ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นที่รับรู้กันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วว่า อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังมีปัญหา ดังจะเห็นได้จากตัวเลขการผลิตที่ลดน้อยลงไปกว่าเดิมเยอะมาก แต่ที่ทำให้สะพรึงหนักไปกว่าเก่าก็คือ ข้อมูลที่ออกมาจากปากของ “ปิติ ดิษยทัต” รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ให้สัมภาษณ์ว่า “จะกระทบถึงแรงงานกว่า 1 ล้านคน”
แม้จะไม่ได้ลงในรายละเอียดว่าจะกระทบในลักษณะไหน แต่ก็พอจะอนุมานไปถึงการจ้างงานที่จะต้องลดลงตามไปด้วยตามกำลังการผลิตที่เกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ดี รองผู้ว่าฯ ปิติได้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก รวมถึงไทย ต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นปัจจัยเฉพาะ อีกทั้งในระยะต่อไปก็มีความท้าทายค่อนข้างมาก ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมี 2 แง่ คือ ในแง่มูลค่าเพิ่มหรือสัดส่วนของจีดีพีคงไม่สูงมากนักในภาพรวม แต่ในแง่ของแรงงานจะผลกระทบมากกว่า เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีการจ้างงานกว่า 1 ล้านคน
“ต้องจับตาดูว่า จะกระทบต่อตัวเลขการจับจ่ายใช้สอยและอำนาจซื้อมากน้อยแค่ไหน ซึ่งถือเป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมๆ หนึ่ง”รองผู้ว่าฯ ธปท.ให้ความเห็น
จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2566 มีสัดส่วน 8.2%ของภาคอุตสาหกรรม และ 2.0% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)และ 15.6% ของมูลค่าการส่งออกรวม ซึ่งก็ไม่ได้กระทบต่อจีพีดีของประเทศเยอะมากอย่างที่ธนาคารแห่งประเทศไทยว่าไว้
ทว่า การกระทบต่อตัวเลขต่อตัวเลขการจับจ่ายใช้สอบและอำนาจซื้อนั้น เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะต้องยอมรับว่า อัตราค่าจ้างของบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์นั้น อยู่ในระดับที่สูงพอสมควร
อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแต่เรื่อง “แรงงาน” เท่านั้น รองผู้ว่าฯ ปิติยังเปิดเผยถึงเรื่องตัวเลขสินเชื่อเช่าซื้อในภาคธุรกิจยายนต์ด้วยว่า ตัวเลขจริงในปี 2567 จะออกมาติดลบ หลังจากตัวเลขในไตรมาสที่ 3/2567 หดตัว -7.7% ขณะที่ในปี 2568 สถานการณ์อาจจะปรับดีขึ้นบ้าง แต่ก็อาจจะขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมยานยนต์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นแค่ไหน ซึ่งมีสัญญาณบางอย่างเริ่มทรงตัว ทั้งราคารถมือสองและยอดขายรถที่เริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ดียังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
สำหรับภาพรวมของปี 2568 ก่อนหน้านี้บรรดากูรูในภาคอุตสาหกรรมนี้ มีการณ์คาดการณ์ว่า แนวโน้มยอดขายรถยนต์ในประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง และต้องติดตามแนวโน้มราคารถยนต์มือสองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะส่งผลต่อทั้งการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินและเงินดาวน์สำหรับซื้อรถใหม่
แม้ว่าผู้ประกอบการบางส่วนคาดว่าราคารถยนต์มือสองจะปรับดีขึ้น เนื่องจากปริมาณรถถูกยึดเข้าลานประมูลน้อยลงในช่วงปลายปี 2567 แต่ยังมีปัจจัยที่ไม่แน่นอน อาทิ การแข่งขันด้านราคาของรถยนต์ EV ที่อาจรุนแรงขึ้น และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2568
ที่น่าสนใจคือ มีการคาดการณ์ว่าปี 2568 ยอดขาย รถกระบะ จะฟื้นตัวได้ช้ากว่า รถยนต์นั่ง เนื่องจากรายได้ของผู้ซื้อรถกระบะจะยังฟื้นตัวช้า อีกทั้งความต้องการลงทุนซื้อรถกระบะในธุรกิจก่อสร้างน่าจะยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากงานก่อสร้างที่อยู่อาศัยชะลอตัว แม้จะมีปัจจัยบวกจากปริมาณงานก่อสร้างโครงการภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดขายรถยนต์นั่งมีโอกาสขยายตัวได้จากความนิยมรถยนต์ไฮบริด (Hybrid) ที่มากขึ้น และกลุ่มลูกค้าหลักยังคงมีกาลังซื้อค่อนข้างสูง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2568 ยังคงต้องเหนื่อย และคิดว่าจะยังอยู่ในสภาวะที่ขาลง โดยมี 2 ปัจจัย คือ
