xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน ภาค 2 (20) คิดถึงอันทัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


(ภาพ : เอเอฟพี)
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

การมาเยือนหน่วยงานต้นสังกัดของผมถือเป็นกำหนดการสุดท้ายของคณะที่มาจากจีน เราไม่ได้คุยงานมากนัก เพราะถือว่าได้คุยกับทางศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กไปแล้ว แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งคุณหวังได้เห็นภาพโปสเตอร์ที่ใส่กรอบอย่างดีภาพหนึ่งในห้องหนึ่ง เขาก็แอบยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ผม

ภาพที่ว่าเป็นภาพสี่สีในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เป็นภาพที่ถ่ายจากด้านหลังทหารกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อย หลังจากได้สลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงขับไล่รัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร ไปแล้ว โดยเบื้องหน้าทหารกลุ่มนั้นเป็นภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ภาพนี้เป็นภาพที่มีได้รับความนิยมมาก แต่ผมจำไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของกรอบภาพนี้ ซึ่งก็คงเป็นเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่ง

ที่คุณหวังมีท่าที่เช่นนั้นแสดงว่าเขาก็ตามข่าวในเมืองไทยด้วย และคงเอาใจช่วยกลุ่มผู้ประท้วงอยู่ด้วย เหมือนกับตอนที่มีนักศึกษาจีนมาประท้วงที่ลานคนเมืองกลางเมืองคุนหมิง ในปีที่เกิดเหตุการณ์นองเลือดที่เทียนอันเหมินในปี 1989 (2532) ซึ่งตอนนั้นคุณหวังเพิ่งเรียนจบและรับราชการใหม่ๆ แล้วถูกส่งตัวไปยืนคุมสถานการณ์ที่ลานคนเมืองนั้น และเขาเอาใจช่วยกลุ่มผู้ประท้วง แต่แสดงออกไม่ได้

หลังจากที่คณะจากจีนกลับไปแล้ว การส่งตัวหญิงจีนกลับภูมิลำเนาเดิมก็มีความสะดวกรวดเร็วขึ้นจริงๆ ทั้งในเรื่องเอกสารเดินทางที่สถานทูตจีนจะออกให้แก่หญิงจีน การสืบหาที่อยู่ของหญิงจีน หรือการสอบประวัติหญิงจีนของฝ่ายไทย ฯลฯ และเมื่อฝ่ายจีนทำเรื่องของตนพร้อมแล้วก็จะแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบ จากนั้นก็เป็นการส่งหญิงจีนกลับ

โดยขากลับจะมีเจ้าหน้าที่ของศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กร่วมเดินทางไป และทำให้ผมได้เดินทางไปส่งกับเขาด้วยในฐานะ “ล่ามจำเป็น” ที่รับเรื่องนี้มาทำวิจัยไปด้วยในตัว นับแต่นั้นมาการส่งตัวหญิงจีนกลับจะเป็นอยู่หลายครั้ง จนเมื่อทุกอย่างลงตัวดีแล้ว ฝ่ายไทยก็ไม่จำเป็นต้องร่วมเดินทางไปส่งอีก แต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็ต้องใช้เวลานาน 2-3 ปี

ตอนที่ทุกอย่างยังไม่ลงตัวนั้น ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นตอนนั้นมีอยู่สองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรก เป็นปัญหาการล่อลวงหญิงจีนมาไทยที่ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ และใช่จะมีแต่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น ในต่างจังหวัดก็มีการพบหญิงจีนเหล่านี้ด้วย ไกลที่สุดคือเบตงที่เป็นอำเภอไกลปืนเที่ยงของจังหวัดยะลา

ปัญหานี้ทำให้รู้ว่า การล่อลวงนี้ทำกันเป็นขบวนการใหญ่ และใช่แต่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กเท่านั้นที่รับหญิงจีนมาดูแล หากยังมีองค์กรหรือสมาคมการกุศลอื่นๆ รับมาดูแลด้วย ขึ้นอยู่กับว่าหญิงจีนจะได้รับการช่วยเหลือจากที่ใดหรือจังหวัดใด คือใกล้ที่ใดตำรวจก็จะส่งให้องค์กรเหล่านั้นช่วยดูแลไปก่อน

