริง “ทักษิณ” ยังเคยถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีประวัติศาสตร์อย่าง “ที่ดินรัชดาฯ” ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เหตุในขณะเป็นนายกฯ รู้เห็นยินยอมให้ “หญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ชินวัตร คู่สมรสขณะนั้น เข้าทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง
ถือเป็นการเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานที่ตัวเองมีอำนาจกำกับดูแลอยู่ อันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม จึงมีความผิดตามมาตรา 100 (1) วรรค 3 ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ “ทักษิณ”ไม่มารับฟังคำตัดสินและได้หลบหนีออกนอกประเทศโดยอ้างว่าเดินทางไปดูการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีน จนคดีหมดอายุความ
ขณะที่ประเด็นถูกยึดทรัพย์ที่เจ้าตัวกล่าวอ้างว่า ร่ำรวยมาก่อนเข้าสู่การเมืองนั้น ก็มี “ข้อเท็จจริง” ที่ชี้ให้เห็นว่า “ทักษิณ” และครอบครัวชินวัตร ไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่โพนทะนา
จากข้อมูลการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินช่วงเริ่มเข้ามาทำงานการเมืองกับพรรคพลังธรรม เมื่อปี 2537 หรือช่วงรัฐบาลพรรคความหวังใหม่ ปี 2540 ที่ทั้งครอบครัวแสดงทรัพย์สินไว้เพียงราว 2 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่ 6 หมื่นล้านบาทตามที่กล่าวอ้าง
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ช่วงที่ “ทักษิณ” ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ปี 2544 เจ้าตัวได้ยื่นว่ามีทรัพย์สินเพียงราว 1 หมื่นล้านบาท และก็ต้องเผชิญกับ “คดีซุกหุ้น” ที่ปรากฎข้อมูลว่ามีการแอบฝากทรัพย์สินจำนวนมากไว้กับ “นอมินี” ทั้งคนรับใช้-คนขับรถ
แต่ที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญ ขณะนั้นก็มีมติให้ “ทักษิณ” พ้นผิดด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 7 แบบค้านสายตาสังคม เป็นที่มาของวลี “บกพร่องโดยสุจริต” ที่ก็คล้ายเป็นการสารภาพนัยๆว่า มีการกระทำผิดจริง แต่ไม่ถูกลงโทษเท่านั้นเอง
กระทั่งเมื่อพ้นตำแหน่งนายกฯรอบแรก ปี 2548 “ทักษิณ” ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินไว้ที่ 1.2 หมื่นล้านลาท จนพ้นจากนายกฯ ในปี 49 แจ้งทรัพย์สินไว้ 8.4 พันล้านบาท
และต่อมาช่วงปี 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคำพิพากษายึดทรัพย์ “ทักษิณ” ได้ระบุว่า เขามีทรัพย์สินรวมกับที่ให้นอมินีถือแทนมากถึง 7.6 หมื่นล้านบาท และมีคำสั่งยึดทรัพย์ราว 4.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นในส่วนเฉพาะทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นหลังดำรงตำแหน่งนายกฯ ฐานร่ำรวยผิดปกติ จากการทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจตัวเองและครอบครัว
ทรัพย์สินที่ถูกยึดส่วนใหญ่ก็เป็นผลพวงมาจากเงินค่าขายหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ “ทักษิณ” ถูกพิพากษาว่า มีความผิดฐานแก้สัมปทานเอื้อประโยชน์ให้ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำคุก 5 ปีนั่นเอง
ที่ว่าไปเป็นการตอกย้ำว่าอย่างไรเสีย เมื่อพะยี่ห้อ “ทักษิณ” แล้วก็ไม่พ้นข้อครหาด้วยพฤติการณ์ที่มักใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้องเป็นสำคัญ ทำให้ “รัฐบาลพ่อเลี้ยง” ที่รู้กันว่าอยู่ภายใต้การครอบงำของ “ทักษิณ” จึงถูก “ตั้งแง่” ในแทบทุกนโยบายที่คลอดออกมา หรือประกาศจะเดินหน้า
ไม่ว่าจะเรื่อง MOU 2544 ที่เกี่ยวพันถึงการสูญเสียดินแดนอธิปไตย หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่รัฐบาลเพิ่งทำคลอดร่างกฎหมายส่งไปยังสภา หรือพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ที่เพิ่งประกาศจุดพลุเมื่อไม่นานมานี้
เป็นการตั้งแง่ด้วยพื้นฐานแห่ง “ความไม่ไว้วางใจ” ในตัว “ทักษิณ” ผู้ที่มีอำนาจบารมีเหนือรัฐบาล จากพฤติการณ์ และประจักษ์พยานผ่านคำพิพากษาของศาลในหลายๆคดี ที่ชี้ให้เห็นว่า มีการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องอย่างชัดเจน
อันเป็นข้อหาที่ “ทักษิณ” พยายามฉวยใช้โอกาสปราศรัยหาเสียง อบจ.ในการแก้ต่างหักล้าง โดยงัดคาถา “รวยอยู่แล้ว-รวยแล้วไม่โกง” กลับมากล่อมสาวกให้เห็นว่าตัวเองเป็น “เหยื่อ” ของกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ปกติ แต่จะได้ผลหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง
กระนั้นก็ดี ในระหว่างที่กำลังกร่างเต็มพิกัด ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขณะที่ “ทักษิณ” กำลังปราศรัยหาเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยในศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ณ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อสีแดงขว้างถุงขยะขึ้นไปบนเวที จนการ์ดและมวลชนในบริเวณนั้นต้องเข้าระงับสถานการณ์ ก่อนจะพาตัวหญิงคนดังกล่าวออกไปจากเวที
“ป้าอ้วน” มือขว้างเปิดปากให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่า ตนเองเป็นคนเสื้อแดงและรับไม่ได้กับสิ่งที่ “ทักษิณ” พูดบนเวที
“โมโหมาก ไม่ได้ตั้งใจจะทำ แต่นั่งฟังแล้วพอนึกถึงก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ และนานๆ เขามาเหยียบบ้านเราที ต้องจัด”
แถมเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจปลอบใจว่า จากนั้นตำรวจได้ปลอบใจว่า เหตุการณ์มันหลายปีมาแล้ว ป้าอ้วนก็ได้ตอบกลับว่า “หลายปีแต่มันไม่ดีขึ้น มาที่นี่ 200 ก็ไม่ได้ บอกเรามาเกิน”
คนอย่าง “ทักษิณ” คงไม่คาดคิดว่าตัวเองจะต้องเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ แต่นี่คือความจริงของคนเสื้อแดงในยุคปัจจุบันที่ตีตัวออกห่างจากพรรคเพื่อไทยไปเป็นจำนวนมาก
วันนี้ “ทักษิณ” อาจจะกลับมามีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินที่ทุกคนต้องยำเกรง
แต่ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า “ทักษิณ” อยู่ในดวงใจของมวลชนน้อยลงไปทีละนิดทีละนิด