"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
การเมืองในสังคมและบริบททางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มีแนวโน้มดำเนินการโดยอาศัยเครือข่ายความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ความผูกพัน และลำดับชั้นอำนาจที่ฝังรากลึก มากกว่าการกระทำที่อาศัยหลักการนามธรรมหรืออุดมการณ์
“การเมืองบ้านใหญ่” เป็นคำที่สะท้อนถึงระบบการเมืองแบบวงศ์ตระกูลที่อิงกับความภักดี การอุปถัมภ์ และสายสัมพันธ์ในเครือญาติซึ่งส่งผลต่อวัฒนธรรมทางการเมืองและการบริหารปกครอง
บทความนี้จะสำรวจความซับซ้อนของการเมืองบ้านใหญ่ โดยมุ่งเน้นที่ระบบการเมืองแบบเครือญาติ และระบบอุปถัมภ์ พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบต่อระบบการเมือง
คำว่า “การเมืองบ้านใหญ่” มักสื่อถึงภาพของระบบศักดินาหรือระบบครอบครัวแบบปิตาธิปไตยหรือระบบชายเป็นใหญ่ที่อำนาจถูกรวมศูนย์อยู่ใน “บ้านใหญ่” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการควบคุม อำนาจ และความมั่งคั่ง ในอดีต คำนี้มักเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์ของชนชั้นสูงในยุโรปหรือโครงสร้างอำนาจยุคอาณานิคม ที่ครอบครัวหรือบุคคลสำคัญเพียงคนเดียวมีอำนาจควบคุมเครือข่ายผู้ใต้บังคับบัญชาขนาดใหญ่ ในความหมายร่วมสมัย
คำนี้เป็นอุปลักษณ์ของระบบการเมืองที่มีเครือข่ายอำนาจไม่เป็นทางการซึ่งอิงกับความภักดี เส้นสาย การเล่นพรรคเล่นพวก และความสัมพันธ์แบบต่างตอบแทน มากที่จะยึดหลักความสามารถหรือกระบวนการทางสถาบันที่เป็นทางการ แก่นของการเมืองบ้านใหญ่ตั้งอยู่บนสองกลไกหลัก ได้แก่ การเมืองแบบเครือญาติและระบบอุปถัมภ์ (Clientelism)
การเมืองแบบเครือญาติ หมายถึงการปฏิบัติในการส่งเสริมอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม ที่ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือเผ่าพันธุ์ มากกว่าคุณสมบัติ ความสามารถ หรือการมีแนวคิดอุดมการณ์ร่วมกัน ระบบนี้ให้ความสำคัญกับความภักดีและความสัมพันธ์ทางเครือญาติเป็นหลัก สร้างกลุ่มวงในที่แน่นแฟ้นและเป็นศูนย์กลางของอำนาจ
การเมืองแบบเครือญาติมีรากฐานมาจากโครงสร้างทางสังคมในประวัติศาสตร์ ที่การอยู่รอดและความสำเร็จขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งร่วมกันของครอบครัวขยายหรือกลุ่มเผ่า ผู้นำเกิดขึ้นในฐานะผู้พิทักษ์ตระกูล ให้รางวัลความจงรักภักดีด้วยตำแหน่งที่มีอิทธิพล แม้การเมืองแบบเครือญาติอย่างเปิดเผยจะลดลงในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ แต่ความสัมพันธ์ในเครือญาติแบบเส้นสายยังคงปรากฏในรูปแบบแอบแฝง
ดังเห็นได้จากตระกูลการเมืองที่ครอบครองอำนาจรัฐต่อเนื่องกันหลายชั่วอายุคน เช่น ตระกูลเคนเนดีในสหรัฐอเมริกา ตระกูลมาร์กอสในฟิลิปปินส์ ตระกูลฮุนเชนในกัมพูชา และตระกูลชินวัตรในไทย ที่สะท้อนถึงการส่งต่ออำนาจผ่านรุ่นต่อรุ่น
การเมืองแบบเครือญาติบั่นทอนและทำลายหลักการคุณธรรม โดยการผลิตโครงสร้างอำนาจที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะกลุ่ม เป็นลำดับชั้น และต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ระบบนี้ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดและความภักดีมากกว่าคุณสมบัติและความสามารถ ซึ่งขัดขวางไม่ให้บุคคลที่มีความสามารถซึ่งอยู่นอกเครือญาติเข้าถึงโอกาสหรือดำรงตำแหน่งที่สำคัญได้ เป็นผลให้เกิดการหยุดนิ่งในระบบการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ เนื่องจากขาดนวัตกรรม ประสิทธิภาพ และความหลากหลายทางความคิด
