ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สีสันการตั้งฉายารัฐบาลที่สื่อทำเนียบแซะแบบเจ็บ ๆ คันๆ จุดไฟให้ทางพลพรรค “รวม(เพื่อ)ไทยอ้างชาติ” ถือโอกาสออกมาต่อเติมเสริมแต่ง ขับเน้นผลงานและเป้าหมายของ “หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค” ให้โดดเด่นขึ้นมา เพื่อสร้างความทรงจำใหม่แทนฉายาที่ได้รับ ตาม “ดีเอ็นเอ” ที่เป็นมรดกตกทอดมาเมื่อครั้งสังกัด “พรรคประชาธิเป๋”
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ยอมรับว่าการตั้งฉายาเป็นสีสัน และเข้าใจ และขอบคุณสื่อที่คิดถึงและตั้งฉายาให้ คล้ายกับว่าการถูกตั้งฉายาไม่ว่าจะออกมาอย่างไรก็ดีเสียกว่าเป็นพรรคและรัฐมนตรีที่โลกลืม
ขณะที่พลพรรค รทสช. ต่างออกมาทำหน้าที่ปรุงแต่งฉายาใหม่ อย่างเช่น นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะสมาชิกพรรค โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหลังจากสื่อทำเนียบรัฐบาลมอบฉายา “พีระพัง” ให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า ไม่ใช่แค่ “พีระ “พัง” เอกนัฏ ก็พร้อม “พัง” ..กากพิษ ธุรกิจสีเทา สินค้าห่วยข้ามชาติ ให้หมดสิ้น #รทสช พังให้ทุกปัญหา
ทางด้าน น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุเช่นกันว่า ฉายา รมว. พีระพันธุ์ “พีรพัง” พีระพัง = การผูกขาด พีระพัง = ระบบที่เน่าเฟะ พีระพัง = การโกงกินทุกรูปแบบ รมว. เอกนัฏ ก็ “พร้อมพัง” จนสุดซอย พร้อมพัง = โรงงานเถื่อน พร้อมพัง = สายไฟไม่ได้มาตราฐาน เหล็กเบา สินค้าไม่ได้มาตราฐาน พร้อมพัง = กากพิษอุตสาหกรรม
รวมถึงเพจอย่างเป็นทางการของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็โพสต์ข้อความ พีระ..พัง...การผูกขาด พีระ..พัง...ระบบที่เน่าเฟะ พีระ..พัง...การโกงกินทุกรูปแบบ
เป็นการเน้นย้ำการทำงานของ รทสช. โดยเฉพาะนายเอกนัฏที่มีคิวบู๊ส่งทีมปูพรมกวาดล้างโรงงานรีไซเคิลกากอุตสาหกรรมก่อมลพิษมาโดยตลอด พร้อมกับยืนยันเดินหน้าเอาจริง ไม่หวั่นผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังปัญหากากพิษ
แต่อย่างไรก็ดี การลงมือปราบปรามที่ผ่านมาของทีมงาน “รัฐมนตรีขิง-เอกนัฏ” อาจยังทำได้ไม่เข้มข้นพอที่จะหยุดยั้งพฤติกรรมเหิมเกริมของกลุ่มทุนที่กระทำผิด เพราะจนบัดนี้ “ขบวนการส่วยกาก” ยังหนุนหลังให้โรงงานก่อมลพิษเหล่านั้นเดินหน้าประกอบการได้ต่อเนื่อง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การเปิดโปงขบวนการส่วยกาก ซึ่งทางรายการข่าว 3 มิติ โดย มนตรี อุดมพงษ์ นำเสนอเมื่อคืนวันที่ 15 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ถือว่าสั่นสะเทือนไม่น้อย โดยเอกสารหลักฐาน “ใบสรุปค่าใช้จ่ายนอกระบบ” แสดงรายการจ่ายเงินรายเดือนของบริษัทรีไซเคิลกากอุตสาหกรรม 2 แห่ง
เอกสารดังกล่าว มีรายชื่อคนรับเงินที่ส่วนใหญ่เชื่อมโยงถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจในระดับพื้นที่และส่วนกลาง กลุ่มที่สังกัด “กรม” โดยบัญชีรับโอนมีทั้งใช้ชื่อบัญชีของตัวเองและบุคคลอื่น พบมีเส้นทางเชื่อมโยงจากท่าเรือแหลมฉบังจนถึง อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี โดยชื่อบริษัทรีไซเคิลกากอุตสาหกรรม 2 แห่ง ผู้เป็นเจ้าของเอกสารดังกล่าวมีเลข 4 หลักลงท้าย คือ 2014 และ 2017
