"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
การสำรวจคะแนนนิยมรายไตรมาสของนิด้าโพลครั้งที่ 4 ปลายเดือนธันวาคม 2567 มีความน่าสนใจหลายประการทั้งในแง่ผู้นำการเมือง คะแนนนิยมของหัวหน้าพรรคการเมืองเพิ่มขึ้นสามคนคือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และลดลงหนึ่งคนคือ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร
ทำไมคะแนนนิยมของสามผู้นำเพิ่มขึ้น แต่ คะแนนนิยม น.ส. แพทองธารลดลง ทั้งที่ได้รับแรงหนุนสุดตัวจากนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อ เป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์อย่างยิ่ง
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงการสำรวจครั้งที่ 4/2567 โดยเพิ่มจาก 22.90%ในครั้งที่ 3/2567 เป็น 29.85%ในครั้งที่ 4/2567 ส่งผลให้นายณัฐพงษ์มีคะแนนนิยมมากที่สุดในบรรดาผู้นำทางการเมืองในปัจจุบัน สำหรับปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของคะแนนนิยม ได้แก่
1. การสานต่ออุดมการณ์และแนวคิดที่สอดคล้องกับคนรุ่นใหม่ นายณัฐพงษ์ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ โดยเน้นการสานต่ออุดมการณ์ของพรรคประชาชนที่ชัดเจนและตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในยุคปัจจุบัน เช่น ความโปร่งใสในกระบวนการทางการเมืองและการปรับปรุงนโยบายเพื่อคนรุ่นใหม่ ความชัดเจนนี้อาจช่วยดึงดูดกลุ่มประชากรอายุน้อยหรือกลุ่มที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รวดเร็วและชัดเจน
2. บทบาทการสื่อสารและภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง การสื่อสารเชิงนโยบายผ่านสื่อหรือกิจกรรมทางการเมืองที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อาจมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความนิยม โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่น ภาพลักษณ์ของนายณัฐพงษ์ที่มุ่งมั่นและเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้สนับสนุนที่ต้องการผู้นำที่แสดงออกถึงความจริงใจและความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่
3. การแสดงบทบาทในประเด็นสำคัญ นายณัฐพงษ์มีส่วนร่วมในประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจ เช่น บทบาทในการหาเสียงในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด การปฏิรูปทางการเมือง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หรือการส่งเสริมนโยบายสวัสดิการที่ครอบคลุม อาจเป็นแกปัจจัยที่ส่งผลให้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น การแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในประเด็นเหล่านี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำที่ประชาชนไว้วางใจและเชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้
4. ข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบกับคู่แข่ง คะแนนของ น.ส. แพทองธาร ลดลงในไตรมาส 4 จาก 31.35% เหลือ 28.80% ขณะที่คะแนนของนายณัฐพงษ์เพิ่มขึ้น อาจเป็นผลมาจากการเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดระหว่างความสดใหม่และนโยบายที่เข้าถึงได้ของนายณัฐพงษ์ กับภาพลักษณ์แบบดั้งเดิมของคู่แข่งบางคน ขณะเดียวกัน คะแนนนิยมของผู้ที่ “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” ก็ลดลงจาก 23.50% เหลือ 14.40% ซึ่งแสดงว่าประชาชนที่ลังเลในไตรมาสก่อนหน้าอาจหันมาสนับสนุนนายณัฐพงษ์ในไตรมาสนี้
5. การทำงานของพรรคประชาชน พรรคประชาชนเองก็มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จนี้ คะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้นจาก 34.25% ในไตรมาส 3 เป็น 37.30% ในไตรมาส 4 ซึ่งสะท้อนว่าพรรคมีฐานสนับสนุนที่เพิ่มขึ้น อันอาจส่งผลให้คะแนนนิยมของนายณัฐพงษ์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย นโยบายของพรรคที่สอดคล้องกับแนวทางที่ประชาชนต้องการ รวมถึงการทำงานที่มีความโปร่งใสและจริงจัง อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ
6. สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ บริบททางการเมืองหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2567 อาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของประชาชน เช่น ความไม่พอใจในรัฐบาลปัจจุบันหรือการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เด่นชัดขึ้น
สำหรับ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลุดจากลำดับหนึ่ง ลงไปสู่ลำดับสอง จากไตรมาส 3/2567 ที่มีคะแนนนิยมอยู่ที่ 31.35% ซึ่งสูงสุดในไตรมาสนั้น แต่ในไตรมาส 4/2567 คะแนนลดลงอยู่ที่ 28.80% ทั้งที่การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทำให้มีข้อได้เปรียบหลายประการ แต่ น.ส. แพทองธารกลับไม่สามารถรักษาคะแนนนิยมเอาไว้ได้ สำหรับปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการลดลงของความนิยมในตัวน.ส. แพทองธาร มีดังนี้