ที่สำคัญ การช่วยเหลือที่เกิดขึ้นในที่ต่างกันเช่นนี้ยังหมายถึงการที่ต่างฝ่ายต่างทำตามหน้าที่ของตน และไม่มีใครบอกใครหรือประกาศว่าตนกำลังทำเรื่องนี้อยู่ เราจึงไม่รู้ตัวเลขหญิงจีนที่ถูกล่อลวงว่ามีจำนวนเท่าไร หลักร้อยนั้นถึงแน่ๆ แต่จะถึงหลักพันหรือไม่นั้นไม่แน่ใจ และยังมีอีกกี่มากน้อยที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือหนีออกมาดังหญิงจีนบางกลุ่ม ที่จะต้องรับชะตากรรมอยู่ในซ่องไปจนตาย

เรื่องต่อมา เป็นปัญหาภูมิลำเนาเดิมของหญิงจีน ที่ฝ่ายจีนไม่พบที่อยู่ของหญิงจีนตามที่หญิงจีนคนนั้นแจ้งเอาไว้ เมื่อไม่พบก็ไม่สามารถออกเอกสารการเดินทางเพื่อส่งตัวกลับได้ โดยฝ่ายจีนให้เหตุผลว่า ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหญิงจีนกลุ่มนี้มีการศึกษาไม่สูงหรือไม่มีการศึกษาเอาเลย เวลาแจ้งที่อยู่ของตนจึงไม่มีความชัดเจนแน่นอน

โชคดีที่หญิงจีนในกลุ่มนี้มีอยู่เพียงไม่กี่คน บางคนต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะพบที่อยู่จริง แต่มีอยู่เพียงรายเดียวที่เวลาผ่านไปเป็นปีแล้วก็หาที่อยู่ไม่เจอ จนทำให้เธอตกค้างอยู่ที่เมืองไทยนานเป็นปีในขณะที่หญิงจีนที่ถูกช่วยออกมาก่อนและหลังเธอต่างได้กลับกันไปหมดแล้ว หญิงจีนคนนี้ชนชาติไต แต่พูดภาษาจีนกลางได้ดีกว่าหญิงจีนส่วนใหญ่ที่ได้รับการช่วยเหลือออกมา

แต่ถึงมีอยู่เพียงรายเดียวก็จริง แต่ปัญหากลับใหญ่มาก เพราะพอเวลาผ่านไปนานนับปี เธอก็มีความกดดันจนทำให้เธอเครียดและอาละวาดโวยวาย จนเป็นปัญหาให้กับผู้ดูแล เรื่องของเธอคนนี้ผมเคยเขียนเล่าไว้ใน ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2539 ในชื่อบทความเรื่อง  “น้ำตาของอานทาง” นับถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบ 30 ปีแล้ว เวลานั้นผมสะกดชื่อของเธอเป็น  “อานทาง”  แต่ตอนนี้จะสะกดเป็น  “อันทัง”  ซึ่งผมขอนำเรื่องของเธอมาเล่าในที่นี้อีกครั้งหนึ่ง

ก่อนอื่นผมต้องขอชี้แจงก่อนว่า หญิงจีนรายอื่นที่ผมเคยเล่าไปนั้นผมจะใช้นามแฝง แต่ในกรณีนี้ใช้ชื่อจริงก็เพราะว่าเธอให้เปิดเผยชื่อของเธอเอง ด้วยเธอต้องการประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ถึงความเลวร้ายที่เธอต้องประสบพบเจอ จนถูกทางการจีนเลือกให้เป็นตัวแทนหญิงจีนเพื่อร่วมการประชุมสตรีโลกในปี 1995 (2538) ที่จีนเป็นเจ้าภาพที่ปักกิ่ง แต่เนื่องจากตอนนั้นเธอเป็นแม่ลูกอ่อน เธอเล่าเรื่องของเธอต่อที่ประชุมในการประชุมที่คุนหมิง แต่เรื่องของเธอก็โด่งดังทั่วประเทศจีน