หลังมีข่าวนำเสนอออกไป และเพจมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) ซึ่งเกาะติดประเด็นโรงงานรีไซเคิลกากอุตสาหกรรม นำมาขยายผล ทำให้ทาง น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ออกมายืนยันว่า หากพบเป็นข้อเท็จจริง จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบบุคคลในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีรายชื่อปรากฏอยู่บนเอกสารดังกล่าว โดยอาจจะใช้บุคคลภายนอกเพื่อไม่ให้มีข้อกังวลเรื่องความไม่เป็นกลาง ถ้าเกี่ยวพันถึงหน่วยงานอื่นจะทำความเห็นส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง .... แม้ข่าวจะบอกว่าเป็นข้าราชการที่เกษียณไปแล้ว ไม่ได้เกิดในยุครัฐมนตรีเอกนัฏ แต่ท่านไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้แน่
คำยืนยันดังกล่าวสอดคล้องกับข้อความของผู้ใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า “ฐิติภัสร์ โอ๋ โชติเดชาชัยนันต์” ที่แสดงความคิดเห็นท้ายโพสต์ประเด็น “ส่วยกาก!?” ที่ทางเพจมูลนิธิบูรณะนิเวศ นำเสนอ โดยระบุว่า “เรื่องส่วยรับไปตรวจสอบในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม และหากพบดำเนินการขั้นเด็ดขาด ถ้าท่านใดมีข้อมูลส่งเข้ามาได้เลยนะคะ ส่วนเรื่องกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์จะขยายผลให้ถึงต้นตอค่ะ”
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เน้นย้ำว่า โรงงานแห่งหนึ่งใน จ.ปราจีนบุรี ที่มีชื่อสอดคล้องกับโรงงานเจ้าของเอกสารการจ่ายเงินซึ่งเป็นของทุนจีนนั้น ได้กระทำผิดในหลายเรื่อง และไม่ได้เกรงกลัวกฎหมายไทยแต่อย่างใด
ไล่เรียงโรงงานแห่งนี้ทำผิดกฎหมายหลายอย่าง ตั้งแต่การตั้งโรงงานและประกอบกิจการโดยไม่มีใบอนุญาต ฝ่าฝืนคำสั่งปิดโรงงาน ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทำลายและเคลื่อนย้ายของกลางที่เจ้าหน้าที่ยึดอายัดของภายในโรงงานไว้ ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่มีใบอนุญาตด้วย ข้อสำคัญคือ วัตถุอันตรายจำนวนมากที่เป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าลักษณะ “ลักลอบ” นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งผิดกฎหมายห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์
ในมุมมองของ ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เห็นว่า เอกสารการจ่ายส่วยกากตามเส้นทางขนส่งและข้าราชการที่เกี่ยวข้องจึงเป็นคำตอบสำคัญว่า ทำไมโรงงานแห่งนี้จึงกล้าเหยียบย่ำกฎหมายของไทย ซ้ำยังทำตัวเสมือนเป็นมาเฟียข่มขู่ชาวบ้านที่ออกมาร้องเรียนเรื่องมลพิษ หากตรวจค้นและตรวจสอบจริงจังอาจพบว่ามีโรงงานที่ลักลอบนำเข้าขยะต่างแดนอีกหลายแห่งที่มีบัญชี “ค่าใช้จ่ายนอกระบบ” เช่นกัน
มูลนิธิบูรณะนิเวศ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า โรงงานหลักในพื้นที่บ้านหนองหอย ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ถูกกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจสอบหลายครั้ง ล่าสุดสั่งปิดไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2567 แต่จากการตรวจสอบล่าสุดที่หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้นำคณะ พบว่า ยังคงลักลอบประกอบกิจการอยู่ และแม้จะดำเนินการเอาผิด แต่จนบัดนี้ก็ยังมีรายงานจากพื้นที่ว่า การประกอบกิจการยังคงดำเนินไปแทบจะเป็นปกติ
ความเหิมเกริมอันน่าฉงน รวมทั้งกากอุตสาหกรรมมหาศาลที่พบในโรงงานซึ่งมีลักษณะเป็นของเสียจากต่างแดน ถูกลักลอบนำเข้ามายังโรงงานแบบรอดหูรอดตาผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องมาได้ตลอดทั้งระบบอย่างไร เอกสารหลักฐานขบวนการส่งส่วยกากพิษ จึงทำให้เรื่องดำมืดนี้พลันกระจ่างแจ้ง
มีรายงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมว่า จากกรณีที่โรงงานของ บริษัททีแอนทีเวสต์ แมนเมนจ์เม้นท์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ถูกคำสั่งปิดจากกรมโรงงานฯ แต่ยังมีการฝ่าฝืนคำสั่งลักลอบประกอบกิจการหลายต่อหลายครั้ง ล่าสุดกรมโรงงานฯ เตรียมออกหนังสือแจ้งหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีส่วนกำกับดูแลโรงงานดังกล่าวให้ทราบว่าโรงงานถูกสั่งปิดแล้ว หากพบโรงงานยังลักลอบประกอบกิจการอีก หน่วยงานที่กำกับดูแลอาจถูกแจ้งความเอาผิดด้วย
