ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ที่ผ่านมาผมได้เล่าถึงหญิงจีนที่ถูกล่อลวงมาค้าประเวณีในไทยอยู่เป็นช่วงๆ ต่อไปนี้จะได้เล่าถึงชะตากรรมของหญิงจีนอีกบางคนที่เห็นว่าน่าสนใจ โดยจะใช้ชื่อสมมติในแต่ละกรณี และขอเริ่มจากกรณีแรกที่ผมเคยเล่าไปครั้งหนึ่งแล้วว่า มีอยู่รายหนึ่งที่ถูกพวกค้ามนุษย์พาไปไกลถึงเบตงนั้น รายนี้ขอเรียกเธอว่า น้องเอ
น้องเอถูกพบในขณะที่นอนไม่ได้สติอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลเบตง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะน้องเอถูกพวกค้ามนุษย์นำมาทิ้งเมื่อพบว่าน้องเอมีไข้ขึ้นสูง และด้วยพิษไข้น้องเอจึงสลบไสลไม่ได้สติ แต่พวกค้ามนุษย์ไม่มีปัญญาที่จะรักษา หรือถ้าขืนรักษานำมาส่งให้โรงพยาบาลความก็จะแตก พวกค้ามนุษย์จึงนำน้องเอมาทิ้งที่หน้าโรงพยาบาล โดยปล่อยให้ไปตายเอาดาบหน้าด้วยเห็นว่าเธอหมดประโยชน์ไปแล้ว
น้องเอจึงโชคดีท่ามกลางความโชคร้าย เพราะเมื่อที่คนมาพบน้องเอและพบว่ามีไข้สูง น้องเอจึงถูกนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลทันที จนเมื่อหายดีแล้วจึงค่อยๆ ไล่เรียงสอบความ และพอรู้ว่าน้องเอคือหญิงจีนที่ถูกล่อลวงมาขายตัว ทางโรงพยาบาลจึงติดต่อหาที่พำนักให้เธอ
แต่ด้วยเหตุที่ทางโรงพยาบาลทราบว่าทางศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กเคยให้ความช่วยเหลือด้านนี้ จึงได้ติดต่อมาที่ศูนย์ฯ โดยตรง น้องเอจึงถูกส่งตัวขึ้นมาที่ศูนย์ฯ ที่กรุงเทพฯ ด้วยเหตุนี้ และทำให้เรารู้ว่า พวกค้ามนุษย์พวกนี้มีขบวนการที่กว้างไกลมาก คือไกลถึงเบตงที่อยู่ใต้สุดของแดนสยาม และเป็นไปได้ที่อาจมีปลายทางอยู่ที่มาเลเซีย
หากน้องเอไม่ป่วยหนักจนถูกนำมาทิ้งแล้ว ก็ไม่แน่ว่าชะตากรรมของเธอจะจบลงเช่นใด
กรณีถัดมาคือ น้องบี กรณีนี้น่าสนใจตรงที่น้องบีไม่เพียงไม่ใช่หญิงรูปงามเท่านั้น หากยังมีอายุยี่สิบปลายๆ อีกด้วย ซึ่งถือว่ามากสำหรับพวกค้ามนุษย์ ส่วนที่ว่าไม่ใช่หญิงรูปงามก็เพราะน้องบีมีร่างที่อ้วนเทอะทะ แถมหน้าตายังขี้ริ้วขี้เหร่อีกด้วย กรณีน้องบีนี้ทำให้เห็นว่า พวกค้ามนุษย์พวกนี้ล่อลวงแบบเหวี่ยงแหกวาดต้อนโดยไม่แยกแยะรูปร่างหน้าตา หรือแม้กระทั่งวัยของหญิงจีน
อาชญากรพวกนี้คิดเพียงว่า ขอให้ขึ้นชื่อว่าเป็น “หญิงจีน” ก็สามารถจูงใจนักเที่ยวได้แล้ว
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เวลานั้นจีนเพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นาน และได้ผ่อนปรนข้อจำกัดต่างๆ ในการเดินทางออกนอกประเทศของประชาชนของตนลงไปมาก อะไรที่มาจากจีนจึงอยู่ในความสนใจของชาวต่างชาติเสมอ และ “หญิงจีน” ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่ว่าเป็นตัวอย่างในเชิงลบ ไม่ใช่เชิงบวก ด้วยถูกสนใจเสมือนสินค้าที่ซื้อขายกันท้องตลาด