1. รัฐบาลต้องแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งส่งผลกระทบต่อการที่สถาบันทางการเงินไม่ยอมปล่อยกู้ ดังนั้น ภาครัฐจะต้องเร่งขับเคลื่อนเพื่อทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว สิ่งเหล่านี้ถือเป็นหัวใจ
2. ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีราคาไม่แพงและรูปโฉมดีไซน์ที่ดีและมีทางเลือกหลายแบรนด์ราคาถูกประหยัด อีกทั้ง ดวยเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมต่างให้ความสำคัญต่อนโยบายลดโลกร้อน จึงนิยมใช้รถ EV และรถสาธารณะ
“อุตสาหกรรมยานยนต์ยังเป็นช่วงปีที่หนัก ซึ่งภาครัฐได้สนับสนุนรถยนต์ไฮบริดมากขึ้น ซึ่งจะช่วยประคับประคองรักษาฐานการผลิตไม่ให้ทรุดเร็วกว่าที่เป็น ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้หารือกับประธาน Toyota เมื่อช่วงกลางเดือนธันวาตคม 2567 ที่ผ่านมาเพื่อสนับสนุนประคองรถไฮบริดไม่ให้ทรุดเร็วและเป็นการรักษาการจ้างงาน”ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ความเห็น
ด้าน “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาดว่า ในปี 2568 คาดยอดขายรถยนต์ในประเทศมีแนวโน้มหดตัว 5.4% เหลือ 5.3 แสนคัน ต่อเนื่องจากปี 2567 ที่หดตัว 27.8% หลังกำลังซื้อหดหายและหนี้เสียรถยนต์ยังสะสมในระดับสูง
กลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์คาดเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยอาจหดตัว 6.8% ต่อเนื่องจากปี 2567 ที่คาดว่าจะหดตัวสูงถึง 38.4% นำโดยปิกอัพ ที่มีส่วนแบ่งถึง 85% ของยอดขายรถเพื่อการพาณิชย์รวม เนื่องจากผู้ซื้อเป็นกลุ่มที่มีรายรับไม่แน่นอน จึงส่งผลต่อการขออนุมัติสินเชื่อค่อนข้างมาก ซึ่งนั่นบ่งชี้ถึงโอกาสที่กลุ่มดีลเลอร์ที่เน้นจำหน่ายรถเพื่อการพาณิชย์ โดยเฉพาะปิกอัพ มีโอกาสเสียรายได้จากการขายมากกว่ากลุ่มอื่น
กลุ่มรถยนต์นั่งหดตัวน้อยกว่ารถเพื่อการพาณิชย์ที่ 4.4% ในปี 2568 สาเหตุจากยอดขายรถยนต์นั่ง ICE ที่คาดว่าจะปรับลดลงค่อนข้างมาก แม้จะมียอดขายของกลุ่มรถยนต์นั่ง xEV ที่ขยายตัวขึ้นมาช่วยพยุง จนทำให้ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์นั่ง xEV ขยับขึ้นมาสู่ระดับ 73% ของยอดขายรวมก็ตาม (รูปที่ 5) โดยรถยนต์นั่งกลุ่ม xEV ที่ขยายตัวสูงสุด คือ รถยนต์นั่ง HEV ตามด้วยรถยนต์นั่ง PHEV ส่วนรถยนต์นั่ง BEV แม้จะเติบโตเช่นกันแต่ในอัตราที่น้อยกว่าที่ 2.9% เนื่องจากแม้การแข่งขันด้านราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ยังมีประเด็นกังวลด้านการใช้งาน ราคาขายต่อมือสอง และสถานีชาร์จไฟฟ้าอยู่
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มรถยนต์นั่ง BEV ที่เป็นรถหรู พบมีโอกาสที่จะเติบโต 3.8% ในปี 2568 ซึ่งสูงกว่าตลาดรถยนต์นั่ง BEV โดยรวม (รูปที่ 6) จากการแข่งขันราคาที่เพิ่มขึ้น ผนวกกับผู้ซื้อเป็นกลุ่มรายได้มั่นคง จึงไม่ถูกกระทบจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเหมือน BEV ราคาต่ำกว่า
...เมื่อมีการวิเคราะห์ออกมาในลักษณะนี้ ผู้คนในอุตสาหกรรมยานยนต์คงต้องลุ้นระทึก พร้อมกับวางแผนรับมือหนักเพื่อกระตุ้นยอดขายและกำลังซื้อ ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมด้วยขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยว่าจะฟื้นหรือไม่ฟื้น ถ้าฟื้นจะฟื้นสักกี่มากน้อย และฟื้นพอที่จะทำให้สถาบันการเงินผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อมากกว่าปี 2567 ที่ผ่านมาหรือไม่ อย่างไร.