xs
xsm
sm
md
lg

เส้นทางอำนาจของทรัมป์และความกังวลของผู้คน / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


โดนัลด์ ทรัมป์
"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลและสร้างความขัดแย้งสูงในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐอเมริกายุคปัจจุบัน เขาก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองในฐานะตัวแทนที่ไม่ธรรมดาของพรรครีพับลิกัน และสร้างกระแสความนิยมทั้งในระดับชาติและนานาชาติ โดยเขาได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี 2016 และครั้งที่สองในปี 2024 ซึ่งทั้งสองครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของเขาในหมู่ประชาชน และการสื่อสารนโยบายที่ตรงกับความต้องการของผู้สนับสนุน

โดนัลด์ ทรัมป์ เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงในนิวยอร์กซิตี้ เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เขาได้สร้างอาณาจักรธุรกิจขึ้นมาอย่างมหาศาล และมีชื่อเสียงโด่งดังจากรายการเรียลลิตี้โชว์ที่ชื่อ  The Apprentice

ในปี 2015 ทรัมป์ได้ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในฐานะตัวแทนของพรรครีพับลิกัน เขาใช้แนวทางปฏิเสธการเมืองแบบเดิมและนำเสนอตัวเองในฐานะ  “เสียงของคนส่วนใหญ่” ระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ได้ใช้วาทศิลป์ที่ดุเดือดและแบ่งขั้วเพื่อดึงดูดผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งรวมถึงนโยบายการจำกัดการตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ การยกเลิกข้อตกลงการค้าที่มีอยู่ และการสร้างกำแพงตามแนวชายแดนเม็กซิโก

ในที่สุด ทรัมป์ก็ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016 แม้ว่าจะแพ้  ฮิลลารี คลินตันในคะแนนของประชาชนทั่วประเทศ (Popular Vote) แต่เขาก็สามารถชนะคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ได้ ซึ่งนับเป็นการพลิกโผอย่างน่าประหลาดใจ

ในช่วงเป็นประธานาธิบดี นโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การลดภาษี การจำกัดการย้ายถิ่นฐาน การทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้าหลัก และการถอนตัวจากข้อตกลงพหุภาคีที่สำคัญ ทรัมป์ถูกวิจารณ์อย่างหนักหน่วงในหลายเรื่อง เช่น วิธีการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 การต่อต้านการเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และความพยายามที่จะโต้แย้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 ทั้งที่แพ้การเลือกตั้งไปอย่างชัดเจน

หลังการพ่ายแพ้ต่อโจ ไบเดนในปี 2020 หลายคนเชื่อว่าทรัมป์จะยอมวางมือจากการเมือง แต่พวกเขาคิดผิด ทรัมป์ไม่ได้หายไปจากสายตาประชาชน เขาเริ่มต้นเส้นทางแห่งการ  “ต่อสู้เพื่อคืนความยิ่งใหญ่ให้อเมริกา” อีกครั้ง (Make America Great Again) ด้วยพลังที่ไม่เคยลดลง

ในระหว่างปี 2021–2023 ทรัมป์ใช้เวลาสร้างเครือข่ายสนับสนุนของเขาให้แข็งแกร่งขึ้น เขาจัดงานชุมนุมครั้งแล้วครั้งเล่าในรัฐสำคัญ ๆ ที่เคยสนับสนุนเขา และเปิดตัวแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเอง  “Truth Social” เพื่อสื่อสารโดยตรงกับฐานเสียงของเขาโดยไม่ต้องพึ่งพาสื่อที่เขาเรียกว่า  “ข่าวปลอม” (Fake News)

ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะแถลงข่าวสื่อมวลชนที่รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโก ของเขา ในรัฐฟลอริดา เมื่อวันอังคาร (7 ม.ค.) พร้อมประกาศ ข่มขู่ใช้กำลังทหารเข้ายึดคลองปานามาและเกาะกรีนแลนด์ รวมถึงการผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา

ทรัมป์ แชร์แผนที่สหรัฐอเมริกา เมื่อผนวกแคนาดาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน

ทรัมป์ขณะกำลังหาเสียงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
สิ่งสำคัญคือเขายังคงเป็นที่ชื่นชอบของฐานเสียงอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงานในชนบท คนเหล่านี้มองว่าทรัมป์เป็นตัวแทนที่กล้าหาญของพวกเขา เสียงสะท้อนของคนธรรมดาที่ไม่เคยมีใครได้ยินในรัฐบาลเดิม

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 เป็นวันที่ชาวอเมริกันทั่วประเทศต่างออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความคาดหวังและความตึงเครียด คู่แข่งขันจากพรรครีพับริกัน (โดนัลด์ ทรัมป์) และพรรคเดโมแครต (กมลา แฮร์ริส ) ต่างมั่นใจในชัยชนะของตนเอง ผลสำรวจความคิดเห็นก่อนวันเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่า การแข่งขันครั้งนี้จะเป็นหนึ่งในครั้งที่สูสีที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ

ทว่า เมื่อผลการนับคะแนนเริ่มทยอยออกมา ทรัมป์สามารถกวาดคะแนนเสียงจากรัฐสมรภูมิสำคัญ (swing states) เช่น ฟลอริดา โอไฮโอ และเพนซิลเวเนีย ได้อย่างขาดลอย ฐานเสียงดั้งเดิมของเขาในรัฐทางตอนใต้และมิดเวสต์ยังคงยืนหยัดสนับสนุนเขาอย่างเหนียวแน่น ขณะที่กลุ่มชนชั้นกลางในเมืองเล็ก ๆ ก็หันกลับมาเลือกทรัมป์เพราะไม่พอใจกับนโยบายรัฐบาลเดโมแครต

ในที่สุด เมื่อการนับคะแนนเสร็จสิ้น ทรัมป์ได้รับชัยชนะอย่างชัดเจนในคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง และก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง

การกลับมาสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2025ไม่เพียงแต่สร้างความยินดีแก่ผู้สนับสนุนที่มองว่าเขาคือ “ผู้นำที่แท้จริง” แต่ยังจุดกระแสความกังวลในหมู่ชาวอเมริกันและประชาคมระหว่างประเทศเกี่ยวกับอนาคตของสหรัฐฯ ในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความกังวลเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากแนวทางการบริหารประเทศในสมัยแรกของทรัมป์ รวมถึงบุคลิกและวิธีการบริหารของเขาที่มักไม่เหมือนใครและขัดต่อรูปแบบการบริหารประเทศตามธรรมเนียมปฏิบัติ

ความกังวลหลักที่สำคัญมีห้าประการด้วยกัน

 ประการแรก ความกังวลด้านความแตกแยกในสังคม การบริหารของทรัมป์ในสมัยแรก (2017–2021) เป็นที่รู้จักในฐานะช่วงเวลาที่ความแตกแยกทางการเมืองและสังคมในสหรัฐฯ รุนแรงขึ้น เขามักใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและการสื่อสารที่เน้นความขัดแย้ง เช่น การโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างเปิดเผยผ่านโซเชียลมีเดียหรือการกล่าวปราศรัย

สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า การกลับมาของเขาจะทำให้ความแตกแยกในสังคมเพิ่มมากขึ้นอีกหรือไม่ เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่า ทรัมป์จะทำให้  “ความตึงเครียดทางเชื้อชาติ” เข้มข้นมากขึ้น เพราะเขาไม่สนใจและละเลยปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ประเด็นเหล่านี้ถูกละเลยอีกครั้ง และทำให้ความตึงเครียดระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น

อีกทั้งยังทำให้ “การเมืองแบบขั้วตรงข้าม” ฝังลึกลงในระบบการเมืองของสหรัฐฯ เพราะการบริหารของทรัมป์มักเน้นการตอบสนองต่อฐานเสียงของเขาโดยตรง ซึ่งเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนนโยบายแบบสุดขั้ว สิ่งนี้จะทำให้เกิดการเมืองแบบขั้วตรงข้ามที่รุนแรงขึ้น และลดโอกาสในการสร้างความร่วมมือระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต

 ประการที่สอง ความกังวลด้านประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม  ในสมัยแรกของทรัมป์ เขามักถูกวิจารณ์ถึงการตั้งคำถามต่อระบบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม เช่น การแสดงความไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งปี 2020 ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์การจลาจลที่อาคารรัฐสภา (Capitol Riots) ในวันที่ 6 มกราคม 2021

การกระทำเหล่านี้สร้างความวิตกกังวลว่า การกลับมาของเขาในปี 2024 อาจทำให้สหรัฐฯ เผชิญกับความท้าทายต่อระบบประชาธิปไตยอีกครั้ง โดยเฉพาะ “การแทรกแซงระบบการเลือกตั้ง” ซึ่งทรัมป์อาจพยายามปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์หรือโครงสร้างของระบบการเลือกตั้งเพื่อปกป้องอำนาจของเขา และ “การใช้อำนาจเกินขอบเขต” ซึ่งทรัมป์มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้อำนาจประธานาธิบดีเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น การกดดันเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือหน่วยงานรัฐบาล หลายฝ่ายเกรงว่าการกลับมาของเขาอาจทำให้พฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นอีกครั้ง

 ประการที่สาม ความกังวลด้านนโยบายต่างประเทศ   โดนัลด์ ทรัมป์มีแนวทางนโยบายต่างประเทศที่แตกต่างจากประธานาธิบดีคนอื่น ๆ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่อง “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ซึ่งให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นอันดับแรก แม้ว่าผู้สนับสนุนของเขาจะมองว่านี่คือการปกป้องอธิปไตยของชาติ แต่ในสายตาของนักการทูตและพันธมิตรระหว่างประเทศ มันกลับสร้างความเสียหายต่อความร่วมมือและความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ บนเวทีโลก

นโยบายต่างประเทศของทรัมป์มีลักษณะเด่นสามอย่างด้วยกัน


 ประเด็นแรก การลดบทบาทในเวทีระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ทรัมป์เคยถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ เช่น ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน การกลับมาของเขาอาจนำไปสู่การตัดสินใจถอนตัวเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้บทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำโลกถูกลดทอน


 ประเด็นที่สอง ความสัมพันธ์กับพันธมิตร ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรสำคัญ เช่น NATO เคยตึงเครียดในสมัยแรกของทรัมป์ เพราะเขาเรียกร้องให้พันธมิตรจ่ายเงินสนับสนุนทางทหารมากขึ้น หลายฝ่ายกลัวว่าการกลับมาของเขาอาจทำให้ความสัมพันธ์เหล่านี้แย่ลง

 ประเด็นที่สาม ความขัดแย้งกับจีนและรัสเซีย แม้ว่าทรัมป์จะมีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนในเรื่องการค้า แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับรัสเซีย การกลับมาของทรัมป์อาจทำให้เกิดความไม่สมดุลในนโยบายต่างประเทศ

 ประการที่สี่ ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน ทรัมป์เคยแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และคัดค้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การถอนตัวจากข้อตกลงปารีส นักสิ่งแวดล้อมกังวลว่าการกลับมาของเขาในปี 2024 อาจทำให้สหรัฐฯ ถอยหลังในเรื่องการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การที่มีนโยบายพลังงานที่เน้นการใช้ทรัพยากรในประเทศของทรัมป์อาจลดความสำคัญของการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน

และที่สำคัญคือ  “การละเลยประเด็นโลกร้อน” ซึ่งทำให้ความพยายามระดับโลกในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขาดการมีส่วนร่วมของผู้เล่นที่สำคัญอย่างสหรัฐฯ