จากเหตุนี้ พวกค้ามนุษย์จึงล่อลวงเอาน้องบีมาโดยไม่สนใจเรื่องรูปร่างหน้าตา และโดยหวังว่าที่น้องบีเป็น “หญิงจีน” นั้นจะทำให้น้องบีเป็นที่สนใจของนักเที่ยวแล้วจะทำให้ “ขายได้”
แต่ด้วยวัยที่มากและความขี้เหร่ของน้องบีก็ให้ปรากฏว่า นักเที่ยวที่มาเที่ยวซ่องในกรุงเทพฯ ไม่มีใครเลือกน้องบีไปร่วมหลับนอนแม้แต่คนเดียว พอเวลาผ่านไประยะหนึ่งจนพ่อเล้าในซ่องแน่ใจแล้วว่าน้องบีไม่สร้างเงินให้กับตน พ่อเล้าจึงส่งน้องบีไปเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านขายก๋วยเตี๋ยวราดหน้าใกล้ซ่อง
จนในวันที่ตำรวจบุกเข้าทลายซ่องที่ว่านั้น น้องบีจึงได้รับความช่วยเหลือพร้อมกับหญิงจีนคนอื่นที่อยู่ในซ่องไปด้วย น้องบีจึงรอดพ้นจากการขายตัวเพราะความขี้เหร่ของตัวเอง และตอนที่ผมรับรู้เรื่องนี้จากน้องบีนั้น น้องบีบอกว่า เธอโชคดีที่ขี้เหร่
มีประเด็นหนึ่งที่ผมขอขยายความเพิ่มเติมในที่นี้ด้วยก็คือว่า ที่ผมบอกว่า “หญิงจีน” เป็นที่สนใจของต่างชาติเชิงลบเชิงบวกนั้น ในกรณีเชิงลบก็คือกรณีน้องบี แต่เชิงบวกนั้นผมหมายถึงว่า เมื่อจีนเปิดประเทศแล้วก็ได้ทำให้ชาวต่างชาติรู้จักหญิงจีนง่ายขึ้น พอได้รู้จักกันก็ได้แต่งงานกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีของสิ่งที่เรียกว่า “รักไม่มีพรมแดน”
แต่การที่ชาวต่างชาติแต่งงานกับหญิงจีนหรือชายจีนแต่งงานกับชาวต่างชาตินั้น ยังมีประเด็นที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน ไว้ผมจะได้นำมาบอกเล่าในโอกาสต่อไป
กรณีต่อไปคือ น้องซี ที่ถูกช่วยออกจากซ่องที่พัทยา น้องซีเป็นกรณีที่โชคร้ายเอามากๆ เพราะเพียงไม่นานที่อยู่ในซ่องน้องซีก็ติดโรคเอดส์ ตอนที่รู้ว่าติดโรคร้ายนั้นทางศูนย์ฯ ก็ตกใจไม่น้อย และเมื่อน้องซีต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเพื่อนหญิงจีนคนอื่นๆ การปฏิบัติต่อตัวน้องซีจึงเป็นอะไรมีอ่อนไหวไม่น้อย
ตอนนั้นโรคเอดส์ยังเป็นเรื่องใหม่ของชาวโลก มีการรณรงค์ให้มีการป้องกันโรคเอดส์กันทั่วโลกรวมทั้งในไทย และทำให้เราต้องเรียนรู้โรคนี้ไปด้วย แน่นอนว่า กรณีน้องซีนั้นไม่เพียงเราจะปกปิดไม่ให้เธอรู้เรื่องนี้เท่านั้น หากหญิงจีนคนอื่นๆ เราก็ไม่ให้รู้ ด้วยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก เพราะในด้านหนึ่งหญิงจีนยังไม่รู้จักรู้โรคนี้ และหากอธิบายให้รู้แล้วเกิดแตกตื่นขึ้นมาก็จะมีปัญหา