นอกจากนี้ คณะกรรมการอุทธรณ์ มีมติยกคำอุทธรณ์ของบริษัท ที แอนท์ ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด ซึ่งถูกคำสั่งปิดตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 โดยฝ่ายกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ทำหนังสือผลคำพิจารณายกอุทธรณ์แล้ว คาดว่าจะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในเร็ววันนี้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหมายนางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะชุดใหญ่ เข้าตรวจสอบบริษัท ที แอนด์ ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี รอบที่ 3 พบมีการฝ่าฝืนคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการ ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้มีคำสั่งปิดโรงงาน
ผลการตรวจสอบพบว่าโรงงานยังเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและฝ่าฝืนประกอบกิจการโรงงาน รวมถึงมีการเคลื่อนย้ายของกลาง มีการติดตั้งเครื่องจักร ติดตั้งเตาหลอมโลหะโดยไม่มีวิศวกรรับรอง และบริเวณบ่อน้ำขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับโรงงานพบการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากการตรวจสอบครั้งก่อนเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567
นอกจากนี้ ในพื้นที่ไม่มีใบอนุญาตโรงงาน 2 แห่ง ที่อยู่ติดกัน พบเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก คาดว่าเป็นการลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งกรมโรงงานฯ ตรวจพบบัญชีตู้ขนสินค้า จึงประสานขอข้อมูลใบนำขน เพื่อให้ทราบแหล่งที่มาและชื่อผู้รับสินค้าดังกล่าว
สำหรับอาณาจักรรีไซเคิลทุนจีนที่บ้านหนองหอย ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี มีอยู่หลายโรงงาน
รายงานของมูลนิธิบูรณะนิเวศ เปิดเครือข่าย“ทุนจีน”@หนองหอย ใครเป็นใครในอาณาจักรแห่งนี้ ภายหลังคณะผู้แทนหน่วยงานราชการ นำโดยนายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าตรวจกลุ่มโรงงานดังกล่าว เมื่อต้นเดือนกันยายน ที่ผ่านมา
การเข้าตรวจครั้งนั้น ตัวแทนโรงงานนำตรวจเป็นชายชาวจีนชื่อ “เหว่ย” หรือ “อาเหว่ย” ดูเหมือนจะ “คุม” อยู่ทั้งย่านที่มีอาณาบริเวณกว่า 200 ไร่ เป็นที่ตั้งของโรงงานหลายแห่ง ที่มีชื่อและใบอนุญาต 4 รายแล้ว และเตรียมขึ้นอีกอย่างน้อย 3 แห่ง
ชื่อนามสกุลทางการของเหว่ยคือ “พิสิษฐ์ พูนเจริญชัย” เขาเคยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของบริษัท ที แอนท์ ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด แต่ปัจจุบัน หุ้นจำนวนนั้นถือครองโดย “สมชาย แซ่ลี้” จีนผู้แปลงสัญชาติมาแล้วอีกคนหนึ่ง
ทั้งนี้ บริษัท ทีแอนด์ทีฯ แจ้งที่ตั้งสำนักงานอยู่เลขที่ 6/41 ม.3 ถ.กรุงเทพกรีฑา ต.สะพานสูง อ.สะพานสูง กรุงเทพฯ มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 1 ใบ ซึ่งแจ้งประกอบกิจการเป็นประเภทโรงงานลำดับที่ 106 ตั้งอยู่เลขที่ 62 ม.10 ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
ทีแอนด์ทีฯ แจ้งประกอบกิจการว่า “ทำเชื้อเพลิงทดแทน สกัดโลหะมีค่าจากน้ำยาชุบโลหะ อบกากตะกอนที่มีโลหะมีค่า บดย่อยชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นำกรดและด่างที่ใช้แล้วมาผ่านกรรมวิธีทางอุตสาหกรรมเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ทำเชื้อเพลิงผสม ซ่อมและล้างบรรจุภัณฑ์ หลอมหล่อทองแดงจากกากตะกอนของเสียที่มีทองแดงเป็นส่วนประกอบ คัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย”
