หลังจากผู้สมัครตัวแทนของพรรครีพับลิกันชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกยิงลอบสังหาร ลูกปืนไปเฉี่ยวแค่ใบหู และมือปืนก็ถูกวิสามัญฆาตกรรมจากทีมตำรวจลับ...เกิดปฏิกิริยาในหมู่สื่อชั้นนำ และซึ่งเคยดำรงความเป็นอิสระมาเป็นร้อยปี ที่ได้มีการชะลอการออกบทบรรณาธิการในการสนับสนุนผู้สมัครคนใดที่เหมาะจะเข้าบริหารทำเนียบขาว
เพราะคะแนนของทรัมป์พุ่งพรวดพราดขึ้นมาทันที ที่เขารอดตายอย่างปาฏิหาริย์และคุยโวโดยทีมประชาสัมพันธ์ของเขาว่า เป็นเพราะพระเจ้าต้องการให้เขาเข้ามาทำภารกิจของพระเจ้าในการเป็น ปธน.สหรัฐฯ ในรอบที่สองนั่นเอง หรือเป็นการเข้าแทรกแซง โดยอำนาจพิเศษจากพระเจ้า ทำให้เขาแค่มีแผลนิดเดียวที่ใบหู...และหลังจากนั้น เศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกก็ตัดสินใจเข้าร่วมให้การสนับสนุนทรัมป์อย่างทุ่มเต็มตัว ขนาดลงทุนยอมเดินและปราศรัยหาเสียงให้ทรัมป์ทีเดียว
แม้คะแนนนิยมของกมลา แฮร์ริส จะพุ่งขึ้นหลังประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครต แต่กลเม็ดหาเสียงของอีลอน มัสก์ รวมทั้งชื่อเสียงของอีลอนเอง ที่เป็นสัญลักษณ์ของ American Dream ทำให้ทรัมป์ไปสู่ชัยชนะในที่สุด (ทั้งๆ ที่อีลอน เคยสนับสนุนทั้งฮิลลารีและไบเดนในครั้งก่อนๆ)
ความเกรี้ยวกราดของทรัมป์ในช่วงหาเสียงหลังถูกลอบสังหารนั้น ดูจะเพิ่มดีกรีของการจะล้างแค้นศัตรูของเขาจำนวนมาก แม้แต่หมอฟาวซี ก็อยู่ในรายชื่อที่ทรัมป์เล็งเอาคืนถ้าเขาได้ครอบครองทำเนียบขาวในวาระที่สองนี้...รวมทั้งไบเดน (และลูกชาย), และอัยการพิเศษไต่สวนดำเนินคดีเรื่องทรัมป์ยุยงปลุกปั่นให้เกิดการกบฏ 6 ม.ค. 2021 ที่ทำลายประชาธิปไตยของสหรัฐฯ...
ที่สำคัญคือ สื่อยักษ์ที่เป็นอิสระมาตลอด และได้เคยมีบทบรรณาธิการสนับสนุนผู้สมัครจากเดโมแครต ไม่ว่าจะเป็นฮิลลารี คลินตัน หรือโจ ไบเดน มาแล้ว...ทรัมป์ฟาดงวงฟาดงาว่า เป็นสื่อที่เป็นซ้ายตกขอบ มีแต่ข่าวที่เป็นเท็จในเรื่องเกี่ยวกับตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นคดีเรื่องโกงหรือเลี่ยงภาษีรายได้ (เขาไม่เคยเปิดเผยรายงานการจ่ายภาษี แต่สื่อได้ไปล้างข้อมูลมาว่ากิจการที่เขาโพนทะนาว่า เจริญรุ่งเรืองจนได้กำไรมหาศาลนั้น ในด้านการจ่ายภาษีปรากฏเขารายงานว่า กิจการขาดทุนเพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก...จนไม่เคยต้องจ่ายภาษีมาตลอด!!!)
เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่สื่อยักษ์ที่มีภาพลักษณ์เป็นกลาง หรือยืนอยู่บนผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ มาเป็นร้อยปี; ในการเลือกตั้งครั้งนี้พวกเขาชะลอการออกบทบรรณาธิการที่จะฟันธงว่าให้การสนับสนุนใคร จนเกือบนาทีสุดท้ายใกล้วันลงคะแนนเต็มที ก็ออกมาแถลงว่า ปีนี้จะไม่มีบทบรรณาธิการเลือกผู้ใด, เป็นการแหวกม่านประเพณีที่ทำมาเป็น 100 ปี...โดยให้เหตุผลว่า เพราะบทบาทของสื่อมวลชนได้เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม; คือ มีสื่ออย่างโซเชียลมีเดียมาเป็นกระแสหลัก จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกบทบรรณาธิการฟันธงอย่างในอดีต
สองสื่อยักษ์ที่ดึงเอาไว้จนนาทีสุดท้าย และก็ทำเอาคนอ่านตาค้าง นั่นคือ วอชิงตัน โพสต์ และแอลเอไทมส์ และตัวบรรณาธิการของหน้าบทบรรณาธิการได้ประกาศลาออกจากหน้าที่ รวมทั้งผู้อ่านที่บอกรับเป็นสมาชิก ก็ถอนสมาชิกจากแต่ละฉบับเป็นหลายแสนคน
หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ทั้งมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และเจฟฟ์ เบซอส รีบบินไปแสดงความยินดีกับทรัมป์ถึงรีสอร์ตมาร์อาลาโก เพราะรู้ดีว่า ทรัมป์ 2.0 นี้มีเสียงประชาชนสนับสนุนมาก และทั้งคู่ได้เคยวิพากษ์ทรัมป์ 1.0 ไว้มาก เกรงว่าจะเป็นเป้าถูกคิดบัญชีทางการเมือง...ทั้งคู่พร้อมสนับสนุนงานสาบานตนของทรัมป์คนละ 1 ล้านเหรียญ เพื่อคืนดีกับทรัมป์...อีกอย่างหนึ่ง เพราะทั้งคู่กลัวจะอดเป็นคู่สัญญาในบริการต่างๆ กับรัฐบาลทรัมป์ด้วย
ในงานสาบานตนนี้ ภาคธุรกิจไอทีจะลงขันคนละ 1 ล้านเหรียญ ไม่ว่าจะเป็นค่ายไมโครซอฟท์, แอปเปิล, กูเกิล, นายแซม อัลต์แมน จาก ChatGPT
นักการ์ตูนการเมือง (เป็นสุภาพสตรี) ประจำวอชิงตันโพสต์ ได้เขียนการ์ตูนเป็นรูป 3 หนุ่ม ทั้งเจฟฟ์ เบซอส, มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก และแซม อัลต์แมน ยอมนั่งคุกเข่าอยู่แทบเท้าของทรัมป์...ปรากฏว่า ภาพนี้ทางกอง บก.ของวอชิงตันโพสต์ ไม่ยอมลงตีพิมพ์ จนนักการ์ตูนมีชื่อเจ้าของภาพนี้ได้เขียนจดหมายลาออก...และกองบก.ออกมาแถลงว่า “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่ใช่คำสั่งของเบซอส” แต่เพราะพิจารณาเห็นว่า ในฉบับเดียวกันนี้จะมีบทความถึง 2 บทยาวๆ ที่กล่าวถึงผู้นำบริษัทเทคโนโลยีสำคัญๆ (พวก Mag-7) ยอมสยบให้กับทรัมป์…ดังนั้น ถ้ามีรูปภาพในเนื้อหาเดียวกัน ก็เกรงว่าจะหนักเกินไป หรือมองด้านเดียวเกินไป!!!
สำหรับซัคเคอร์เบิร์กนั้น ไปไกลถึงขั้นเปลี่ยนแปลงวิธีแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กคือ ไม่ต้องมีกระบวนการตรวจสอบข้อมูลอีกต่อไป…เขาบอกว่า เป็นการเปิดเสรีในการแสดงความคิดเห็น โดยให้ผู้อ่านเป็นคนตัดสินเองว่า จะเชื่อข้อมูลเหล่านั้นหรือไม่
สมัยทรัมป์ 1.0 ทรัมป์บอกว่า มีความจริงอีกด้านหนึ่งไม่ใช่มีความจริงเพียงหนึ่งเดียว จนในที่สุด เมื่อเขาถูกถอดออกจากสมาชิกทั้งสองแพลตฟอร์ม เขาจึงไปตั้งอันใหม่ของเขาเองชื่อ Truth Social
สำหรับผู้สนับสนุนและใกล้ชิดกับทรัมป์อีกคนคือ นายกฯ เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล รายนี้ทรงอิทธิพลมากต่อเหล่าผู้นำทางการเมืองของสหรัฐฯ เพราะขบวนการล็อบบี้ยิสต์ของอิสราเอล (ภายใต้การนำของเนทันยาฮู) มีเงินมหาศาลสนับสนุนนักการเมืองอเมริกัน และมีอิทธิพลต่อความเป็นอิสระของสื่อยักษ์อเมริกันเช่นกัน
เมื่อสองอาทิตย์ก่อน กลุ่ม Quaker ที่ศรัทธาทางศาสนาได้พยายามซื้อโฆษณาในนิวยอร์กไทมส์ เพื่อขอให้รัฐบาลอเมริกันหยุดส่งอาวุธไปให้นายเนทันยาฮูใช้สังหารชาวปาเลสไตน์แบบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) ปรากฏทางนิวยอร์กไทมส์ ไม่รับโฆษณาชิ้นนี้ โดยบอกว่าให้เปลี่ยนจากคำว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) เป็นคำว่า สงคราม (War) เท่านั้น จึงจะยอมตีพิมพ์โฆษณาเต็มหน้าชิ้นนี้
นี่คือบทพิสูจน์ว่า สื่อยักษ์ที่เคยเป็นอิสระในสหรัฐฯ และเป็นปัจจัยที่บ่งบอกความเป็นประชาธิปไตยของชาติ บัดนี้ได้เกิดอาการเกร็งและหวาดกลัวต่อรังสีอำมหิต จนไม่เหลือความเป็นอิสระอีกต่อไป