อีกด้านหนึ่งก็ต้องเฝ้าระวังการใช้ชีวิตร่วมกันในบ้านหลังเดียวกัน นอนห้องเดียวกัน ใช้ห้องน้ำห้องเดียวกัน ฯลฯ อะไรก็ตามที่จะทำเกิดการติดต่อของโรค (โดยผ่านกระแสเลือด) จะถูกเฝ้าระวังค่อนข้างสูง แต่ในขณะเดียวกัน การเฝ้าระวังก็จะต้องไม่ให้เกิดข้อพิรุธไปด้วย
และเมื่อติดต่อกับทางจีนเพื่อจะส่งตัวน้องซีกลับบ้านเกิดที่เมืองจีนแล้ว ทางเราก็ต้องแจ้งให้ทางจีนทราบเรื่องนี้ด้วย เพื่อที่ทางจีนจะได้หาวิธีป้องกันต่อไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม น้องซีก็ได้กลับไปยังบ้านเกิดของเธอในที่สุด และแล้ววันหนึ่งพวกเราก็ได้ไปเยี่ยมน้องซีถึงที่บ้านของเธอเอง บ้านของน้องซีตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ฝ่ายจีนที่พาเราไปต้องจอดรถไว้ที่เชิงเขาแล้วพาพวกเราเดินขึ้นไป เราใช้เวลาเดินขึ้นนานนับสิบนาทีจึงถึงบ้านของน้องซี แม้จะเป็นเวลาที่ไม่นานและอุณหภูมิก็สูงกว่า 20 องศาเล็กน้อย แต่ก็ทำเอาพวกเราเหงื่อตกและหอบไปตามๆ กัน
บ้านของน้องซีเป็นเรือนยกพื้นมีใต้ถุนเหมือนกับบ้านเรือนในชนบทไทย พวกเราพากันขึ้นไปบนเรือนโดยมีน้องซีมาต้อนรับ น้องซีดีใจที่พวกเรามาเยี่ยม และคอยต้อนรับขับสู้พวกเราเป็นอย่างดี พ่อแม่พี่น้องของน้องซีก็เช่นกัน
ตอนที่ผมเห็นน้องซีนั้น แม้จะดีใจแต่ก็ดีใจแบบหน้าชื่นอกตรม ด้วยน้องซีดูซูบซีดและอิดโรยลงไปมากกว่าตอนอยู่เมืองไทย หน้าตาจึงดูหมองคล้ำ และน้องซียังคงไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคเอดส์ แต่ทางฝ่ายจีนได้พูดคุยกับคนในบ้านของน้องซีเรียบร้อยแล้วก่อนที่น้องซีจะกลับถึงบ้านแล้ว และก่อนที่เราจะไปเยี่ยมน้องซีนั้น ฝ่ายจีนก็ได้แจ้งให้เราทราบว่า น้องซีจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน
เราพกเอาความรู้สึกเช่นนั้นไปพบน้องซี แต่ก็ต้องยิ้มระรื่นไม่ให้น้องซีรู้ว่าเราสงสารน้องมากแค่ไหน ส่วนน้องซีก็มีน้ำจิตน้ำใจดีแท้ ด้วยพอเห็นพี่ๆ มาเยี่ยมก็พยายามต้อนรับขับสู้ให้ดีที่สุด ทั้งๆ ที่ไม่มีกำลังวังชามากนัก
สำหรับผมแล้วสิ่งที่ทำยากมากก็คือ การกลั้นความรู้สึกเอาไว้ด้วยการยิ้มดีใจที่ได้เจอและพูดคุยกับน้องซีอีกครั้ง และเพื่อให้น้องซีรู้สึกว่าเราปกติ มีอยู่ตอนหนึ่งผมได้ถ่ายรูปคู่กับน้องซี ตอนถ่ายผมใช้มือข้างหนึ่งโอบไหล่น้องซีเอาไว้เหมือนพี่ชายถ่ายคู่กับน้องสาว
นั่นดูเหมือนจะเป็นความทรงจำสุดท้ายของผมที่มีต่อน้องซี วันนั้นนอกจากจะได้พูดคุยถามทุกข์สุขและถ่ายรูปร่วมกันแล้ว ทางบ้านของน้องซียังได้เลี้ยงอาหารมื้อเที่ยงอีกด้วย อาหารมื้อนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่มื้อที่มิใช่อาหารจีน แต่เป็นอาหารของชนชาติส่วนน้อย หลังจากนั้นเราก็ล่ำลากัน
หลังจากที่กลับมาถึงเมืองไทยได้ไม่นานทางจีนก็แจ้งมาว่า น้องซีได้เสียชีวิตแล้ว