ลักษณะเฉพาะที่ฝังแน่นในการเมืองแบบเครือญาติยังทำให้เกิด ความเหลื่อมล้ำและอคติเชิงระบบ โดยอำนาจและทรัพยากรจะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีลักษณะปิดกั้นหรือสร้างกำแพงสำหรับบุคคลภายนอก ไม่ให้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในกระบวนการบริหารหรือเข้าถึงโอกาสในการก้าวหน้า เมื่อเวลาผ่านไป โครงสร้างที่ฝังรากลึกนี้จะตอกย้ำวงจรของอภิสิทธิ์ ที่ตำแหน่งและอำนาจถูกส่งต่อกันภายในกลุ่มวงใน แทนที่จะเปิดโอกาสให้กับผู้ที่มีความสามารถโดยแท้จริง
นอกจากนี้ การเมืองแบบเครือญาติยังส่งเสริมการทุจริต เพราะความจงรักภักดีต่อเครือญาติถูกให้ความสำคัญเหนือความรับผิดชอบต่อสาธารณะ กระบวนการตัดสินใจกลายเป็นสิ่งที่คลุมเครือ เนื่องจากตำแหน่งและทรัพยากรของรัฐถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิด แทนที่จะเป็นผลประโยชน์ของสาธารณะ
ตัวอย่างเช่น สัญญาสัมปทาน โครงการพัฒนา และงบประมาณสาธารณะ มักถูกจัดสรรโดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่าความโปร่งใสและความยุติธรรม การใช้งบประมาณในลักษณะนี้ลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันทางการเมือง บั่นทอนความชอบธรรมในการบริหารปกครอง และเพิ่มความไม่พอใจในหมู่ประชาชน
ยิ่งไปกว่านั้น การให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีเหนือความสามารถยัง ทำให้ประสิทธิภาพของสถาบันการเมืองอ่อนแอลง เมื่อบุคคลที่ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอำนาจอาศัยเพียงสายสัมพันธ์โดยไม่มีความเชี่ยวชาญที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพ การดำเนินนโยบายที่ล้มเหลว และการให้บริการสาธารณะที่ไม่เพียงพอ ซึ่งยิ่งทำให้ประชาชนแปลกแยกจากผู้นำของพวกเขามากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป พลวัตเหล่านี้อาจนำไปสู่ ความไม่มั่นคงทางการเมือง เนื่องจากความไม่พอใจเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ที่ถูกกีดกันจากระบบ ในกรณีร้ายแรง อาจก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคม การแย่งชิงอำนาจ หรือแม้กระทั่งการล่มสลายของโครงสร้างการบริหาร โดยเฉพาะเมื่อเกิดความขัดแย้งเรื่องการสืบทอดตำแหน่งหรือการแก่งแย่งกันภายในครอบครัวที่มีอำนาจ ซึ่งจะสร้างช่องว่างของอำนาจและนำไปสู่ความวุ่นวายในการบริหารปกครองสังคม
ระบบอุปถัมภ์ เป็นระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบต่างตอบแทนระหว่างผู้มีอำนาจเหนือ (ชนชั้นนำทางการเมือง) กับผู้อยู่ใต้อำนาจ (ประชาชนหรือพันธมิตรระดับล่าง) ระบบนี้มีลักษณะการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ หรือผลประโยชน์เพื่อแลกกับการสนับสนุนทางการเมือง ซึ่งช่วยเสริมอำนาจให้กับผู้ปกครอง และผูกมัดผู้รับการอุปถัมภ์ให้อยู่ในวงจรของการพึ่งพา
ในระบบอุปถัมภ์ ผู้อุปถัมภ์เสนองาน สัญญา เงินอุดหนุน หรือผลประโยชน์อื่น ๆ ให้กับผู้รับการอุปถัมภ์ ซึ่งตอบแทนด้วยคะแนนเสียง ความจงรักภักดี หรือการสนับสนุนรูปแบบอื่น ๆ ต่างจากการเมืองแบบเครือญาติ เพราะระบบอุปถัมภ์สามารถขยายไปนอกเหนือจากเครือญาติเพื่อรวมทุกคนที่เข้าร่วมในเครือข่ายการแลกเปลี่ยนนี้