1. ความเชื่อมโยงกับตระกูลชินวัตร การที่ น.ส.แพทองธาร เป็นสมาชิกตระกูลชินวัตร ซึ่งเคยมีประวัติทางการเมืองที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ อาจทำให้ประชาชนบางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาของ “ระบอบทักษิณ” และไม่มั่นใจในความเป็นอิสระของเธอในการบริหารประเทศ
2. ประสบการณ์และวุฒิภาวะ มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวุฒิภาวะและประสบการณ์ของ น.ส.แพทองธาร ในการบริหารประเทศ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนบางส่วนไม่มั่นใจในความสามารถของเธอในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนของประเทศ
3. การเปรียบเทียบกับคู่แข่งทางการเมือง การปรากฏตัวของนักการเมืองรุ่นใหม่ เช่น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ที่มีแนวคิดและทัศนคติที่ดี อาจทำให้ประชาชนเห็นว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและเหมาะสมกว่าในการนำพาประเทศไปข้างหน้า
4. การบริหารจัดการปัญหาภายในประเทศ ในช่วงที่ น.ส.แพทองธาร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาอุทกภัยในหลายจังหวัดภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่ง รัฐบาลแพทองธารทำได้ไม่ดีนัก อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณว่าจะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ รวมทั้งการไม่สามารถจับตัวสมาชิกพรรคที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาคดีตากใบ มาดำเนินคดีได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน
5. การสนับสนุนจากนายทักษิณ ชินวัตร แม้ว่าการสนับสนุนจากนายทักษิณจะเป็นปัจจัยบวกในสายตาของผู้สนับสนุนตระกูลชินวัตร แต่สำหรับประชาชนที่มีมุมมองเชิงลบต่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ การสนับสนุนดังกล่าวอาจทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความกังวลเกี่ยวกับการมีอิทธิพลเบื้องหลังในการบริหารประเทศ
ด้าน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นจาก 8.65% ในไตรมาส 3/2567 เป็น 10.25% ในไตรมาส 4/2567 ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นน่าจะมาจากบทบาทเรื่องนโยบายพลังงาน ที่มีการตรึงราคาพลังงาน ทั้งค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมัน และราคาก๊าซหุงต้ม เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน
ความพยายามในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน โดยยอมแตกหักกับกลุ่มทุนพลังงาน ที่มีข่าวว่าเคยสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติมาก่อน และการดำเนินนโยบายและมาตรการด้านพลังงานอีกหลายประการ ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของนายพีระพันธุ์ในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คะแนนนิยมของเขาเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
สุดท้าย นายอนุทิน ชาญวีรกูล คะแนนนิยมยังค่อนข้างต่ำ โดยอยู่ที่ 6.45% ในรอบล่าสุด (ครั้งที่ 4/2567) แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากครั้งก่อนหน้า (ครั้งที่ 3/2567 ที่มี 4.00%) แต่ยังคงไม่ได้เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของประชาชน ซึ่งอาจสะท้อนถึงข้อจำกัดในความนิยมของเขาในระดับชาติ แม้ว่าในระยะหลังเขามีความพยายามแสดงความคิดและจุดยืนทางการเมืองเพื่อเอาใจชนชั้นกลาง แต่ก็ดูยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เห็นได้จากคะแนนนิยมยังตามหลังนายพีระพันธุ์ ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในการช่วงชิงฐานเสียงเดียวกัน อันได้แก่ชนชั้นกลางอนุรักษ์นิยม
เมื่อจำแนกตามภาค จะเห็นว่ากรุงเทพมหานคร ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกนิยมนายณัฐพงษ์ มากที่สุด ขณะที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยม น.ส. แพทองธารมากที่สุด
ในกรุงเทพมหานคร นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้รับความนิยมสูงสุดที่ 31% ตามมาด้วย น.ส.แพทองธาร ที่ได้รับความนิยม 27% โดยผู้ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้มีเพียง 7% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าประชาชนในพื้นที่นี้มีความมั่นใจในการเลือกตั้งสูง
ความนิยมในภาคกลางมีความใกล้เคียงกันระหว่าง น.ส.แพทองธาร ซึ่งได้รับคะแนนนิยมสูงสุดที่ 31% และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ที่ได้รับคะแนน 29% อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของผู้ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้อยู่ที่ 10% ซึ่งสูงกว่ากรุงเทพมหานครเล็กน้อย
ในภาคเหนือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้รับความนิยมสูงสุดที่ 33% ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ตามมาอย่างใกล้ชิดที่ 31% นอกจากนี้ สัดส่วนของผู้ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้อยู่ที่ 11% ซึ่งเริ่มแสดงถึงความไม่มั่นใจเล็กน้อยในตัวผู้สมัคร