ที่ตั้งของโรงงานทีแอนด์ทีฯ อยู่บนโฉนดเลขที่ 14371 ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 49 ไร่ นับได้ว่าเป็น “พี่ใหญ่” ในอาณาจักรแถบนั้น
ส่วนที่เหลือยังมีโรงงานของบริษัทอื่นๆ เฉพาะที่มีชื่อและใบอนุญาตประกอบกิจการ มี 3 ราย ได้แก่ บริษัท โอโน่เทค จำกัด ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ 14367 ขนาด 11 ไร่ มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทั้งลำดับที่ 60, 105 และ 106 กิจการที่แจ้งประกอบการ คือ “หล่อหลอมอลูมิเนียมและโลหะทุกชนิด”
บริษัท ไอโอ กรีน จำกัด มีขนาดเนื้อที่มากกว่า 24 ไร่ มีใบอนุญาตโรงงานเป็นประเภท 106 ประกอบกิจการ “บดย่อยตะกรันเหล็ก”
บริษัท พีแอล กรีน เวิลด์ 2020 จำกัด มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานลำดับที่ 101 ประกอบกิจการปรับปรุงคุณภาพของเสียรวม มีเนื้อที่ประมาณ 21 ไร่ แต่ที่ผ่านมากลับพบว่า บริษัทได้ตั้งโรงงานและประกอบกิจการหล่อหลอมโลหะบนที่ดินอีกแปลงที่อยู่ติดกัน ขนาดประมาณ 17 ไร่ ซึ่งเป็นแปลงที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน
นอกจากนั้น ยังพบว่ามี บริษัท หัวไท่เซิงเหอ จำกัด ที่จดทะเบียนที่ตั้งเป็นที่เดียวกันกับบริษัท ทีแอนด์ทีฯ ที่บ้านหนองหอย นั่นคือที่เลขที่ 62 ม.10 ต.ศรีมหาโพธิ และมี บริษัท อินเทลลิเจนท์ เอ็นไวรอนเม้นท์ เอ็นเนอร์จี้ จำกัด แจ้งที่ตั้งเป็น 62/2 ม.10 ต.ศรีมหาโพธิ แต่ทั้งสองบริษัทยังไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน
ส่วนบริษัทอีก 2 แห่งที่จดทะเบียนที่ตั้งเป็นที่เดียวกับบริษัท พีแอล กรีนฯ ในกรุงเทพฯ ได้แก่ บริษัท จง ไท่ เหมย อลูมิเนียม (กรุ๊ป) จำกัด และบริษัท อินฟินิตี้ รีซอร์สเซส อินดัสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งทั้งสองบริษัทยังไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานเช่นเดียวกัน แต่ชื่อของบริษัทอิฟินิตี้ฯ เคยปรากฏในบันทึกข้อความของ อบต.ศรีมหาโพธิ ว่าเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินเลขที่ 9495 มีเนื้อที่ประมาณ 17 ไร่ครึ่ง ตั้งอยู่ในเขตบ้านหนองหอย ม.10 ต.ศรีมหาโพธิ โดยอยู่ถัดจากแปลงซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท ทีแอนด์ทีฯ เพียงมีบ่อน้ำขนาดใหญ่คั่น
บ่อที่ว่านี้ก็ถือว่าเป็นอีกจุดสำคัญ เนื่องจากเป็นจุดที่พบการนำขยะอุตสาหกรรมมาทิ้งจนบ่อบนพื้นที่ประมาณ 25 ไร่ เริ่มตื้นเขินไปเรื่อย ๆ
เพจมูลนิธิบูรณะนิเวศ ฉายภาพบ่อลักลอบทิ้งกากของกลุ่มโรงงานรีไซเคิล-หล่อหลอม ที่บ้านหนองหอย โดยเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ บนโฉนดที่ดินเลขที่ 14017 อยู่ข้างพื้นที่ตั้งโรงงานบริษัท ที แอนด์ ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด ซึ่งมีเศษซากของเสียนานาชนิดกระจายอยู่ทั่วไป
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตอบกระทู้ถามสดในสภาฯ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมาตอนหนึ่งว่า การกำจัดกากพิษอุตสาหกรรม ถือเป็นภารกิจที่ตั้งใจจะทำให้สำเร็จ ....จะยืนหยัดต่อสู้กับผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังปัญหากากพิษที่ทำร้ายชีวิตประชาชน .... ใครกระทำผิดต้องถูกดำเนินคดี จะต้องมีการแก้ไขปัญหากากพิษอย่างยั่งยืน
ยังต้องรอดูผลงานเอกนัฏที่ประกาศเสียงดังฟังชัดว่า พร้อม “พัง” ..กากพิษ ธุรกิจสีเทา ให้หมดสิ้นกันต่อไปนั้น สุดท้ายแล้วจะจบลงอย่างไร