 ดังขนาดไหน ก็ดังขนาดที่ว่าได้มีการนำเรื่องของเธอและหญิงจีนรายอื่นๆ มาสร้างเป็นหนัง ซึ่งเรื่องแบบนี้ถือว่าจีนเป็น “สิงห์ปืนไว” อยู่แล้ว ไม่ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นจนดังระดับชาติ จีนก็จะนำเรื่องนั้นมาสร้างเป็นหนังหรือละครทีวีทันที อย่างตอนที่เกิดการระบาดของโรคซาร์สในจีนเมื่อปี 2003 (2546) หรือตอนที่เกิดคดีหน่อคำฆ่าพลเรือนจีนเสียชีวิตไป 13 ศพขณะล่องเรือบนแม่น้ำโขงเมื่อปี 2011 (2554) นั้นพอเหตุการณ์ผ่านไปไม่นานจีนก็จะนำมาสร้าง  

ปัญหาของอันทังมีอยู่สองครั้งที่ผมต้องทิ้งงานของผมไปหาเธอ ทั้งเพื่อรับฟังและปลอบโยนเธอเมื่อเธอกดดันจนอาละวาดขึ้นในบ้านพักของศูนย์ฯ จนเจ้าหน้าที่เอาไม่อยู่ด้วยไม่สามารถพูดภาษาจีนกับเธอได้ พอผมไปถึงและได้พบเธอ เธอก็ร้องไห้อย่างหนักพร้อมกับพูดว่า  “พี่คะ...หนูคิดถึงลูกๆๆๆๆ”  ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


อันทังถูกช่วยเหลืออกจากซ่องนรกในปี 1991 (2534) แต่กลับได้กลับไปยังบ้านเกิดที่จีนในปี 1992 (2535) วันที่เธอได้กลับเป็นวันที่ผมและเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ดีใจและโล่งใจมาก เราได้โบกมือลาและสัญญาว่าจะหาโอกาสไปเยี่ยมเธอให้ได้ และเราจะได้ไปเยี่ยมเธอจริงก็ในปี 1993 (2536)

ตอนที่ไปถึงบ้านของเธอที่เป็นเรือนไตนั้นพวกเราไม่ได้พบเธอในทันที เพราะผู้ใหญ่ในบ้านบอกว่า พอเธอรู้ว่าพวกเรามาเยี่ยมเธอดีใจมาก รีบไปตลาดหาซื้อลูกกวาดมาต้อนรับพวกเรา เพราะความหวานของลูกกวาดเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นมงคล เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เธอก็ขึ้นมาบนเรือน

พลันที่เธอพบพวกเราที่รออยู่ก่อนแล้ว เธอก็ทิ้งถุงลูกกวาดบนพื้นเรือนพร้อมคุกเข่าแสดงความคารวะและโผเข้ากอดพี่ผู้หญิงที่ดูแลเธอ เธอร้องไห้เสียงดังพูดไม่หยุดปากว่า  “พี่คะ...พี่คะ...ไม่มีวันไหนที่หนูไม่คิดถึงพวกพี่...ทุกวันหนูคิดถึงแต่พวกพี่...หนูไม่เชื่อเลยว่าพี่ๆ จะมาหาหนูจริงๆ...” 

น้ำตาของเธอทำเอาผมและพี่ๆ ของเธอน้ำตาร่วงตาม

 ผมคงไม่ต้องบอกว่า วันนั้นเราดีใจแค่ไหนที่ได้เจออันทัง แต่ก็เสียใจที่รู้ว่า เมื่อเธอกลับมาก็ถูกแม่สามีตั้งข้อรังเกียจว่าเธอเป็นโสเภณีไปแล้ว และบีบให้สามีหย่าขาดจากเธอ เธอจึงกลับมาอยู่บ้านเดิมของเธอ แต่ก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่เรื่องของเธอกลายเป็นขี้ปากของชาวบ้าน ทำให้เธอต้องทนกับภาวะนั้นนานนับปี 

เราคุยกับเธอจนได้เวลาลาจาก ตอนที่รถวิ่งออกไปนั้น เราต่างโบกมือให้กัน โดยไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกหรือไม่ จนเวลาผ่านไปอีกสองปี เราก็ได้กลับมาพบเธออีกครั้งหนึ่ง คราวนี้อันทังเป็นฝ่ายรอเรา ที่ดีกว่านั้นคือ อันทังได้แต่งงานใหม่และมีลูกกับสามีใหม่หนึ่งคน หลังจากพบกันครั้งที่สองแล้วเราก็ไม่ได้พบกันอีกเลย

 บัดนี้เวลาล่วงไปเกือบ 30 ปีแล้ว ผมยังคงคิดถึงเธออยู่เสมอ 


กำลังโหลดความคิดเห็น