ระบบอุปถัมภ์ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพในการการบริหารปกครอง โดยการเบี่ยงเบนทรัพยากรสาธารณะจากเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของสาธารณะในวงกว้าง ไปยังการตอบสนองผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลหรือกลุ่มเฉพาะ ระบบนี้มักให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางการเมืองในระยะสั้นเหนือเป้าหมายการพัฒนาระยะยาว ทำให้บริการสาธารณะที่สำคัญ เช่น การดูแลสุขภาพ การศึกษา หรือโครงสร้างพื้นฐาน ถูกมองข้ามหรือได้รับการจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ ตัวอย่างเช่น งบประมาณที่ควรถูกใช้ในการพัฒนาชุมชนหรือประเทศกลับถูกนำไปใช้ในเครือข่ายการอุปถัมภ์เพื่อรักษาคะแนนเสียงหรือพันธมิตรทางการเมือง
นอกจากนี้ ระบบอุปถัมภ์ ยังบั่นทอนหลักการที่เที่ยงธรรมของสถาบันทาการเมือง เนื่องจากการดำเนินงานของสถาบันรัฐบาลและกระบวนการต่าง ๆ ถูกบิดเบือนเพื่อสนองผลประโยชน์ส่วนตัวแทนที่จะปฏิบัติตามบทบาทที่ตั้งไว้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ตำแหน่งและอำนาจในสำนักงานสาธารณะมักถูกมอบให้โดยไม่คำนึงถึงความสามารถหรือคุณสมบัติที่เหมาะสม แต่ใช้เป็นรางวัลสำหรับความจงรักภักดีทางการเมือง การปฏิบัติเช่นนี้ลดความเป็นมืออาชีพและความเป็นอิสระของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถดำเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะได้อย่างเต็มที่โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง
เมื่อระบบอุปถัมภ์ฝังลึกในวัฒนธรรมการเมือง มันมักจะสร้าง วัฒนธรรมแห่งการพึ่งพา ซึ่งประชาชนถูกกระตุ้นให้พึ่งพาผู้อุปถัมภ์เพื่อเข้าถึงบริการพื้นฐานหรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แทนที่จะใช้กลไกของสถาบันที่เป็นทางการในการแก้ไขปัญหา การพึ่งพานี้บั่นทอนการพัฒนาความเข้มแข็งและความรับผิดชอบของสถาบันที่เป็นทางการ เนื่องจากประชาชนอาศัยเครือข่ายไม่เป็นทางการมากกว่ากระบวนการทางสถาบันที่เป็นทางการ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้ทำให้ประชาชนขาดความไว้วางใจต่อสถาบันรัฐบาล เนื่องจากมองว่าสถาบันเหล่านี้เป็นเครื่องมือของผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพรรคพวก แทนที่จะเป็นกลไกที่ให้บริการเพื่อส่วนรวม
นอกจากนี้ ระบบอุปถัมภ์ยัง บิดเบือนลำดับความสำคัญของนโยบาย โดยมุ่งเน้นไปที่โครงการที่ให้ประโยชน์โดยตรงต่อผู้อุปถัมภ์หรือผู้สนับสนุนที่ภักดี แทนที่จะจัดการกับปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดของประชากร ตัวอย่างเช่น รัฐบาลอาจเลือกดำเนินโครงการระยะสั้นหรือแจกจ่ายผลประโยชน์เฉพาะหน้าเพื่อรักษาความนิยมในหมู่ผู้สนับสนุน แทนที่จะกำหนดนโยบายที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำหรือเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว การบิดเบือนในลำดับความสำคัญนี้ขัดขวางการพัฒนาที่ยั่งยืนและทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจยิ่งเลวร้ายลง
สุดท้าย ระบบการอุปถัมภ์ยัง ส่งเสริมการทุจริต เนื่องจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ สินค้า หรือเงินเพื่อสนับสนุนทางการเมืองทำให้เส้นแบ่งระหว่างทรัพยากรสาธารณะและผลประโยชน์ส่วนตัวพร่าเลือน การทุจริตจะขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วดุจดังวัชพืชร้ายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของรัฐรู้สึกว่าต้องพึ่งพาผู้อุปถัมภ์ของตน และถูกกระตุ้นให้ใช้ทรัพยากรสาธารณะในทางที่ผิดเพื่อรักษาตำแหน่งหรือตอบแทนทางการเมือง การกระทำดังกล่าวยิ่งบั่นทอนการตรวจสอบและถ่วงดุลของระบบการเมืองและการบริหาร ทำให้การปฏิบัติที่ไม่โปร่งใสและทุจริตยังคงอยู่โดยไม่มีการลงโทษ