 ประการที่ห้า ความกังวลต่อการปกครองแบบ “ทรัมป์นิยม” ทรัมป์ถูกมองว่าเป็นผู้นำที่แตกต่างจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนอื่น ๆ เขามักใช้ถ้อยคำรุนแรงและแสดงความไม่พอใจต่อระบบการเมืองดั้งเดิม เขาได้สร้าง  “ลัทธิทรัมป์นิยม”(Trumpism) ขึ้นมา ซึ่งคือการเน้นความนิยมส่วนบุคคลและการบริหารในลักษณ  “ประชานิยม” (Populist) ซึ่งเน้นไปที่การตอบสนองต่ออารมณ์และความต้องการของกลุ่มฐานเสียงเฉพาะกลุ่ม เช่น ชนชั้นแรงงานในชนบทหรือผู้มีความคิดอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว สิ่งนี้อาจทำให้เกิดการละเลยต่อประชาชนในกลุ่มอื่น ๆ ที่มีความเห็นต่าง และสร้างสภาวะความแตกแยกในสังคมมากยิ่งขึ้น ลักษณะเด่นของระบอบทรัมป์นิยมมีดังนี้

 1 การเน้นตัวตนของผู้นำมากกว่าระบบ หนึ่งในคุณสมบัติของทรัมป์นิยมคือการสร้างภาพลักษณ์ของ “ผู้นำที่กล้าหาญ” ที่สามารถทลายข้อจำกัดของระบบการเมืองที่ซับซ้อนและขัดขวางการพัฒนาประเทศ ทรัมป์มักเสนอแนวคิดว่าเขาสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโครงสร้างของรัฐบาลหรือคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ สิ่งนี้สร้างความกังวลว่าอำนาจอาจกระจุกตัวอยู่ในมือของผู้นำมากเกินไป และอาจทำให้เกิดการลดบทบาทของสถาบันที่สำคัญ เช่น ศาลยุติธรรม สภาคองเกรส หรือหน่วยงานตรวจสอบความโปร่งใส

 2. การใช้ถ้อยคำรุนแรงและสร้างความขัดแย้ง ทรัมป์นิยมมักใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและการสร้างศัตรูในทางการเมือง ทรัมป์มักโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง สื่อมวลชน และแม้แต่เจ้าหน้าที่ภายในรัฐบาลของเขาเองด้วยถ้อยคำที่กระตุ้นอารมณ์และก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม การกระทำที่สร้างความขัดแย้งในลักษณะนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ และทำให้ความสามารถของรัฐบาลในการทำงานร่วมกันลดลง


 3. การละเลยหลักนิติธรรม ทรัมป์มักถูกวิจารณ์ว่าแสดงพฤติกรรมที่ดูเหมือนละเลยต่อหลักนิติธรรมและกฎหมายที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น การแสดงความไม่ยอมรับต่อผลการเลือกตั้งปี 2020 และการสนับสนุนข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐานว่ามีการโกงการเลือกตั้ง สิ่งนี้สร้างความกังวลว่าทรัมป์อาจใช้ตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อขยายอำนาจของเขาเอง หรือทำให้ระบบการเลือกตั้งและประชาธิปไตยของสหรัฐฯ อ่อนแอลง

 4. การสร้างแบบอย่างที่อันตรายต่อผู้นำในอนาค การบริหารประเทศในสไตล์ของทรัมป์ ซึ่งมุ่งเน้นการปลุกเร้าอารมณ์ประชาชน การลดความสำคัญของการบริหารแบบรวมศูนย์ และการยึดถือความนิยมส่วนตัวเป็นหัวใจ อาจสร้างแบบอย่างให้ผู้นำในอนาคตเลือกใช้วิธีการที่คล้ายกันเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง สิ่งนี้อาจนำไปสู่การลดทอนความมั่นคงและความสมดุลของโครงสร้างการบริหารประเทศสหรัฐฯในระยะยาว

 กล่าวโดยสรุป การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2025 นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความขัดแย้งทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ผู้สนับสนุนของเขาเชื่อว่าทรัมป์คือผู้นำที่จะแก้ไขปัญหาของอเมริกาได้ แต่ในขณะเดียวกัน ความกังวลเกี่ยวกับการบริหารของเขายังคงหลอกหลอนทั้งสหรัฐฯ และประชาคมโลก สิ่งสำคัญคือ การกลับมาของเขาอาจไม่ใช่เพียงการต่อสู้ทางการเมือง แต่เป็นการท้าทายความเชื่อและคุณค่าพื้นฐานของประชาธิปไตยสหรัฐฯ และการจัดระเบียบโลก


กำลังโหลดความคิดเห็น