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น.ส.แพทองธาร ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดที่ 33% ขณะที่นายณัฐพงษ์ ตามมาที่ 25 % โดยผู้ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้มีถึง 24% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในทุกภูมิภาค แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่ใจในตัวผู้นำการเมืองของประชาชนในพื้นที่นี้
ในภาคใต้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ยังคงได้รับคะแนนนิยมสูงสุดที่ 29% ตามมาด้วยนายพีระพันธุ์ ที่มีคะแนนนิยม 21% ส่วน น.ส.แพทองธาร มีคะแนนนิยมเพียง 15% ซึ่งค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ
ในภาคตะวันออก นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้รับความนิยมสูงสุดอย่างชัดเจนที่ 45% ซึ่งสูงที่สุดในทุกภูมิภาค ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ตามมาในอันดับที่สองที่ 29% สัดส่วนของผู้ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ในภูมิภาคนี้อยู่ที่ 8% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าหลายภูมิภาค
กล่าวโดยสรุป นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ มีคะแนนนิยมกระจายตัวดีในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคตะวันออกที่ได้รับความนิยมสูงสุดถึง 45% น.ส.แพทองธาร มีคะแนนนิยมกระจายตัวดีในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ผู้ ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ มีสัดส่วนที่สูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (24%) แสดงถึงความไม่มั่นใจของประชาชนในพื้นที่นี้
เมื่อเปรียบเทียบความนิยมตามช่วงอายุมีผลที่น่าสนใจดังนี้
ในช่วงอายุ 18 - 25 ปี นายณัฐพงษ์ได้รับความนิยมสูงสุดอย่างเด่นชัด โดยมีคะแนนนิยมสูงถึง 54% ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมอย่างล้นหลามในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในวัยเริ่มต้นของการเลือกตั้ง น.ส.แพทองธารตามมาเป็นอันดับสองที่ 18% ในขณะที่ผู้ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้มีเพียง 13% เท่านั้น
เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 26 - 35 ปี ความนิยมของนายณัฐพงษ์ลดลงเล็กน้อยเหลือ 45% แต่ยังคงครองอันดับหนึ่งในกลุ่มนี้ ส่วน น.ส.แพทองธารได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 22% ในขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้เพิ่มขึ้นเป็น 16% ซึ่งสะท้อนถึงความลังเลของประชาชนในช่วงวัยนี้
ในช่วงอายุ 36 - 45 ปี แนวโน้มความนิยมของนายณัฐพงษ์ยังได้รับคะแนนนิยมมากที่สุดอยู่ที่ 32% ขณะที่ น.ส.แพทองธารยังคงรักษาระดับคะแนนนิยมไว้ที่ 22% อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้เพิ่มขึ้นเป็น 17% แสดงถึงความไม่แน่ใจที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มประชากรวัยนี้
ในช่วงอายุ 46 - 59 ปี ความนิยมของ น.ส.แพทองธารเพิ่มขึ้นจนแซงหน้านายณัฐพงษ์ โดยอยู่ที่ 33% ซึ่งกลายเป็นผู้สมัครที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มนี้ ในขณะที่คะแนนนิยมของนายณัฐพงษ์อยู่ที่ 21% และนายพีระพันธุ์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็น 15% แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของความสนใจในตัวผู้สมัครรายอื่น
ในช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป น.ส.แพทองธารยังคงรักษาความนิยมไว้ได้ในระดับสูงที่สุด โดยมีคะแนนถึง 40% ในขณะที่คะแนนนิยมของนายณัฐพงษ์ได้ 14% ด้านนายพีระพันธุ์และผู้ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้มีคะแนนนิยมที่ใกล้เคียงกันอยู่ในช่วง 13-15% ซึ่งสะท้อนถึงความกระจายตัวของคะแนนนิยมในกลุ่มอายุนี้
นายณัฐพงษ์ มีความนิยมสูงในกลุ่มคนอายุน้อย โดยเฉพาะในช่วงอายุ 18 - 25 ปี แต่ความนิยมลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ด้าน น.ส.แพทองธาร ช่วงอายุต่ำกว่า 46 ปี ได้คะแนนนิยมเป็นรองนายณัฐพงษ์ค่อนข้างมาก แต่มีแนวโน้มที่ได้รับคะแนนนิยมสูงขึ้นในกลุ่มอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 46 ปีขึ้นไป
ผู้ที่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ มีสัดส่วนคงที่ในทุกช่วงอายุ โดยอยู่ระหว่าง 13-17% แสดงถึงความลังเลของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง นายพีระพันธุ์ และ นายอนุทิน มีความนิยมในระดับต่ำ แต่มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในกลุ่มผู้มีอายุสูงกว่า 45 ปี
คะแนนนิยมของผู้นำการเมืองมีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับบทบาทของผู้นำที่แสดงออกมาว่าสอดคล้องกับความต้องการและความคาดหวังของประชาชนมากน้อยเพียงใด
กล่าวได้ว่าผู้นำการเมืองที่โดดเด่นในช่วงนี้คือ นายณัฐพงษ์ และ น.ส. แพทองธาร สิ่งที่น่าสังเกตคือ ความนิยมในตัวนายณัฐพงษ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ความนิยมของน.ส. แพทองธารมีแนวโน้มลดลง ส่วนผู้นำการเมืองอีกสองคนคือนายพีระพันธุ์ และนายอนุทิน ยังคงได้รับความนิยมค่อนข้างต่ำ แม้จะมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ตาม