ผลกระทบสะสมของระบบการอุปถัมภ์ต่อการปกครองนั้นมีความรุนแรง บั่นทอนประสิทธิภาพและความยุติธรรมของการบริหารสาธารณะ ลดทอนหลักนิติธรรม และคงไว้ซึ่งวงจรของความเหลื่อมล้ำและความพึ่งพา ระบบอุปถัมภ์พบเห็นได้ในหลากหลายรูปแบบทั่วโลก เช่น ในบางประเทศลาตินอเมริกา การหาเสียงมักอาศัยการให้คำมั่นว่าจะมอบสิทธิประโยชน์เฉพาะกลุ่ม หรือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศไทย การซื้อเสียงและเครือข่ายการอุปถัมภ์ท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้ง
ในหลายประเทศ การเมืองแบบเครือญาติและระบบอุปถัมภ์มักเกี่ยวพันกัน สร้างระบบอำนาจที่ฝังรากลึก บ้านใหญ่กลายเป็นศูนย์กลางทั้งในแง่ของครอบครัวและการเมือง โดยผู้นำครอบครัวหรือเครือญาติทำหน้าที่เป็นผู้อุปถัมภ์ที่ได้รับความจงรักภักดีจากทั้งเครือญาติและผู้ที่อยู่ภายในเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ ดังในประเทศแอฟริกาหลังยุคอาณานิคม การยึดมั่นในเครือญาติแบบดั้งเดิมมักเกี่ยวข้องกับการอุปถัมภ์ทางการเมือง ก่อให้เกิดระบบผสมที่สถาบันรัฐสมัยใหม่อยู่ร่วมกับ (และบางครั้งถูกบั่นทอนโดย) เครือข่ายอำนาจไม่เป็นทางการ
หรือในราชวงศ์ตะวันออกกลาง ครอบครัวผู้ปกครองมักผสมผสานความสัมพันธ์ในเครือญาติเข้ากับกลยุทธ์การอุปถัมภ์ เพื่อรักษาอำนาจและแจกจ่ายทรัพยากรของรัฐให้แก่ผู้สนับสนุนสำคัญ หรือในประเทศไทยยุคปัจจุบัน ที่ตระกูลชินวัตรและตระกูลการเมืองในระดับท้องถิ่น ผสมผสานการเมืองแบบเครือญาติเข้ากับการสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของพวกเขา
การดำรงอยู่อย่างยืนยาวของของการเมืองบ้านใหญ่ก่อให้เกิดปัญหาต่อการปกครองแบบประชาธิปไตยและความก้าวหน้าทางสังคมหลายประการ ดังนี้
1. การทุจริต การให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีส่วนบุคคลเหนือความสามารถ ก่อให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากรสาธารณะในทางที่ผิดอย่างกว้างขวางในทุกระดับของการบริหารปกครองประเทศ
2. ความเหลื่อมล้ำและการกีดกัน ระบบที่อิงเครือญาติจะขัดขวางบุคคลภายนอก ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางสังคมและและการกีดกันกลุ่มคนที่อยู่นอกเครือข่ายอำนาจในการเข้าถึงตำแหน่งที่สำคัญทางการเมือง และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
3. ความอ่อนแอของสถาบันทางการเมือง อันเนื่องมาจากอุปถัมภ์บั่นทอนการพัฒนาสถาบันที่เข้มแข็งและเป็นกลาง เพราะการทำงานของรัฐบาลถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
4. การไร้เสถียรภาพทางการเมือง ในระบบที่อำนาจมีลักษณะการพึ่งพาตัวบุคคล การสูญเสียผู้นำหรือผู้อุปถัมภ์สำคัญ อาจนำไปสู่สุญญากาศแห่งอำนาจและความไม่มั่นคงทางการเมืองได้
การเมืองแบบบ้านใหญ่ ที่มีรากฐานในการเล่นพรรคเล่นพวกแบบตระกูลและระบบอุปถัมภ์ ยังคงเป็นพลังที่ทรงอิทธิพลในสังคมหลายแห่งรวมทั้งประเทศไทย การเมืองแบบนี้จะสร้างเสถียรภาพทางอำนาจและผลประโยชน์แก่ผู้ที่อยู่ในเครือข่ายเครือญาติและระบบอุปถัมภ์ แต่จะบั่นทอนและเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของสังคม การมีส่วนร่วม และธรรมาภิบาล
การจัดการกับปัญหาที่ระบบบ้านใหญ่เหล่านี้สร้างขึ้น สิ่งที่ต้องดำเนินการไม่เพียงแต่การปฏิรูปสถาบันทางการเมืองเท่านั้น หากแต่ยังต้องการการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอำนาจนิยมและการเล่นพรรคเล่นพวก ไปสู่วัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และความเท่าเทียมให้มากขึ้น การทำลายโซ่ตรวนของการเมืองแห่งความภักดีต่อผู้มีอำนาจอย่างไม่ลืมหูลืมตาเท่านั้น สังคมจึงจะสามารถก้าวไปสู่การเมืองที่เท่าเทียมและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นได้